ตอนที่ 82 คำขอร้องของหนานกงเสวียนจี
หลังจากชั่งใจอยู่ครู่หนึ่ง หนานกงเสวียนจีก็แปลงกายเป็นลำแสง ตามนักพรตฉางเสวียนและสวีฉิงเทียนไป
เขาคิดว่าหากบรรพจารย์ของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียน เป็นยอดปรมาจารย์ที่เร้นกายอยู่ในเมืองเสี่ยวฉือผู้นั้นจริง
อย่างมากเขาก็แค่รออยู่ด้านนอกเมืองเสี่ยวฉือก็พอแล้ว
แต่หากเทียบกันแล้วระหว่างยอดปรมาจารย์ที่ดูเรียบง่ายและสุภาพผู้นั้น เขากลับรู้สึกหวาดกลัวต้นหลิวปีศาจที่มีอายุยืนยาวนั่นเสียมากกว่า
เพราะสิ่งมีชีวิตโบราณเหล่านั้นล้วนแล้วแต่เลือดเย็นและไร้ความปราณี และทำตามความปรารถนาของตนเพียงเท่านั้น หาได้ใส่ใจว่าอีกฝ่ายจะมีภูมิหลังหรือผู้หนุนหลังเช่นไรไม่
ตอนที่ต้นไม้ปีศาจต้นนั้นเตือนเขา เขายังเคยสงสัยว่าหากมิมียอดปรมาจารย์อยู่ที่นั่น บางทีคืนนั้นเขาอาจจะมิได้ออกมาจากที่นั่นก็เป็นได้
และที่สำคัญสิ่งมีชีวิตโบราณเหล่านั้นช่างทรงพลังและน่ากลัวยิ่งนัก อีกทั้งอิทธิฤทธิ์ยังอยากที่จะคาดเดาได้ แม้แต่ตบะบารมีของเขาในเวลานี้ ก็ยังมิอาจรับประกันว่าจะสามารถรับมือได้
อีกทั้งยังคงมีคำถามที่เขาเอาแต่ครุ่นคิดมาตั้งแต่ออกจากเมืองเสี่ยวฉือนั่นก็คือ หากมิมีปรมาจารย์ท่านนั้นอยู่เกรงว่าในบริเวณร้อยลี้นี้คงกลายเป็นดินแดนต้องห้าม เพราะต้นไม้ปีศาจต้นนั้นไปแล้ว
ส่วนสำนักแห่งการบำเพ็ญเพียรเช่นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนก็คงเสื่อมถอยลง ก่อนจะเหลือเพียงตำนาน และสุดท้ายก็จะถูกผู้คนลืมเลือนไปในที่สุด
เช่นนั้นจึงเป็นไปได้สูงที่ยอดปรมาจารย์ท่านนี้จะมีความเกี่ยวข้องกับดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียน
และทิศทางที่นักพรตฉางเสวียนนำทางไปในเวลานี้ก็คือทางไปเมืองเสี่ยวฉือนั่นเอง
มินานหนานกงเสวียนจีก็ได้ปรากฏตัวอยู่ข้างกายของนักพรตฉางเสวียน
จากนั่นเขาจึงเอ่ยถามขึ้น “เจ้าสำนักไท่เสวียน หรือว่าท่านบรรพจารย์ของพวกท่านจะอยู่ที่เมืองห่างไกลที่ชื่อว่าเสี่ยวฉือเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
หลังจากได้ยินคำถามนั้น นักพรตฉางเสวียนที่อาภรณ์โบกสะบัดอยู่ ก็เอ่ยถามขึ้นอย่างตกตะลึงว่า “ผู้อาวุโสหนานกง หรือว่ายอดปรมาจารย์ที่ท่านพูดถึงก่อนหน้านี้ ท่านได้พบที่เมืองเสี่ยวฉือเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
หนานกงเสวียนจีพยักหน้าอย่างมิปฏิเสธ “ข้าพบที่เมืองเสี่ยวฉือจริง ๆ ”
เอ่ยเพียงเท่านั้นหนานกงเสวียนจีก็เหาะลงสู่เบื้องล่างอย่างรวดเร็ว
นักพรตฉางเสวียนลังเลเล็กน้อย ก่อนจะเหาะตามหนานกงเสวียนจีลงไป
สวีฉิงเทียนที่กำลังตื่นเต้นถึงกับขมวดคิ้วมุ่น ก่อนจะเหาะตามลงไปอย่างช่วยมิได้
สุดท้ายทั้งสามคนก็ได้ปรากฏกายอยู่ริมทะเลสาบอันเงียบสงบ
นักพรตฉางเสวียนนัยน์ตาเป็นประกาย พลางถามด้วยรอยยิ้มว่า “ผู้อาวุโสหนานกง ยอดปรมาจารย์ที่ท่านกล่าวถึงเปิดร้านขายของชำดูเงียบง่าย และเป็นคนสุภาพใช่หรือไม่ ? ”
“ผู้อาวุโสท่านนั้นเปิดร้านขายของชำ อีกทั้งยังเป็นชายหนุ่มที่หล่อเหลา รูปงามดั่งหยกด้วยใช่หรือไม่ ? ”
หนานกงเสวียนจีอึ้งไปเล็กน้อย แววตาฉายประกายบางอย่างที่ยากจะเข้าใจ ก่อนที่จะพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม
ยอดปรมาจารย์ท่านนั้นมิเพียงมีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกับดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียน แต่ยังเป็นถึงบรรพจารย์ของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนอีกด้วย
หนานกงเสวียนจีขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะตัดสินใจบางอย่าง
นักพรตฉางเสวียนพินิจท่าทีของหนานกงเสวียนจี ก่อนจะเอ่ยออกมาตรง ๆ ว่า “ผู้อาวุโสหนานกง หากผู้น้อยเดามิผิดแล้วล่ะก็ ยอดปรมาจารย์ที่ท่านพบก็คือท่านบรรพจารย์ของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนของเราขอรับ”
หนานกงเสวียนจีพยักหน้ารับ ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง “เจ้าสำนักไท่เสวียน ข้ามีคำขอร้องหนึ่ง หวังว่าเจ้าจะตกลง”
‘คำขอร้องเยี่ยงนั้นหรือ ? ’
นักพรตฉางเสวียนนิ่งอึ้งไปเล็กน้อย ก่อนจะหัวเราะแห้ง ๆ ออกมา “ผู้อาวุโสหนานกง มีสิ่งใดก็เชิญพูดออกมาได้เลยขอรับ หากผู้น้อยรู้จะบอกท่านทุกอย่างแน่นอน”
“ข้าอยากจะบำเพ็ญเพียรอยู่ที่ยอดเขาไท่เสวียนสักช่วงระยะหนึ่ง บางทีอาจจะร้อยปี หรืออาจจะพันปี”
หนานกงเสวียนจีมองใบหน้าแข็งค้างของนักพรตฉางเสวียน พลางเอ่ยอย่างสุภาพว่า “แน่นอนว่าหากช่วงนี้ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนของพวกเจ้าเกิดปัญหาใด ๆ ข้าย่อมมินิ่งดูดายอยู่แล้ว หรือหากพวกเจ้ามิรังเกียจ ข้าก็พร้อมจะชี้แนะให้ศิษย์ทุกคนด้วย”
“สูด ! ”
หลังได้ยินคำพูดของหนานกงเสวียนจี นักพรตฉางเสวียนและสวีฉิงเทียนต่างก็มีสีหน้าตื่นตระหนก พร้อมกับสูดลมหายใจเข้าเฮือกใหญ่
โดยเฉพาะเจ้าสำนักของดินแดนศักดิ์สิทธิ์จื่อชิงอย่างชิงสวีฉิงเทียน ที่รับรู้ถึงความน่ากลัวของตบะบารมีของหนานกงเซวียนจี ถึงกับแข็งค้างราวก้อนหิน
คำพูดนี้ของหนานกงเสวียนจีหมายความเช่นไรกันแน่ ?
นั่นก็เท่ากับว่าหนานกงเสวียนจีจะพำนักอยู่ที่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียน กลายเป็นหนึ่งในผู้อาวุโสของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียน
ทั้งยังจะบำเพ็ญเพียรอยู่ที่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนเป็นร้อยหรือพันปีอีกด้วย
ก่อนหน้านี้พวกเขาต่างก็ได้เห็นกับตาว่า อีกเพียงก้าวเดียวหนานกงเสวียนจีก็จะบรรลุสู่ขั้นมหายานแล้ว
อีกทั้งตบะบารมีของเขาในตอนนี้ทั่วทั้งจงหยวนคงมีเพียงมิกี่คนที่จะเป็นคู่ต่อสู้ได้ หากวันหนึ่งเขาบรรลุขั้นสุดท้ายขึ้นสู่ระดับมหายานได้จริง ๆ
ถึงเวลานั้นเกรงว่าทั้งจงหยวนคงมิมีผู้ใดกล้าเป็นศัตรูกับเขาอีก !
มิต้องพูดถึงว่าหนานกงเสวียนจีจะบรรลุขั้นมหายานหรือไม่ หรือว่าจะบรรลุเมื่อใด แค่เพียงความสามารถและตบะบารมีของเขาในเวลานี้ หากเข้าไปอยู่ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนและกลายเป็นหนึ่งในผู้อาวุโส
เมื่อเรื่องนี้แพร่ออกไปก็เพียงพอที่จะสั่นสะเทือนไปทั่วทั้งแคว้นต้าเยี่ยน รวมถึงทั่วทั้งจงหยวนอีกด้วย
ถึงตอนนั้นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนจะมีชื่อเสียงเป็นที่เลื่องลือ กลายเป็นหนึ่งในสำนักอันดับหนึ่งของจงหยวน
สวีฉิงเทียนที่เป็นเจ้าสำนักของดินแดนศักดิ์สิทธิ์จื่อชิงย่อมเข้าใจดี มิว่าจะสำนักไหนหรือเจ้าสำนักคนใดต่างก็มีเป้าหมายเดียวกัน นั่นก็คือการนำพาสำนักให้เจริญรุ่งเรืองยิ่งขึ้น
แต่บัดนี้เจ้าสำนักดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนอย่างนักพรตฉางเสวียนกลับแทบมิต้องพยายามสิ่งใด เพียงแค่ท่านบรรพจารย์เย่ปรากฏตัวขึ้นมาก็สามารถทำให้ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนเจริญรุ่งเรืองได้แล้ว
สวีฉิงเทียนคิดถึงตรงนี้ก็รู้สึกหดหู่จนแทบจะร้องไห้ออกมา
‘เหตุใดดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนถึงมีบรรพจารย์ที่มีคุณธรรมเช่นนี้กัน ? ’
‘เหตุใดตาเฒ่าเหอฉางเสวียนแทบจะมิต้องลงแรงอะไร ทว่าสำนักกลับจะรุ่งโรจน์ขึ้นถึงเพียงนี้ ? ’
‘ข้าก็เหนื่อยเหมือนกัน ! ’
‘ข้าก็มิอยากสู้แล้ว ! ’
‘ข้าก็อยากอยู่สบายเหมือนกัน ! ’
‘ข้าก็อยากมีบรรพจารย์ที่เป็นห่วงเป็นใยเช่นนี้ ! ’
‘ข้าก็อยากมีที่ให้พึ่งพิง ! ’
‘ท่านบรรพบุรุษของดินแดนศักดิ์สิทธิ์จื่อชิงทุกท่าน หากพวกท่านอยู่เบื้องบนแล้วรู้สึกเหงาล่ะก็ ลงมาเล่นที่ข้างล่างบ้างก็ได้นะขอรับ ! ’
‘ได้โปรดเถิด ! ’
‘แล้วก็ช่วยส่งเสริมดินแดนศักดิ์สิทธิ์จื่อชิงของเราด้วย ! ’
สวีฉิงเทียนคิดถึงตรงนี้ก็เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่สว่างสดใส และเม้มริมฝีปากแน่น
เขากลัวว่าตัวเองจะกลั้นน้ำตาเอาไว้มิอยู่ หรือส่งเสียงร้องห่มร้องไห้ออกมาในเวลาเช่นนี้จริง ๆ
หลังจากนักพรตฉางเสวียนได้สติ ใบหน้าที่ประดับไว้ด้วยรอยยิ้มสว่างไสวจึงหันไปหาหนานกงเสวียนจี พลางโค้งคำนับและกล่าวว่า “หากผู้อาวุโสหนานกงต้องการบำเพ็ญเพียรอยู่ที่เขาไท่เสวียน ผู้น้อยย่อมยินดีต้อนรับเป็นอย่างยิ่ง พร้อมกันนี้ผู้น้อยยังขอมอบตำหนักไท่เสวียนให้ท่านใช้พักผ่อนในระหว่างนี้ด้วยขอรับ”
“เจ้าสำนักไท่เสวียนเกรงใจกันเกินไปแล้ว หากข้าพักที่ตำหนักไท่เสวียน ก็เท่ากับยึดตำแหน่งของเจ้าน่ะสิ ! ”
หนานกงเสวียนจีโบกมือไปมาพร้อมรอยยิ้ม แล้วเอ่ยอย่างหยอกล้อ “อีกอย่างเจ้าต่างหากที่เป็นเจ้าสำนักของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียน”
นักพรตฉางเสวียนปรายตามองสวีฉิงเทียนที่หันหลังให้เขา ก่อนจะเอ่ยออกมาพร้อมรอยยิ้มว่า “ในเมื่อผู้อาวุโสหนานกงยอมบำเพ็ญเพียรอยู่ที่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียน เช่นนั้นท่านต้องการสถานที่บำเพ็ญเพียรเช่นไรก็เชิญเลือกได้ตามสบายเลยขอรับ”
“พูดได้ดี ! ”
หนานกงเสวียนจีตบที่หลังมือของนักพรตฉางเสวียนเบาๆ อย่างสนิทสนม ก่อนตอบกลับด้วยรอยยิ้มว่า “เจ้าสำนักไท่เสวียน ต่อไปท่านก็มิต้องเกรงใจข้าเช่นนี้อีกและมิต้องพิธีรีตองเช่นนี้ด้วย”
นักพรตฉางเสวียนพยักหน้าหงึกหงัก “ได้ ๆ ขอรับ ! ”