เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน – ตอนที่ 138 มีที่หนึ่งที่ท่านต้องชอบแน่

เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน

ตอนที่ 138 มีที่หนึ่งที่ท่านต้องชอบแน่

“ติ๊ง ! ”

เสียงพิณอันไพเราะก้องกังวานราวกับระฆังแก้ว ดังออกมาจากอารามฉางชิงด้านบนเขาตะวันออก

ทันใดนั้นผู้คนที่กำลังขอพรอยู่บนลานต่างก็ตื่นตกใจ และพากันเงยหน้าขึ้นมองอารามฉางชิงที่อยู่ด้านบนทันที

ลำแสงอันเจิดจ้าสายหนึ่งทะยานขึ้นฟ้า ทำให้ท้องนภาในยามค่ำสว่างไสวขึ้นมาในพริบตา เป็นปรากฏการณ์ที่งดงามและน่าเหลือเชื่อ

ณ ลานด้านล่างเขาตะวันออก

หลังจากตกอยู่ความเงียบมาพักหนึ่ง บัดนี้เสียงผู้คนก็เซ็งแซ่ขึ้นมาอีกครั้ง

“นี่… นี่เป็นการสำแดงอิทธิฤทธิ์ของท่านเทพฉางชิง ท่านกำลังตอบรับคำอธิษฐานของพวกเรา”

“ใช่แล้ว ต้องเป็นการสำแดงอิทธิฤทธิ์ของท่านเทพฉางชิงเป็นแน่ ! ”

“มัวยืนงงอะไรกันอยู่ รีบอธิษฐานเร็วเข้า”

“ใช่แล้ว มัวยืนงงอะไรกัน หากอธิษฐานตอนนี้ต้องสัมฤทธิ์ผลเป็นแน่”

“ท่านเทพฉางชิงสำแดงอิทธิฤทธิ์ ได้โปรดช่วยให้สะใภ้ของข้าตั้งครรภ์ด้วยเถิด ตระกูลของข้าสืบทอดมาหลายชั่วอายุคน จะมาจบสิ้นที่ข้ามิได้เด็ดขาดนะเจ้าคะ”

“ท่านเทพฉางชิง ท่านต้องคุ้มครองให้คืนนี้ข้าชนะกลับมานะขอรับ ข้าสาบานว่าต่อไปข้าจะมิเล่นพนันอีกแล้ว”

“ท่านเทพฉางชิง ขอท่านได้โปรดดลบันดาลให้ข้าเกี้ยวแม่นางหรูฮวาสำเร็จด้วย หากมิมีนางข้าก็มิอาจมีชีวิตต่อไปได้อีกแล้วขอรับ”

“……”

เสียงอธิษฐานจากผู้คนมากมายดังขึ้นมิขาดสาย

เสียงพิณในอารามฉางชิงก็ค่อย ๆ ดังขึ้นเช่นเดียวกัน เดี๋ยวเร็ว เดี๋ยวช้า บ้างคล้ายกับเสียงน้ำไหล ราวกับเสียงสวรรค์ก็มิปาน

ขณะเดียวกันรถม้าที่พวกจางเฉินนั่งมาและเคลื่อนที่ไปได้มิถึงร้อยเมตร ก็ต้องหยุดลงอีกครา

อีกทั้งครานี้พวกจางเฉินกลับเป็นคนร้องขอให้คนขับหยุดรถม้าด้วยตัวเอง

“อาจารย์ เหตุใดจึงหยุดกะทันหันเล่าขอรับ ? ”

บุรุษวัยกลางคนผู้หนึ่งขมวดคิ้วขึ้นเมื่อจางเฉินสั่งให้หยุดรถ

จางเฉินเอ่ยอย่างครุ่นคิด “วันนี้ที่ข้าเกือบเข้าสู่วิถีได้เพราะเกี่ยวข้องกับอารามฉางชิง พอมาตอนนี้ขณะเดินทางผ่านอารามฉางชิงก็ปรากฏนิมิตขึ้นอีก หากจากไปตอนนี้ดูจะมิเหมาะสมเท่าไร”

“อาจารย์ หรือว่าท่านจะเข้าไปสักการะท่านเทพฉางชิงตอนนี้หรือขอรับ ? ”

บุรุษวัยกลางคนอีกผู้หนึ่งถามขึ้นอย่างสงสัย

จางเฉินมิได้กล่าวสิ่งใด เพียงแค่ลุกขึ้นและเดินลงจากรถม้าไป

บุรุษวัยกลางคนใบหน้าหล่อเหลาทั้งสองคนสบตากันเล็กน้อย ก่อนทำได้เพียงเดินตามลงไปเท่านั้น

เนื่องจากหลังสร้างอารามฉางชิงเสร็จ เยี่ยนหยางเหนียนได้ออกราชโองการกำหนดเวลาเปิดปิดอารามฉางชิงเอาไว้

และเวลานี้เป็นเวลาที่อารามฉางชิงปิดอยู่พอดี

แต่จางเฉินอาศัยชื่อเสียงและฐานะของตน จึงขึ้นไปบนเขาตะวันออกได้

เพียงแต่หัวหน้าองครักษ์ที่เฝ้าอยู่ กลับอนุญาตให้เขาขึ้นไปได้เพียงผู้เดียวเท่านั้น

จางเฉินเข้าไปจุดธูปกราบไหว้ที่โถงหลักก่อน จากนั้นจึงยืนนิ่งอยู่นอกประตูอารามแล้วมองไปทางทิศใต้

“หากข้าเดามิผิดล่ะก็ ท่านเทพฉางชิงคงเข้ามาในเมืองหลวงแล้วสินะ และเป็นไปได้สูงว่าจะพำนักอยู่ทางทิศใต้ของเมืองหลวงด้วย”

จางเฉินขมวดคิ้วแน่น เอ่ยอย่างครุ่นคิด “แม้วันนี้ข้าจะมิสามารถเข้าสู่วิถีได้ แต่สามารถสัมผัสได้ถึงการไหลเวียนของโชคชะตาแล้ว แต่มิรู้ว่าท่านเทพฉางชิงผู้นั้นจะยอมพบหน้าข้าสักคราหรือไม่ ? ”

จางเฉินเอ่ยถึงตรงนี้พลันสีหน้าก็เผยให้เห็นความกังวลออกมา

เขารู้ดีว่าต่อให้วันนี้เขาสามารถเข้าสู่วิถีได้สำเร็จ กลายเป็นเทพแห่งการศึกษา

แต่สำหรับท่านเทพฉางชิงผู้นี้แล้ว เขาก็ยังคงเป็นเพียงผู้น้อยคนหนึ่งเท่านั้น

แต่บัดนี้เขาสามารถสัมผัสได้ถึงตำแหน่งของท่านเทพฉางชิงแล้ว เช่นนั้นเขาจึงกำลังชั่งใจอยู่ว่าควรจะลองไปเสี่ยงดวงทางด้านทิศใต้ของเมืองหลวงดีหรือไม่ มิแน่เขาอาจจะได้พบท่านเทพฉางชิงก็เป็นได้

และเขายังมั่นใจอีกว่าท่านเทพฉางชิงผู้นี้ จะยอมให้เขาเข้าพบอีกด้วย

“วันนี้ท่านเทพฉางชิงได้ประทานโอกาสให้แก่ข้า ดูท่าคงอยากจะพบหน้าข้ามิมากก็น้อยกระมัง?”

จางเฉินยกยิ้มขึ้นที่มุมปาก ก่อนจะโค้งคำนับอย่างนอบน้อมไปทางทิศใต้ของเมืองหลวง

……………………………

คฤหาสน์จิ่งหลันหยวน

หลังเย่ฉางชิงดีดพิณจนจบเพลง จิตใจของเขาก็ค่อย ๆ สงบลง

เขาถอนหายใจออกมาเบา ๆ แล้วจึงลุกเดินไปยังเตียงนอนเพื่อพักผ่อน

วันนี้ขณะที่เดินทางจากเมืองเสี่ยวฉือไปยังเมืองชิงเหอนั้น เขาเดินเท้าไปเกือบสองชั่วยาม

ตอนนั้นภายในใจเกิดความรู้สึกมากมายหลากหลายจนมิรู้สึกถึงความเหนื่อย บัดนี้พอจิตใจสงบลงแล้ว จึงได้รู้สึกถึงความเหนื่อยล้าขึ้นมาทันที

มินานเย่ฉางชิงก็เข้าสู่นิทรา

จนเวลาผ่านไปเกือบครึ่งชั่วยาม

ถูสือซานที่หมอบอยู่ข้างหมอนของเย่ฉางชิงก็ลืมตาขึ้นมา ก่อนจะกระโดดลงมาจากเตียงแผ่วเบา

ในตอนที่นางมุดออกไปนอกประตูนั้น

เหมือนว่าราชันทมิฬกำลังรอนางอยู่ที่นอกประตูแล้ว

“นายท่านพักผ่อนแล้วหรือ ? ”

ราชันทมิฬเอ่ยถามพลางเลียมุมปากไปด้วย

ถูสือซานพยักหน้าตอบกลับไปว่า “ราชันทมิฬ เหตุใดตั้งแต่มาเมืองหลวงของพวกมนุษย์แห่งนี้ ข้าเหมือนสัมผัสได้ว่าไอพลังของนายท่าน เหมือนจะสะท้อนกับบางสิ่งบางอย่างเล่า ? ”

ราชันทมิฬกะพริบตา

‘เหตุใดข้าถึงมิรู้สึกเช่นนั้นกันนะ ? ’

‘หรือเป็นเพราะกายเนื้อของถูสือซานมีการเปลี่ยนแปลง ? ’

หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง

“ข้ามิเห็นจะรู้สึกเลย”

ราชันทมิฬส่ายหน้า พลางเอ่ยชี้แนะว่า “สือซาน ตอนนี้เจ้าได้รับสิ่งวิเศษจากนายท่าน เช่นนั้นจงตั้งใจบำเพ็ญเพียรให้ดี หากมิมีสิ่งใดผิดพลาด ความสำเร็จของเจ้าต้องอยู่เหนือข้าอย่างมากเป็นแน่ มีความเป็นไปได้ว่าเจ้าจะได้ขึ้นเป็นจอมปีศาจ”

ถูสือซานตะลึงงันก่อนจะเอ่ยว่า “เพื่อนายท่าน สือซานจะพยายามเต็มที่เจ้าค่ะ”

ขณะเดียวกันหลังจากเยี่ยนจิ่งหงได้ฟังเสียงพิณของเย่ฉางชิงจนจบเพลง ราวกับได้เข้าสู่สภาวะรู้แจ้ง

เขานั่งลงกับพื้นก่อนจะใช้มือทั้งสองข้างทำท่ามุทรา พลังวิญญาณภายในร่างกายค่อย ๆ ไหลเวียน

เยี่ยนปิงซินมิได้รบกวนการบำเพ็ญเพียรของเยี่ยนจิ่งหงอีก หลังจากกลับถึงห้องของตัวเอง นางก็เริ่มบำเพ็ญเพียรเช่นกัน

ยามค่ำคืนหมุนผ่านไปอย่างรวดเร็ว

วันต่อมา หลังจากเย่ฉางชิงตื่นขึ้นมา ก็พบว่าท้องฟ้าด้านนอกหน้าต่างขณะนี้ก็ค่อย ๆ สว่างแล้ว

ส่วนข้างหมอนของเขาก็เป็นร่างขาวโพลนของถูสือซานที่ยังคงนอนหมอบอยู่ตรงนั้น

เย่ฉางชิงมองดูด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะลงจากเตียงไปเปลี่ยนเสื้อผ้า

แต่ในตอนที่เขาสวมอาภรณ์สีขาวเสร็จ กำลังก้าวออกมานอกประตูนั้น

ก็มีสาวใช้กลุ่มหนึ่งยืนเรียงแถว ราวกับรออยู่นานแล้ว

ภาพตรงหน้าทำให้เย่ฉางชิงรู้สึกตกใจอย่างมาก

‘นี่มันอะไรกัน ? ’

‘เหตุใดรู้สึกเหมือนนายน้อยได้เวลาแต่งตัวหลังจากตื่นนอนเลย ? ’

แต่เขาใช้ชีวิตเพียงลำพังมาหลายปีจนชินเสียแล้ว จึงรู้สึกตั้งรับพิธีรีตองเช่นนี้มิทัน

ตอนนั้นเองสาวใช้ที่เป็นหัวหน้าก็ได้เอ่ยถามด้วยเสียงนุ่มนวล “ท่านเย่ ท่านต้องการอาบน้ำเปลี่ยนอาภรณ์หรือไม่เจ้าคะ ? ”

“ข้าเพียงแค่จะล้างหน้าล้างตาเท่านั้น มิรบกวนพวกเจ้าดีกว่า”

เย่ฉางชิงผงะไปเล็กน้อย ก่อนจะโบกมือไปมาพร้อมรอยยิ้มบาง ๆ ช่างดูสุภาพอ่อนโยนยิ่งนัก

ความจริงแล้วจู่ ๆ ก็ได้รับการดูแลเช่นนี้ เขาจึงรู้สึกรับมือมิทันจริง ๆ

เขาจึงเริ่มคิดว่าหากช่วงที่พักอยู่กับตระกูลเยี่ยนแล้วเกิดเคยชินกับการใช้ชีวิตเช่นนี้ ต่อไปเมื่อไปจากตระกูลเยี่ยนและมิสามารถอยู่ในเมืองหลวงต่อได้อีก

เช่นนั้นเขาก็แย่น่ะสิ ?

เช่นนั้นหลังจากชั่งใจอยู่ครู่หนึ่ง เขาจึงปฏิเสธออกไป

สาวใช้ที่ยืนอยู่ด้านหน้าสุด พยักหน้าให้แก่เย่ฉางชิง ก่อนหมุนตัวเดินนำคนกลุ่มนั้นจากไปอย่างรีบเร่ง

พวกนางล้วนเป็นคนที่องค์รัชทายาทคัดเลือกมาด้วยตนเอง อีกทั้งยังได้กำชับเอาไว้

มิว่าสิ่งใดล้วนต้องทำตามความต้องการของท่านเย่ผู้นี้ ห้ามทำสิ่งใดที่เป็นการขัดคำสั่งเด็ดขาด มิเช่นนั้นจะถูกลงโทษสถานหนัก

เวลาผ่านไปหนึ่งก้านธูป

เย่ฉางชิงที่เพิ่งล้างหน้าล้างตาเสร็จ เยี่ยนเทียนซานก็เดินนำเยี่ยนจิ่งหงสองคนพี่น้องเข้ามา

“ท่านเย่”

หลังจากพบเย่ฉางชิง ใบหน้าที่เต็มไปด้วยริ้วรอยของเยี่ยนเทียนซานก็ประดับไว้ด้วยรอยยิ้มอบอุ่นทันที ก่อนจะประสานมือคารวะขึ้นมา

เย่ฉางชิงจึงเอ่ยทักทายด้วยรอยยิ้ม “ท่านเยี่ยน อรุณสวัสดิ์”

เยี่ยนปิงซินเอ่ยขึ้นด้วยดวงตาเปล่งประกายและรอยยิ้มเจิดจ้า “ท่านเย่ ห้องเครื่องเตรียมอาหารเช้าเอาไว้เรียบร้อยแล้ว หลังจากทานเสร็จแล้ว ท่านอยากจะออกไปเดินดูเมืองหลวงหรือไม่เจ้าคะ ? ”

เยี่ยนเทียนซานได้ยินเช่นนั้นก็มีสีหน้าเปลี่ยนไป อดมิได้ที่จะปรายตามองเยี่ยนปิงซิน

“ข้าก็คิดเอาไว้เช่นนั้น”

เย่ฉางชิงยิ้มรับ ก่อนจะถามต่อว่า “จริงสิคุณหนูเยี่ยน ช่วงนี้เมืองหลวงมีงานแสดงภาพวาดใหญ่ ๆ บ้างหรือไม่ ? ”

“งานแสดงภาพวาด ? ”

เยี่ยนปิงซินกลอกตาไปมาพลางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงเอ่ยขึ้นอย่างมีเลศนัยว่า “งานแสดงภาพวาดตอนนี้ยังมิมีเจ้าค่ะ แต่มีที่หนึ่งที่ท่านต้องชอบอย่างแน่นอนเจ้าค่ะ”

เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน

เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน

Status: Ongoing
นิยายแปลไทยเรื่อง เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน รายละเอียด เทพแห่งกระบี่ : หากผู้อาวุโสเย่มอบภาพอักษรพู่กันให้ข้าอีกสักภาพ พรุ่งนี้ข้าคงสามารถเปิดประตูสวรรค์ได้แล้ว …… ……เย่ฉางชิงรู้สึกเอือมระอายิ่งนัก ทั้งๆ ที่เขาเป็นเพียงคนธรรมดาคนหนึ่ง เหตุใดถึงได้มีผู้คนแวะเวียนมาหาไม่แต่ละเว้นวันเช่นนี้นะ?

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท