ตอนที่ 151 ขอบคุณท่านเย่ที่ประทานวาสนาเช่นนี้ให้
ตอนนี้เย่ฉางชิงรู้สึกหมดคำจะพูดจริง ๆ
ถึงแม้กลหมากปริศนาภาพที่สองจะดูซับซ้อน และสถานการณ์ของกลหมากดูเคร่งเครียดกว่าภาพที่หนึ่ง
แต่หลังจากที่เย่ฉางชิงมองกลหมากออก จึงพบว่ากลหมากภาพที่สองนี้ใช้ลูกเล่นเดิมมิมีผิดเพี้ยน
อีกทั้งตำแหน่งที่ทำลายกลหมากยังเป็นตำแหน่งเดียวกันอีกด้วย
เดิมเย่ฉางชิงคิดว่ากลหมากภาพที่สองจะมีการเปลี่ยนแปลง แต่สุดท้ายก็เพียงแค่เปลี่ยนน้ำแกงมิเปลี่ยนยา1 นี่เอง
ทำให้ความตื่นเต้นของเขาหายไปเกือบครึ่งทันที
ทว่าหลังจากที่เขาแก้กลหมากปริศนาภาพที่สองได้แล้ว ก็มีลำแสงส่องมาที่หน้าผากของเขา และมีเสียงแหบแห้งเสียงนั้นดังขึ้นเช่นเดิม
แต่สุดท้าย ?
หลังจากที่เสียงนั้นเอ่ยจบ ก็มิมีอะไรเกิดขึ้นอีกเช่นเคย
แม้จะรู้สึกมิพอใจ แต่เขาก็เลือกที่จะรออย่างเงียบ ๆ ราวหนึ่งก้านธูป
ดวงตาเรียวยาวของเย่ฉางชิงจึงค่อย ๆ ลืมขึ้น มุมปากกระตุกเล็กน้อย
‘ไหนล่ะที่เรียกว่าถ่ายทอดความทรงจำ ? ’
‘ล้อกันเล่นเยี่ยงนั้นหรือ ? ’
‘กลหมากคล้ายกันยังพอทำใจรับได้ แต่เรื่องถ่ายทอดความทรงจำอะไรนี่กลับหลอกลวงกันเยี่ยงนั้นหรือ ? ’
‘แล้วเจ้าจะทำให้มันซับซ้อนเช่นนี้ทำไมกัน ! ’
‘หรือว่าผู้แข็งแกร่งสมัยบรรพกาลผู้นี้ ชอบหลอกลวงผู้อื่นเยี่ยงนั้นหรือ ? ’
‘มิหนำซ้ำความแตกฉานในวิถีหมากก็มิได้ดูสูงส่งสักเท่าไร ! ’
‘ยุคนั้นเขามิมีกำหนดขั้นต่ำไว้เลยหรือเยี่ยงไรกัน ! ’
เย่ฉางชิงอดที่จะพร่ำบ่นไม่ได้
หลังจากนิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่ง เย่ฉางชิงจึงหันไปมองทางหลู่ฉี ก่อนเอ่ยด้วยเสียงที่ค่อนข้างเย็นชาว่า “ผู้ดูแลหลู่ รบกวนเปิดม้วนกลปริศนาอีกภาพให้ข้าที”
‘หืม ? ! ’
ทันทีที่เย่ฉางชิงเอ่ยออกไปเช่นนั้น ทุกคนต่างก็พากันตกตะลึงอีกครั้ง
โดยเฉพาะน้ำเสียงที่ค่อนข้างเย็นชาของเขา ทำให้บัดนี้แผ่นหลังทุกคนต่างชุ่มไปด้วยเหงื่อกาฬเย็นเหยียบ
แม้แต่พวกเยี่ยนเทียนซานเองก็เช่นกัน
“ผู้อาวุโสเย่เป็นอะไรไป เหตุใดถึงได้มิพอใจเช่นนี้ หรือว่ามีเรื่องอะไรที่ไปละเมิดข้อห้ามของเขาเข้างั้นหรือ ? ”
“ท่านบรรพบุรุษ หรือว่ากลหมากปริศนาภาพนี้จะมีปัญหาอะไรหรือไม่เจ้าคะ ? ”
“ใช่แล้ว ท่านบรรพบุรุษหรือว่าหอสายลมจันทราจะทำบางอย่างกับกลหมากปริศนาภาพนี้เจ้าคะ ? ”
“เป็นไปได้”
“เยี่ยนจิ่งหงวันนี้หลังกลับไปแล้ว เจ้าช่วยส่งคนมาตรวจสอบเรื่องนี้ที หากกลหมากปริศนาภาพนี้มีปัญหาจริง ให้ขับหอสายลมจันทราออกจากเมืองหลวงทันที”
“ท่านบรรพบุรุษ ข้าจะส่งคนไปที่จวนผู้กล้าให้พวกเขาไปตรวจสอบเดี๋ยวนี้ขอรับ”
“……”
“ผู้อาวุโสเป็นอะไรไปหรือ ? ”
“ใช่แล้ว หรือว่ากลหมากปริศนา 13 ภาพนี้จะมีความลับบางอย่างที่มิมีผู้ใดล่วงรู้ ทว่ากลับละเมิดบรรทัดฐานของท่านผู้อาวุโสเข้า ? ”
“ใช่แล้ว เป็นไปได้”
“มิใช่ ข้าว่าต้องเป็นเช่นนั้นอย่างแน่นอน ! ”
ขณะที่ทุกคนกำลังก้มหน้ากระซิบกระซาบกันอยู่นั้น
หลู่ฉีก็มีสีหน้าซีดเผือดลง เหงื่อผุดขึ้นตามหน้าผากอย่างอดมิได้
‘เทพแห่งหมากท่านนี้เป็นอะไรไป ? ’
‘สามารถแก้กลหมากปริศนาได้ติดกันถึง 2 ภาพ ตามหลักแล้วควรจะดีใจถึงจะถูก แต่เหตุใดกลับดูเหมือนมิพอใจเช่นนี้เล่า ? ’
‘หรือว่ากลหมากปริศนานี่จะมีปัญหาจริง ๆ ? ’
‘แต่เป็นไปมิได้เด็ดขาด ! ’
‘กลหมากปริศนาสิบสามภาพนี้ถูกผนึกเก็บไว้ที่ห้องนั้นอย่างดีมาโดยตลอด ผนึกด้านบนยังได้นักวางค่ายกลแห่งยุคมาเป็นคนทำให้อีกด้วย มิหนำซ้ำผู้ที่มีตบะบารมีต่ำกว่าระดับแดนเทวา ก็มิมีผู้ใดจะสามารถทำลายผนึกรอบ ๆ ได้’
‘ใช่แล้ว ! ’
‘หรือว่าภาพกลหมากปริศนานี้มีความลับอะไรบางอย่างซ่อนอยู่ ? ’
‘เมื่อเทพหมากท่านนี้แก้กลหมากปริศนาสองภาพติด ๆ กัน ตอนนี้จึงเกิดความรู้สึกไร้เรี่ยวแรงขึ้นมา ? ’
‘อืม น่าจะเป็นเช่นนั้น ! ’
หลู่ฉีคิดได้เช่นนั้นจึงลองถามหยั่งเชิงว่า “มิทราบว่าท่านต้องการพักสักครู่ แล้วค่อยแก้กลหมากปริศนาที่เหลือต่อดีหรือไม่ขอรับ ? ”
เย่ฉางชิงได้สติขึ้นมาอีกครั้ง สีหน้าของเขาจึงค่อย ๆ อ่อนลง
ตนเองมาเมืองหลวงเป็นคราแรก อีกทั้งยังมิมีใครคอยหนุนหลัง ส่วนตระกูลเยี่ยนเป็นตระกูลเช่นไรในเมืองหลวง เขาเองก็มิแน่ใจเช่นกัน
และการที่หอสายลมจันทราสามารถยืนหยัดอยู่ในเมืองหลวงได้ เบื้องหลังของที่นี่ย่อมมิธรรมดาอย่างแน่นอน มิแน่อาจมีอำนาจบางอย่างก็เป็นได้
เช่นนั้นหากผู้ดูแลคนใดคนหนึ่งของที่นี่เกิดโมโหจนขับไล่เขาออกไป เช่นนั้นความพยายามก่อนหน้านี้ก็เท่ากับสูญเปล่าน่ะสิ
เย่ฉางชิงคิดแล้วก็ถอนหายใจออกมา
‘เย่ฉางชิงเอ๋ยเย่ฉางชิง นอกจากพิณ หมาก อักษรพู่กันและภาพวาด ที่เจ้าพอจะเก่งกว่าคนอื่นเล็กน้อยแล้ว เจ้ายังมีดีอะไรอีกบ้าง ? ’
‘ควบคุม ควบคุม ควบคุมอารมณ์ตัวเองหน่อย เวลานี้มิใช่โลกที่สงบสุขอีกแล้ว แต่เป็นโลกเซียน อาจถึงตายได้ทุกเมื่อเชียวนะ ! ’
เย่ฉางชิงจึงสงบสติอารมณ์ลง ก่อนจะฝืนยิ้มให้แก่หลู่ฉี พลางโบกมือไปมา “มิเป็นไร ก่อนหน้านี้ข้าพบปัญหาบางอย่างบนภาพกลหมากปริศนาทั้งสองภาพ เช่นนั้นข้าจึงอยากรู้ว่าภาพกลหมากปริศนาภาพอื่น ๆ จะมีปัญหาเช่นนี้อีกหรือไม่”
‘ภาพกลหมากปริศนามีปัญหา ? ’
ทุกคนต่างชะงักงัน พร้อมกับสบตากัน
‘ภาพกลหมากปริศนามีปัญหาอะไรงั้นหรือ ? ’
ขณะที่ทุกคนกำลังมองเย่ฉางชิงด้วยความสงสัยอยู่นั้น หลู่ฉีก็ได้เปิดกลหมากปริศนาภาพที่สามออกอย่างระมัดระวัง
เมื่อภาพกลหมากปริศนาถูกวางลงบนโต๊ะกลมอีกครั้ง
เย่ฉางชิงเพียงกวาดตามองกลหมากคร่าว ๆ ครานี้เขาก็ใช้หลักการเดียวกันกับภาพที่หนึ่งและภาพที่สอง
ทำให้ครั้งนี้จึงใช้เวลาเพียงหนึ่งก้านธูปเท่านั้น
เย่ฉางชิงพบว่ากลหมากปริศนาภาพนี้ ยังคงมีจุดสำคัญอยู่ที่จุดเดิม
หลังพบปัญหานี้
เย่ฉางชิงจึงอดที่จะขมวดคิ้วขึ้นมิได้
เพียงแต่เขามิได้รีบร้อนวางหมากแก้กลแต่อย่างใด แต่กลับเบนสายตาไปมองเยี่ยนปิงซินที่อยู่มิไกลแทน
เขาอยากรู้ว่าสิ่งที่เรียกว่าการถ่ายทอดความทรงจำนั้น เป็นสิ่งที่ตั้งใจแกล้งเขาหรือไม่
“คุณหนูเยี่ยน เชิญมาทางนี้หน่อย”
เย่ฉางชิงเอ่ยพร้อมรอยยิ้มให้แก่เยี่ยนปิงซิน
เยี่ยนปิงซินชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้ายิ้ม ๆ แล้วเดินมาทางเย่ฉางชิง
“ท่านเย่ ให้ข้าช่วยอะไรท่านหรือไม่เจ้าคะ ? ”
เยี่ยนปิงซินเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าสงสัย
เย่ฉางชิงกระซิบเสียงเบา และถามขึ้นว่า “คุณหนูเยี่ยน ตำแหน่งที่ข้าแก้กลหมากเมื่อครู่ เจ้าสังเกตเห็นหรือไม่ ? ”
เยี่ยนปิงซินพยักหน้ารับตามตรง
เมื่อครู่ทุกคนต่างก็จับตามองกระดานนิมิตด้านหลังของผู้อาวุโสเย่ นางเองก็เช่นกัน
เย่ฉางชิงจึงเอ่ยต่อ “ถ้าเช่นนั้นให้เจ้าแตะไปยังตำแหน่งที่เห็นก่อนหน้านี้ บนภาพกลหมากปริศนาภาพนี้หน่อยสิ”
“ข้า ? ”
นิ้วเรียวยาวของเยี่ยนปิงซินชี้ไปที่ตัวเอง ด้วยท่าทางงุนงง
เย่ฉางชิงจึงพยักหน้าให้อีกครั้ง
เยี่ยนปิงซินลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าแล้วยื่นมือไปแตะลงบนภาพกลหมากปริศนา ที่ทุกคนกำลังจับตามองอยู่
“เปรี้ยง ! ”
ทันใดนั้นลำแสงเจิดจ้าสายหนึ่งก็ส่องออกมาจากภาพกลหมากปริศนา แล้วปกคลุมเยี่ยนปิงซินเอาไว้ในพริบตา
มินานก็มีเสียงแหบแห้งทรงอำนาจดังขึ้นในโสตประสาทของเยี่ยนปิงซิน
“ยินดีด้วย ที่เจ้าแก้กลหมากปริศนาที่ข้าทิ้งเอาได้สำเร็จ นั่นก็หมายความว่าเจ้ามีคุณสมบัติพอที่จะได้รับการถ่ายทอดจากข้า”
“ข้าใกล้จะสำเร็จเป็นเซียนแล้ว เช่นนั้นภายในกลหมากปริศนาทุกกลจะมีจิตวิญญาณดั้งเดิมหลงเหลืออยู่ จิตวิญญาณดั้งเดิมนี้มีความทรงจำส่วนหนึ่งของข้ารวมอยู่ด้วย”
“เจ้าเตรียมพร้อมรับความทรงจำของข้าแล้วหรือยัง ? ”
“เคล็ดดาราไร้จำกัด ! ”
“เคล็ดวิชานี้ข้าได้รับมาตอนที่เข้าไปในแดนอันตรายแห่งหนึ่ง เคล็ดวิชานี้มีท่านเทพสมัยบรรพกาลท่านหนึ่งเป็นผู้คิดค้น หากฝึกได้จะได้รับความสำเร็จในการบำเพ็ญเพียรมหาศาล แต่เคล็ดวิชานี้จะต้องมีตบะบารมีระดับแดนเทวาจึงจะสามารถฝึกได้…”
จวบจนเวลาผ่านไปเกือบครึ่งชั่วยาม
แสงที่ปกคลุมเยี่ยนปิงซินเอาไว้ก็ค่อย ๆ จางหายไป
มุมปากของเยี่ยนปิงซินยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม ใบหน้าเต็มไปด้วยความยินดี
วินาทีต่อมา ทันทีที่เยี่ยนปิงซินลืมตาขึ้น นางก็ได้คุกเข่าลงตรงหน้าของเย่ฉางชิงในทันที พลางโค้งตัวลงกับพื้นอย่างนอบน้อม
“เยี่ยนปิงซิน ขอบคุณท่านเย่ที่ประทานวาสนาเช่นนี้ให้เจ้าค่ะ”
1 เปลี่ยนน้ำแกงมิเปลี่ยนยา คำพังเพยมีความหมายว่า เปลี่ยนแปลงเฉพาะภายนอกแต่ภายในยังคงเดิม