พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า – บทที่ 1501 สู่ขอ

บทที่ 1501 สู่ขอ

สำหรับอวิ๋นจือชิวแล้ว คำดูหมิ่นของเยว่เหยาในปีนั้นยังคงดังอยู่ข้างหู ถึงแม้สิ่งที่พูดจะไม่ไพเราะ แต่ในบางด้านก็เป็นเรื่องจริง ในปีนั้นที่อยู่ทะเลทรายม่านเมฆา ให้ผู้ชายเข้าออกห้องนางบ่อยๆ นั้นไม่เหมาะสมจริงๆ ต่อให้เยว่เหยาจะไม่พูด แต่หลังจากอยู่กับเหมียวอี้นางก็สนใจจุดนี้แล้ว ก่อนหน้านี้นางไม่ถือสาอะไร ไม่ว่าคนอื่นอยากจะพูดอย่างไร ถ้านางตัวตรงก็ย่อมไม่กลัวเงาเอียงอยู่แล้ว แต่หลังจากแต่งงานกับเหมียวอี้ จะไม่ให้นางแยแสเรื่องนี้ก็คงยาก

เหมียวอี้ไม่ถือสาเรื่องในอดีตระหว่างนางกับเฟิงเสวียนได้ ถึงแม้ปากนางจะไม่พูด แต่ในใจถือสาเรื่องนี้มาก ถ้าพูดโดยมองจากบางมุม นั่นก็คือจุดด่างพร้อยที่สมควรให้คนอื่นตำหนิ ดังนั้นนางจึงปล่อยให้คนพูดถึงเรื่องแบบนี้ไม่ได้อีก ไม่อย่างนั้นจะเป็นการอาศัยความใจกว้างของเหมียวอี้มาทำเรื่องที่ไม่รับผิดชอบต่อเหมียวอี้ หลังจากแต่งงานกับเหมียวอี้แล้ว ขอเพียงต้องไปพบกับผู้ชายคนอื่นนอกจากเหมียวอี้ ข้างกายนางก็ต้องมีผู้หญิงอยู่ด้วยเสมอ เชียนเอ๋อร์กับเสวี่ยเอ๋อร์จะต้องมีใครสักคนอยู่ข้างกายนาง ถ้าทั้งสองไม่อยู่นางก็จะดึงคนอื่นมา ไม่อย่างนั้นนางก็ยอมปฏิเสธเรื่องนี้จะดีกว่า

ดังนั้นนางจะพบกับฉู่จื่อซานเป็นการส่วนตัวได้อย่างไร ยิ่งไปกว่านั้นนางก็รู้แล้วด้วยว่าฉู่จื่อซานมีเจตนาไม่ซื่อ

และสำหรับฉู่จื่อซาน การอาศัยตำแหน่งฐานะของตัวเองจัดดการผู้หญิงสักคนก็ไม่ยากเลย ตัวเองออกหน้าเองแล้ว ไม่ว่าอีกฝ่ายจะเต็มใจหรือไม่เต็มใจแต่ก็หลบไม่พ้น

เมื่อได้ยินดังนั้นจึงหัวเราะเบาๆ หลังจากนั่งลงแล้วก็พยักหน้าบอกว่า “การรักษาความบริสุทธิ์ของผู้จัดการอวิ๋นช่างน่านับถือ เป็นข้าเองที่ผลีผลามไป”

หลังจากอวิ๋นจือชิวโบกมือให้นำน้ำชามาวาง และนั่งลงตรงข้าม ชายชราสีหน้าเรียบเฉยก็มายืนอยู่ข้างหลังนาง เป็นยอดฝีมือที่ลัทธิมารส่งมาคุ้มครองนาง นางจำเป็นต้องป้องกันไม่ให้ฉู่จื่อซานทำซี้ซั้ว “ท่านหัวหน้าภาคมาเยือนด้วยตัวเอง ทำไมไม่เห็นคนของตำหนักคุ้มเมืองมาด้วยล่ะคะ?”

“เป็นธุระส่วนตัว ไม่จำเป็นต้องทำให้ตำหนักคุ้มเมืองแตกตื่นหรอก” ฉู่จื่อซานว่าอย่างนั้น

ถึงแม้อำนาจของตลาดสวรรค์กับอำนาจท้องถิ่นจะแยกออกจากกันแล้ว แต่ในฉากหน้าทุกคนก็จะสู้กันอย่างเอาเป็นเอาตายไม่ได้ ยังต้องอยู่ร่วมกันอีก มิหนำซ้ำถึงแม้ตลาดสวรรค์ในตอนนี้จะอยู่ในการควบคุมของราชินีสวรรค์ แต่ความจริงกลับอยู่ในมือของราชันสวรรค์ และเบื้องหลังของฉู่จื่อซานก็คือกองทัพองครักษ์ตำหนักสวรรค์ ถือเป็นกำลังพลสายตรงของราชันสวรรค์เช่นกัน จะให้ความสัมพันธ์ของทั้งสองฝ่ายแย่เกินไปไม่ได้ เป็นเพราะฉู่จื่อซานมีเจตนาไม่ซื่อ จึงไม่อยากให้สะเทือนไปถึงฝ่ายตลาดสวรรค์

อวิ๋นจือชิวย่อมเดาออกแล้วว่าเขามีเจตนาไม่ดี นี่ก็คือจุดที่นางกังวลเช่นกัน ถ้าไปมีเรื่องกับฉู่จื่อซาน จุดเชื่อมต่อที่ลัทธิมารสร้างขึ้นมาอย่างยากลำบากก็อาจจะดำเนินกิจการต่อไปไม่ได้ นางรู้อยู่แก่ใจแต่ยังแสร้งถามว่า “ท่านหัวหน้าภาคมาที่นี่มีอะไรจะกำชับหรือคะ?”

“ข้าชื่นชมผู้จัดการอวิ๋น จะกล้ากำชับอะไรผู้จัดการอวิ๋นได้ล่ะ” ฉู่จื่อซานพูดปนหัวเราะ แต่สายตากวาดมองบนเรือนร่างอันยอดเยี่ยมของอวิ๋นจือชิว แล้วพูดตรงๆ เลยว่า “แต่ข้ามีเรื่องที่จะต้องคุยกับผู้จัดการอวิ๋นจริงๆ ข้าพูดตรงๆ เลยแล้วกัน ครั้งแรกที่เห็นผู้จัดการอวิ๋นข้าก็ใจเต้นแรงแล้ว ข้าถึงได้มารบกวนหลายรอบ ที่จริงครั้งนี้อดทนต่อความรักที่มีต่อผู้จัดการอวิ๋นไม่ไหว ก็เลยมาสู่ขอผู้จัดการอวิ๋นต่อหน้าเลย หวังว่าผู้จัดการอวิ๋นจะแต่งงานกับฉู่คนนี้”

ในที่สุดก็เปิดเผยเรื่องราวแล้ว เชียนเอ๋อร์กับเสวี่ยเอ๋อร์สบตากันแวบหนึ่ง ทั้งสองค่อนข้างกังวล เกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ ไม่รู้ว่าควรจะเชื่อฟังฮูหยินแล้วปิดบังนายท่านต่อไปหรือเปล่า ทั้งสองเชื่อฟังอวิ๋นจือชิวก็เพราะรู้สึกว่าสิ่งที่อวิ๋นจือชิวพูดมีเหตุผลจริงๆ ไม่อยากให้เกิดเรื่องขึ้นกับเหมียวอี้อีก แต่พอวุ่นวายจนกลายเป็นแบบนี้แล้ว หลังจากจบเรื่องแล้วถ้าให้นายท่านรู้เรื่องนี้ ก็เกรงว่าตนจะทนรับความพิโรธปานอัสนีบาตนั้นไม่ไหว

อวิ๋นจือชิวเอามือป้องปากหัวเราะ “หัวหน้าภาคล้อเล่นแล้ว จือชิวเป็นหญิงที่มีสามีแล้ว ไม่สามารถรับคำเชื้อเชิญของนายท่านได้ค่ะ”

กับเรื่องบางเรื่องถ้าถูกใจขึ้นมาก็ช่วยไม่ได้แล้ว การหัวเราะแบบนี้ทำให้ฉู่จื่อซานร้อนวูบวาบในใจ ทุกรอยยิ้มและการกระทำบวกกับเรือนร่างอ่อนช้อยอวบอัด ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็หวั่นไหวเหมือนมีน้ำกระเพื่อมในใจ อยากจะอุ้มสาวงามกลับไปเสียตอนนี้ แต่เขารู้ว่าชายชราที่อยู่ข้างหลังสาวงามคงจะไม่ใช่เล่นๆ เห็นได้ชัดว่าเป็นผู้คุ้มกัน จึงกล่าวด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ไม่ได้พูดเล่น ข้าเคยตรวจสอบภูมิหลังของเจ้ามาแล้วจือชิว ทราบมาว่าสามีของเจ้าจากโลกนี้ไปแล้ว ตอนนี้เจ้าครองตัวเป็นหม้าย ถ้าจะแต่งงานอีกสักครั้งก็เป็นเรื่องปกติ ทำไมจะทำไม่ได้?”

จู่ๆ ก็เปลี่ยนจาก ‘ผู้จัดการอวิ๋น’ กลายเป็น ‘จือชิว’ ทำให้อวิ๋นจือชิวสะอิดสะเอียนอย่างบอกไม่ถูก อีกฝ่ายพูดเปิดอกเรื่องนี้แล้ว ชัดเจนแล้วว่าถ้าไม่บรรลุเป้าหมายก็จะไม่เลิก อยากจะหลบก็หลบไม่พ้น นางจำเป็นต้องถอนหายใจแล้วบอกว่า “ไม่ปิดบังท่านหัวหน้าภาค ตอนนี้ข้าครองตัวเป็นหม้ายจริงๆ เพียงแต่ข้าคำสัญญากับคนคนหนึ่งไว้นานแล้ว ว่าทั้งชาตินี้จะไม่แต่งงานกับใครอีก ถ้าจะแต่งงานอีกครั้ง ก็ต้องพิจารณาเขาก่อน”

“มีเรื่องนี้ด้วยเหรอ?” ฉู่จื่อซานพยักหน้าแสดงออกว่าเชื่อ คาดว่าอีกฝ่ายคงจะกำลังหาเหตุผลข้ออ้างมาปฏิเสธ จึงหรี่ตาบอกว่า “ไม่ทราบว่าเขาคือใครเหรอ ลองพูดให้ฟังหน่อยได้หรือไม่ จะได้ทำให้ฉู่คนนี้ตัดใจได้ง่ายๆ หน่อย?”

อวิ๋นจือชิวถอนหายใจแล้วบอกว่า “ในเมื่อท่านหัวหน้าภาคเคยตรวจสอบประวัติของข้าแล้ว คาดว่าคงจะรู้ว่าตอนที่ข้าเคยเปิดร้านที่ตลาดสวรรค์ดาวเทียนหยวน ตอนนั้นมีคนคนหนึ่งเอ็นดูจือชิวเหมือนกับท่านหัวหน้าภาคนี่แหละค่ะ ข้าเป็นคนที่มีสามีแล้ว มีหรือที่จะตอบตกลง ตอนหลังตระกูลข้าประสบหายนะจนข้าเป็นหม้าย คนคนนั้นจึงขอข้าแต่งงานซ้ำแล้วซ้ำเล่า ข้าก็เลยให้สัญญากับเขาเอาไว้ ถามหน่อยว่าถ้าข้าผิดสัญญาต่อเขา คนคนนั้นที่กล้าไม่ไว้หน้าแม้แต่อ๋องสวรรค์อิ๋ง เกรงว่าคงจะเกิดปัญหาใหญ่แน่นอน หวังว่าท่านหัวหน้าภาคจะเข้าใจ”

เดิมทีนางไม่อยากจะอ้างชื่อเหมียวอี้ แต่ตอนนี้หมดหนทางแล้ว จำเป็นต้องอ้างเหมียวอี้มาขัดขวางสักหน่อย

“…” ฉู่จื่อซานนิ่งชะงัก หันกลับไปมองลูกน้องข้างหลัง คนข้างหลังถ่ายทอดเสียงบอกว่า “นายท่าน คงจเป็นหนิวโหย่วเต๋อขอรับ!”

ฉู่จื่อซานย่อมรู้อยู่แล้วว่าเป็นหนิวโหย่วเต๋อ พอสืบประวัติของอวิ๋นจือชิว ถ้าจะไม่รู้ข่าวลือของทั้งสองคนก็คงยาก นึกไม่ถึงว่ายังจะมีคำสัญญานี้อยู่ด้วย จึงถามว่า “จือชิวหมายถึงหนิวโหย่วเต๋อเหรอ?”

อวิ๋นจือชิวพยักหน้า “เป็นนายท่านหนิวโหย่วเต๋อค่ะ”

“เหอะๆ!” ฉู่จื่อซานยิ้มพลางส่ายหน้า ตอนนี้เขาก็ได้ยินข่าวของหนิวโหย่วเต๋อมาเช่นกัน จึงกล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า “อย่าบอกนะว่าจือชิวไม่ได้ข่าวว่าเขาโดนทำโทษให้ไปอยู่ที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์? เกรงว่าจะรอดชีวิตกลับมาได้ยากแล้ว เจ้านั่นนับเป็นคนเก่งกาจในกองทัพองครักษ์ของพวกเขาเหมือนกัน ถ้าตายแล้วก็น่าเสียดายจริงๆ ทว่าเรื่องบางเรื่องก็เป็นแบบนี้ ก่อกรรมเองก็ไม่รอดหรอก”

อวิ๋นจือชิวยิ้มบางๆ “ข้ากำลังติดต่อกับดาวเทียนหยวนอยู่บ้าง ไม่นานก่อนหน้านี้สหายของดาวเทียนหยวนบอกว่า นายท่านหนิวยังมีชีวิตอยู่ ทั้งยังใกล้จะครบเวลาลงโทษแล้ว อีกไม่นานก็จะออกมาจากแดนมรณะดึกดำบรรพ์แล้ว”

“ยังมีชีวิตอยู่เหรอ?” ฉู่จื่อซานแอบสูดหายใจอย่างตกตะลึง ขนาดอยู่สถานที่ผีๆ นั่นหนึ่งพันปียังรอดกลับมาได้อีก เจ้าหมอนั่นมันใช้ได้จริงๆ

ถึงแม้จะได้ยินข่าวของหนิวโหย่วเต๋อมาบ้าง แต่จะว่าไปแล้ว เขากับหนิวโหย่วเต๋อก็อยู่ห่างไกลกันมาก ทั้งชีวิตนี้ไม่รู้ว่าจะได้มาเจอกันหรือเปล่า เรื่องบางเรื่องก็แค่ฟังไว้เฉยๆ ไม่ได้เก็บมาใส่ใจ ยังไม่ต้องพูดถึงว่ารู้หรือเปล่าว่าหนิวโหย่วเต๋อยังมีชีวิตอยู่ แม้แต่หนิวโหย่วเต๋อโดนควบคุมตัวไปแดนมรณะดึกดำบรรพ์เมื่อไรเขาก็ยังลืมไปแล้วเลย จะจำได้อย่างไรว่าจะครบกำหนดเวลาลงโทษหนึ่งพันปีของหนิวโหย่วเต๋อแล้ว

อวิ๋นจือชิวพยักหน้า “ได้ยินว่าลูกน้องเก่าของนายท่านหนิวไปรับแล้ว คาดว่าข่าวคงจะไม่ผิดพลาด”

“จือชิวคิดมากไปแล้ว ต่อให้รอดชีวิตกลับมาได้ แต่เรื่องของเขาข้าก็สามารถแบกรับได้อยู่แล้ว ต่อให้เขาจะมีความเห็นแย้งอะไรจริงๆ แต่ข้าก็จะให้เบื้องบนของกองทัพองครักษ์ออกหน้าแก้ไขปัญหาให้ได้ เจ้าไม่ต้องกังวลเลย สามารถแต่งงานกับฉู่ได้อย่างสงบใจ!” ฉู่จื่อซานยิ้มบางๆ ไม่มีท่าทีว่าจะกังวลเรื่องนี้เลยสักนิด

ถ้าพูดถึงชื่อเสียง ตัวเองก็เทียบหนิวโหย่วเต๋อไม่ได้จริงๆ คนนั้นกล้าล้างเลือดที่ตลาดสวรรค์หลายครั้ง กล้าลบหลู่งานรับสนมของราชันสวรรค์ แต่ถึงอย่างไรก็เป็นคนของกองทัพองครักษ์ ถ้าไม่มีเรื่องอะไรเขาก็ไม่จำเป็นต้องไปยั่วโมโหหนิวโหย่วเต๋อเลยจริงๆ แต่เขาก็ไม่จำเป็นต้องกลัวหนิวโหย่วเต๋อเช่นกัน อาณาเขตของตัวเองกับหนิวโหย่วเต๋ออยู่ห่างไกลและไม่เกี่ยวข้องกัน ตัวเองแต่งงานกับคนในอาณาเขตของตัวเอง เรื่องของอวิ๋นจือชิวกับหนิวโหย่วเต๋อไม่มีทางเป็นไปได้ ถ้าหนิวโหย่วเต๋อกล้ามาก่อเรื่อง กล้ามาเสียมารยาทก่อนจริงๆ แบบนั้นก็เท่ากับรนหาที่ตาย ตัวเองฆ่าไปก็เปล่าประโยชน์ มิหนำซ้ำตัวเองก็รู้สึกว่าอวิ๋นจือชิวปฏิเสธได้อย่างน่าสงสัยมาก ตามที่เขาสืบมา หนิวโหย่วเต๋อเลิกติดต่อกับอวิ๋นจือชิวนานแล้ว นางแค่อยากจะอ้างเรื่องนี้มาตบตาเขา

อีกอย่างก็เป็นอย่างที่เขาบอก ว่าต่อให้หนิวโหย่วเต๋อจะไม่พอใจจริงๆ แต่เบื้องบนของกองทัพองครักษ์ก็คงจะไม่ทนมองเห็นคนของตัวเองบีบคอกันเอง จะต้องแทรกแซงแน่นอน หรือพูดอีกอย่างก็คือ ใครได้ผู้หญิงคนนี้ก่อนก็ถือว่าเหนือกว่าในด้านเหตุผล เป็นไปไม่ได้ที่เบื้องบนจะกดดันให้เขาจากไปและให้อวิ๋นจือชิวแต่งงานกับหนิวโหย่วเต๋ออีก

เมื่อเห็นว่าอ้างเหมียวอี้แล้วขู่เขาไม่ได้ อวิ๋นจือชิวก็ทำได้เพียงปฏิเสธว่า “นายท่านมีอนาคตไกล จือชิวเป็นแม่หม้ายคนหนึ่ง ไม่คู่ควรกับนายท่านค่ะ”

ฉู่จื่อซานไม่ยอมถอย กล่าวพร้อมสายตาเร่าร้อนฮึกเหิม “ข้าไม่ถือสาหรอก ทำไมต้องถือสา ขอเพียงเจ้าเต็มใจ ข้าก็ยินดีจะปฏิบัติต่อเจ้าอย่างจริงใจ ในภายหลังก็อาจจะเลื่อนจากอนุภรรยาให้เป็นฮูหยินเอกก็ได้”

อวิ๋นจือชิวรู้อยู่แล้วว่าเขาอยากจะรับนางเป็นอนุภรรยา แค่อยากจะเก็บนางเป็นเนื้อที่คนอื่นห้ามแตะต้อง ที่บอกว่าในภายหลังจะตั้งให้ ‘หญิงหม้าย’ อย่างนางเป็นฮูหยินเอกอะไรนั่น มีแต่ผีเท่านั้นแหละที่เชื่อ เมื่อได้คนมาอยู่ในมือแล้ว เล่นจนเบื่อแล้ว ยังจะมีเรื่องในภายหลังอะไรได้อีก พูดจาถึงขั้นนี้แล้ว คงจะตบตาต่อไปไม่ได้ นางจึงปฏิเสธตรงๆ เลยว่า “จือชิวไม่ได้อยากแต่งงานอีกแล้วจริงๆ หวังว่าหัวหน้าภาคจะเข้าใจ”

ฉู่จื่อซานหน้าเครียดขรึมทันที “จือชิว นี่เป็นเรื่องที่งดงามแท้ๆ ถ้าทำร้ายความรู้สึกกันจนแตกคอก็จะไม่สนุกแล้วนะ ขอเพียงเจ้าแต่งงานกับข้า ต่อไปนี้ทั้งน่านฟ้าระกาติงก็ไม่มีใครกล้าแตะต้องเจ้าแล้ว ไม่อย่างนั้นด้วยนิสัยเจ้าอารมณ์ของพวกลูกน้องข้า เกรงว่าจะกล้าทำเรื่องที่เกินเลยได้ง่ายๆ ปล่อยไปตามธรรมชาติเถอะ ถ้าฝืนอยู่ด้วยกันก็จะไม่สนุกแล้ว” ชัดเจนว่ากำลังขู่คุกคาม กำลังบอกอวิ๋นจือชิวว่าปฏิเสธไปก็ไม่มีประโยชน์ สุดท้ายก็ยังต้องอยู่ด้วยกัน ทำไม่ต้องทำให้วุ่นวายไม่มีความสุข

อวิ๋นจือชิวจ้องตาเขาตรงๆ ครู่หนึ่ง แล้วถามว่า “ให้เวลาข้าพิจารณาสักครึ่งปีเป็นอย่างไร?”

ฉู่จื่อซานกล่าวเสียงเรียบว่า “ในเมื่อสุดท้ายก็ต้องแต่งงานกับฉู่คนนี้อยู่ดี ทำไมต้องรออีกครึ่งปีด้วยล่ะ”

อวิ๋นจือชิวตอบว่า “ถึงแม้ข้าจะเป็นหม้าย แต่ถึงอย่างไรก็มีตระกูลสามีอยู่ ขนาดร้านนี้ยังเป็นกิจการของบ้านสามีเลย ถ้าจะแต่งงานอีกครั้งก็ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ ถ้าแม้แต่ผลที่ตามมาขั้นพื้นฐานยังรับมือไม่ได้ ต่อให้แต่งงานกับหัวหน้าภาคไป ข้าสามารถละทิ้งชื่อเสียงได้ แต่หัวหน้าภาคจะไม่แยแสอนาคตเชียวหรือ?”

ฉู่จื่อซานเงียบไปครู่หนึ่ง จะว่าไปก็มีเหตุผบ บังคับหญิงหม้ายเพื่อฮุบกิจการของตระกูลหญิงหม้ายนั้นฟังดูไม่ไพเราะ เมื่อก่อนเขาไม่ได้พิจารณาในจุดนี้ ที่ผ่านไม่เคยใช้วิธีแข็งกร้าว ก็เพราะว่าการบังคับนั้นไม่เหมาะสมไม่ใช่เหรอ ต้องทราบไว้ว่าก่อนหน้านี้ในตำหนักสวรรค์มีการเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลัน มีคนไม่น้อยที่ถูกโค่นลงแบบนี้ เขาเองก็ค่อยๆ ยืนขึ้นมาได้เช่นกัน เขาจึงพยักหน้าบอกว่า “ถ้าตระกูลสามีของเจ้ามีจุดไหนที่ลำบากใจ ก็บอกข้ามาได้เลย ข้าจะจัดการแทนเจ้าเอง กำหนดเรื่องนี้ไว้ตามนี้แล้วกัน อีกครึ่งปีข้าจะแต่งเจ้าเข้าบ้าน!” ไม่ให้โอกาสอีกฝ่ายพิจารณาเลย กำหนดเรื่องนี้ให้ตายตัวเสียเลย

จากนั้นก็หันกลับมากำชับลูกน้องว่า “ให้พวกพี่น้องมาจับตาดูหออวิ๋นฮว๋าไว้ให้ดี ถ้าผู้จัดการอวิ๋นจะออกไปข้างนอก ก็ต้องให้คนของพวกเราคุ้มครอง ถ้าขนหายไปแม้แต่เส้นตัว ข้าจะเอาเรื่องเจ้า” นี่เป็นการป้องกันไม่ให้อวิ๋นจือชิวเล่นตุกติก

“ขอรับ!” ลูกน้องของเขากุมหมัดเอ่ยรับคำสั่ง

ฉู่จื่อซานหันกลับมา สายตามองเรือนร่างอวบอัดของอวิ๋นจือชิว แล้วกล่าวชมในใจอีกครั้ง ช่างเป็นของหายากจริงๆ!

จากนั้นก็หันตัวเดินออกไป

หลังจากส่งเขากลับไปแล้ว อวิ๋นจือชิวก็หันตัวกลับมาด้วยสีหน้าเย็นเยียบ แล้วรีบนำคนเดินเข้ามาในลานบ้านด้านใน พอเข้ามาในศาลาที่ลานบ้านด้านหลัง ก็ออกคำสั่งเลยว่า “ผู้เฒ่าฟ่าน ติดต่อลูกน้องหน่อย กำจัดเจ้าแซ่ฉู่นั่นทิ้งซะ ทำให้เรียบร้อยหน่อยนะ อย่าทิ้งปัญหาอะไรไว้”

…………………………

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

เหมียวอี้ เด็กหนุ่มธรรมดาแต่มีโชคชะตาที่ไม่ธรรมดา!

เขาคือเด็กกำพร้าที่ถูกเพื่อนบ้านตราหน้าว่าเป็น ‘ตัวหายนะ’

เพราะพ่อแม่บุญธรรมที่รับเลี้ยงเขาล้วนมีจุดจบอยู่ในกองเพลิงทั้งสิ้น

เขาจึงต้องเติบโตมากับน้องๆ ต่างสายเลือดอีกสองคนตามลำพัง

ไร้เงิน ไร้อำนาจ ไร้ความสามารถ ซ้ำยังเป็นตัวซวย โลกนี้มันช่างอยู่ยากเสียจริง!

หนทางที่จะลบคำครหาของชาวบ้านและก้าวพ้นชีวิตที่ยากไร้ไปได้ก็คือการสำเร็จเป็นเซียน

แม้ความปรารถนาจะอยู่สูงเกินเอื้อม แต่เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่น

ถึงจะลำบากและอันตรายเพียงใด

ก็ขอทะยานไปให้สุดขอบฟ้า!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท