พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า – บทที่ 1531 บุกสังหาร

บทที่ 1531 บุกสังหาร

เรียกว่าทัพใหญ่หนึ่งล้านไม่ได้แล้ว ลองนับดูคร่าวๆ ความเสียเปรียบที่เกิดขึ้นเพราะประมาทไปชั่วขณะทำให้ฝ่ายนี้จ่ายค่าเสียหายไปเป็นกำลังพลเกือบสามแสนคน

หนิวโหย่วเต๋อ? แม่ทัพที่พุ่งสังหารนำเข้ามา พอได้ยินชื่อนี้ก็ตกใจมาก ชื่อที่มีแซ่แบบนี้ บวกกับเป็นผู้นำกำลังพลของกองทัพองครักษ์ น่าจะไม่มีคนอื่นแล้ว ชั่วพริบตานั้น ก่อนหน้านี้เขาอยากรู้มาตลอดว่าไอ้บ้าคนไหนมันมาบัญชาการกองทัพ ในที่สุดตอนนี้ก็ได้รู้คำตอบแล้ว ที่แท้ก็เป็นไอ้บ้าที่ชื่อเสียงโด่งดังนี่เอง มิน่าล่ะ!

ชั่วพริบตาที่ทั้งสองประจัญบานใส่กัน มัวแต่คิดเรื่องอื่นก็ไม่มีประโยชน์แล้ว แม่ทัพที่นำหน้ามาตะโกนอย่างโมโหว่า “รอให้เหยียนชุนจัดการเจ้าเถอะ!”

ที่แท้หารคนนี้ก็ชื่อเหยียนชุนนี่เอง

ทั้งสองโจมตีสังหารมาถึงกันในชั่วอึดใจเดียว เหยียนชุนไม่กล้าหยุดอยู่ที่เดิม ถึงอย่างไรชื่อเสียงของคนก็เหมือนเงาของต้นไม้ เขาไม่กล้าประมาทเลินเล่อ พอลงมือก็ออกแรงเต็มที่ โบกดาบฟันไปที่เหมียวอี้อย่างบ้าคลั่ง

“รับความตายซะเถอะ!” เหมียวอี้ยังตะโกนไม่ทันสิ้นเสียง เสียงมังกรคำรามก็ดังเข้ามา รวดเร็วเหมือนเงาผี จุดสีดำขนาดเม็ดไข่มุกที่หมุนวนอยู่บนหัวทวนพลันแทงออกมา ใหญ่ขึ้นกว่าเม็ดถั่วเหลืองในปีนั้นแล้วไม่น้อย พอลงมือก็ใช้ฝีมือที่เป็นสมบัติประจำบ้านอย่าง ‘หนึ่งทวนสิบสังหาร’ เลย

ก็ช่วยไม่ได้ ผู้บัญชาการสูงสุดของกองมังกรดำอย่างเขาสู้ศึกแรก ภายใต้สถานการณ์ที่อันตรายแบบนี้ ก็ต้องชนะอย่างเดียวเท่านั้น ห้ามแพ้เด็ดขาด ไม่อย่างนั้นจะส่งผลต่อขวัญกำลังใจทหารอย่างร้ายแรง แล้วก็ต้องชนะอย่างราบรื่นฉับไวเพื่อเพิ่มขวัญกำลังใจทหารด้วย ดังนั้นเขาจึงให้กำลังทั้งหมดในการลงมือครั้งนี้

ในตอนนี้มีคนไม่น้อยกำลังจับตาดูการต่อสู้ทางฝั่งนี้ บ้างก็หันหน้ามองมา บ้างก็ใช้หางตาสังเกต ถ้าจะดูที่วรยุทธ์เหยียนชุนก็ชนะไปไกล แต่หนิวโหย่วเต๋อที่โด่งดังสะท้านใต้หล้าก็ไม่ได้มีดีแค่ชื่อเสียงเช่นกัน!

แกร๊ง! มีเสียงสั่นสะเทือนดังขึ้น!

ในชั่วพริบตานี้มีคนไม่น้อยที่สูดหายใจอย่างตกตะลึง

ดาบใหญ่ที่หยียนชุนฟันออกมา ไม่น่าเชื่อว่าจะโดนหนิวโหย่วเต๋อใช้ทวนปัดจนกระเด็นออกไปแล้ว มีเสียง “อั้ก” พร้อมกระอักเลือดออกมาคำหนึ่ง ทั้งตัวสะเทือนจนกระเด็นถอยหลังออกไป

เหมียวอี้ไม่ผ่อนความเร็วในการโจมตี ออกทวนทางซ้ายและขวา มีเสียง “อา!” ดังต่อเนื่องสองครั้ง น้ำเลือดสองสายพุ่งออกจากคอลูกน้องที่อยู่ทางซ้ายและขวาของเหยียนชุน สองคนนี้รวมทั้งเหยียนชุนล้วนสวมเกราะรบผลึกแดง เหมียวอี้กลับไม่ได้ออกทวนไปเปล่าๆ พอออกทวนสองครั้งก็เขี่ยคอได้สองคน

ยังไม่จบแค่นั้น เหมียวอี้ที่เฉียดผ่านตัวทั้งสองคนไปสะบัดทวนในมือหนึ่งที โดนคอของเหยียนชุนอีกที หัวทวนเขี่ยไปด้านหลัง ร่างของเหยียนชุนกระเด็นไปข้างหลังเขา

เหยียนชุนกระเด็นออกไปขณะที่ใช้สองมือจับคอและเบิกตากว้าง ที่ปากจมูกและใต้คอมีเลือดสดไหลออกมาอย่างบ้าคลั่ง ในแววตาเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ นึกไม่ถึงว่าก่อนที่ทั้งสองฝ่ายจะปะทะกัน อีกฝ่ายจะไม่เคยเผยชื่อเสียงเลย ไม่น่าเชื่อว่าตอนเปิดเผยชื่อจะเป็นเวลาตายของตัวเอง!

ในหัวเขาร้องครวญครางอย่างเศร้าโศก หนิวโหย่วเต๋อไม่ได้มีดีแค่ชื่อเสียงจริงๆ ด้วย มานึกเสียใจทีหลังก็สายไปแล้ว!

จากนั้นสองคนนั้นที่มาด้วยก็โดนทวนของเหมียวอี้เขี่ย โดนทหารห้าวร้อยคนที่พุ่งตามหลังเหมียวอี้มาเหยียบจม ศีรษะสามใบกระเด็นออกไปตามๆ กัน

ท่านแม่ทัพภาคช่างทรงพลัง! ทหารกล้าร้อยคนที่ตามหลังเหมียวอี้รู้สึกฮึกเหิมมาก ตอนนี้ไม่รู้สึกสิ้นหวังอีกแล้ว ราวกับได้เห็นความหวังในการมีชีวิตรอด พวกเขาสู้สุดชีวิตทันทีเพื่อโอกาสมีชีวิตรอด โจมตีต่อสู้กับนักพรตบงกชรุ้งคนอื่นๆ ที่พุ่งตามเหยียนชุนเป็นกระบวนทัพรูปลิ่ม

นักพรตบงกชม่วงร้อยกว่าคนโจมตีไม่กี่คน แค่คิดก็รู้ถึงสถานการณ์แล้ว บดอัดเข้าไปด้วยความมั่นใจในชัยชนะ

กำลังพลกองมังกรดำที่บุกอยู่ข้างล่างมีความฮึกเหิมเต็มเปี่ยม พบว่าชื่อเสียงของท่านแม่ทัพภาคที่โจมตีฝ่าเข้าฝ่าออกทัพใหญ่หนึ่งล้านสามรอบไม่ใช่เปลือกครอบเอาไว้เฉยๆ ทำให้ในใจทุกคนมีความหวังในการมีชีวิตรอดทันที ขวัญกำลังใจทหารเพิ่มขึ้นหลายเท่าในชั่วพริบตาเดียว

ส่วนฝั่งน่านฟ้าระกาติงก็มีเสียงดังฮือฮาอยู่พักหนึ่ง ตกตะลึงในความเฉียบแหลมของหนิวโหย่วเต๋อ นึกไม่ถึงว่าในชั่วพริบตาเดียวจะสังหารนักพรตบงกชรุ้งทิ้งได้สามคน รองหัวหน้าภาคเหยียนชุนที่มีวรยุทธ์บงกชรุ้งขั้นห้า ไม่น่าเชื่อว่าจะต้านทานหนิวโหย่วเต๋อไม่ได้แม้แต่ทวนเดียว แค่ชั่วพบหน้ากันก็ตายอยู่ภายใต้ทวนของหนิวโหย่วเต๋อทันที!

ตอนนี้กำลังพลทุกคนของน่านฟ้าระกาติงนึกถึงชื่อเสียงที่หนิวโหย่วเต๋อสังหารฝ่าเข้าฝ่าออกทัพใหญ่หนึ่งล้านสามรอบอีกครั้ง ทำให้รู้สึกหวาดกลัวตัวสั่นเล็กน้อย จะต้านทานเจ้าหนุ่มนี่ไหวเหรอ?

เมื่อเห็นฝั่งนี้รวบรวมนักพรตบงกชรุ้งหนึ่งร้อยบุกโจมตี ฝั่งน่านฟ้าระกาติงก็มีนักพรตบงกชรุ้งเกือบห้าร้อยคนถูกเหยียนเรียกไปสนับสนุนทันที แต่ใครจะคิดว่าขนาดเหยียนชุนยังต้านทานการโจมตีครั้งเดียวของหนิวโหย่วเต๋อไม่ได้เลย และได้เห็นกับตาด้วยว่าหนิวโหย่วเต๋อสังหารนักพรตบงกชรุ้งต่อเนื่องกันสามคนในชั่วพริบตาเดียว พวกเขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกตัวสั่น เหี้ยมหาญขนาดนี้ ตรงนี้จะมีใครต้านทานได้บ้าง!

นักพรตบงกชรุ้งเกือบห้าร้อยคนที่พุ่งเข้ามารีบหยุดอย่างกะทันหัน ไม่ค่อยกล้าเข้าใกล้แล้ว ได้แต่มองดูหนิวโหย่วเต๋อถือทวนสังหารเข้าไปในทหารคุ้มกันทางซ้ายและขวาที่พุ่งตามเหยียนชุนมารับศึกราวกับผ่าคลื่น ขนาดนักพรตบงกชรุ้งยังต้านทานไม่ไหว มิหนำซ้ำพวกเขายังเป็นนักพรตบงกชทอง หนิวโหย่วเต๋อนั่นราวกับเสือโหดที่วิ่งเข้าฝูงแกะ ออกทวนราวกับมังกร กลุ่มคนที่ถูกพุ่งโจมตีร่วงลงมาเป็นแถบๆ เสียงกรีดร้องดังไม่ขาดหู

ชั่วพริบตาเดียว กำลังพลหนึ่งหมื่นที่ออกโจมตีก็พังทลายจนไม่ใช่กองทัพแล้ว รีบเลี้ยวหนีอย่างรวดเร็ว

มีคนมากมายขนาดนั้นหนีเอาตัวรอดตอนใกล้จะต่อสู้ ทำให้ขวัญกำลังใจของคนน่านฟ้าระกาติงถูกทำลายจนเกินทน

เหมียวอี้ที่หันกลับไปมองแวบหนึ่งเห็นทหารกล้าร้อยคนข้างหลังจัดการนักพรตบงกชรุ้งคนอื่นๆ ที่พุ่งตามเหยียนชุนเข้ามา ก็ตะโกนอย่างเกรี้ยวกราดทันทีว่า “อย่าพัวพันกับพวกเขา รักษากระบวนทัพแล้วตามหลังข้าไปสังหาร!” ตอนที่ยังพุ่งเข้าไปทำลายกระบวนทัพฝ่ายศัตรูไม่ได้ การพัวพันสู้เป็นการรนหาที่ตายจริงๆ

ทหารกล้าหนึ่งร้อยคนไม่มีใครพูดอะไรมาก ตามเขาไปทันที ปฏิบัติงานตามคำสั่ง

มีเหมียวอี้เป็นกองหน้า คนกลุ่มหนึ่งพุ่งไปยังกระบวนทัพของฝ่ายตรงข้ามอีกครั้ง

“ประหาร!” แม่ทัพคนหนึ่งฝั่งน่านฟ้าระกาติงก็มีพื้นเพมาจากกองทัพองครักษ์เช่นกัน เขาเห็นคนที่พุ่งเข้าไปเสียผู้บัญชาการหลัก ไม่น่าเชื่อว่ายังกล้าหนีทัพก่อนรบจนขวัญกำลังใจทหารปั่นป่วน มีหรือที่จะปล่อยให้คนพวกนั้นมาทำลายรูปทัพของฝ่ายตัวเอง เขาตะโกนอย่างเกรี้ยวกราดทันที

ด้านซ้ายและขวามีกลุ่มสารวัตรทหารพุ่งออกไปทันที โบกอาวุธทั้งดาบและทวนฟันแทงคนที่พุ่งเข้ามาอย่างต่อเนื่อง สังหารจนคนที่หนีกลับมาร้องโหยหวนเหมือนหมาป่า เสียงกรีดร้องดังเป็นแถบๆ

แต่เหมียวอี้ก็ดันนำคนพุ่งสังหารเข้ามาอีก กำลังพลกลุ่มใหญ่ที่เข้ามารับศึกวุ่นวายไร้ระเบียบทันที พวกเหมียวอี้พุ่งสังหารเข้ามาแล้ว สังหารจนเกิดเสียงกรีดร้องตลอดทาง ประชิดเข้าไปหานายพลโดยตรง

“เตรียมเชือกมัดเซียน!” นายพลที่ถือทวนแทงทหารหนีศึกตายไปคนหนึ่งตะโกนอย่างหัวร้อน

ทว่ากลับได้รับผลกระทบจากหทารหนีศึกจนทำให้ฝั่งนี้วุ่นวายไร้ระเบียบ ชั่วขณะที่ไม่ได้ร่ายอิทธิฤทธิ์สู้ อีกทั้งเหมียวอี้ยังพุ่งเข้ามาตรงหน้าเขาในชั่วพริบตาเดียว นายพลคนนั้นแค้นมาก แค้นที่เหยียนชุนประเมินศัตรูต่ำไป แค่ช่องโหว่นิดเดียวก็สร้างปัญหาใหญ่ให้ฝั่งนี้แล้ว เวลาทัพใหญ่ออกรบ เมื่อไรที่วุ่นวายไร้ระเบียบก็จะเกิดปัญหาใหญ่ คนยิ่งมากก็ยิ่งวุ่นวาย ถ้าอยากจะเรียกกลับมาจัดใหม่ก็ยากแล้ว ถึงได้มีคำกล่าวที่ว่าทัพถูกตีพ่ายเหมือนภูเขาพังทลาย

เขารู้ตัวเองว่าสู้ไม่ไหว พุ่งเข้าไปก็มีแต่จะรนหาที่ตาย ไม่ได้แสดงบทบาทได้เลยสักนิดเดียว มีแต่ต้องรีบเลี้ยวกลับเข้าไปในกลุ่มคน ขณะเดียวกันก็ตะโกนว่า “ปล่อย!”

พอเขาถอยหนี เมื่อเห็นแม่ทัพหนีไปแล้ว ฝั่งนี้ก็วุ่นวายยิ่งกว่าเดิมทันที

แต่กลับมีเชือกมัดเซียนไม่น้อยที่โยนออกมามั่วๆ มีข้อจำกัดด้านขนาด ต้านทานการพุ่งโจมตีของเหมียวอี้ไม่ไหว เหมียวอี้มีประสบการณ์ในการรับมือกับสิ่งนี้ตั้งนานแล้ว เกราะรบบนตัวตั้งขึ้นราวกับหนามแหลม หมุนพุ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว เชือกมัดเซียนที่โยนเข้ามาถูกฟันจนระเบิดเป็นผงทองทันที

ทหารกล้าหนึ่งร้อยที่ตามหลังมาอาศัยความแหลมคมของอาวุธที่เหมียวอี้ให้ ใช้ดาบและทวนฟันอย่างบ้าคลั่ง ทำให้เชือกมัดเซียนที่โยนเข้ามาขาดอย่างรวดเร็วเช่นกัน มีบางคนโดนเชือกมัดเซียนมัดไว้ สมาชิกกลุ่มที่อยู่ข้างกันก็รีบใช้อาวุธช่วยฟันเชือกมัดเซียนให้ ตามติดอยู่ข้างหลังเหมียวอี้ตลอดทาง ปกป้องอยู่ข้างหลังเหมียวอี้รวมทั้งเป็นปีกพุ่งสังหาร

เหมียวอี้ก็เองก็ไม่พุ่งเขาไปตรงๆ โดยไร้ความหวาดกลัวเช่นกัน เขารู้ถึงอานุภาพยามใช้เชือกมัดเซียนรวมกัน ถึงแม้เขาจะไม่กลัว แต่ถ้าเมื่อไรที่คนตามหลังโดนมัด ยามเผชิญหน้ากับการล้อมโจมตีก็มีแต่จะตายสถานเดียว จึงสนใจแค่นำคนสังหารไปยังจุดที่มีคนเยอะและไร้ระเบียบ กดความเร็วในการเหาะเอาไว้ ตามติดกลุ่มคนที่วุ่นวายไม่ยอมปล่อย ใช้วิธีการไล่บุกเข้าไปตลอดทาง

จุดไหนที่นักพรตบงกชรุ้งของฝั่งนี้ไปถึง ก็จะมีเสียงร้องโหยหวนเหมือนผีสาง มีเสียงกรีดร้องดังไม่ขาดหู สิ่งนี้ยิ่งสร้างความหวาดกลัวให้กำลังพลน่านฟ้าระกาติง

นี่เป็นเวลาที่ต้องให้แม่ทัพต้านทานศัตรูเพื่อรักษารูปทัพเอาไว้ และศึกแรกของเหมียวอี้ก็ดันสร้างบารมีแล้ว ทำให้นายพลพวกนั้นตกตะลึงพรึงเพริด ไม่มีใครกล้าเข้ามารับมือเพื่อยับยั้งพลังอันฮึกเหิมของกำลังพลกลุ่มเล็กๆ นี้

“ถอนกำลังไป! ถอนกำลังไปให้หมด!”

นายพลคนหนึ่งวางค่ายกลเชือกมัดเซียนเอาไว้เรียบร้อยแล้ว แค่รอให้พวกเหมียวอี้มาติดกับดักเอง ใครจะคิดล่ะว่ากลุ่มทหารที่ไร้ระเบียบฝ่ายตัวเองจะพุ่งเข้ามา ทำให้เขาโมโหจนทุบอกคำราม แต่ก็ไม่มีประโยชน์ เพราะมันทำให้รูปทัพฝั่งเขาชนกันมั่วทันที ทำให้พวกเหมียวอี้ฉวยโอกาสสังหารเข้ามา โจมตีให้ตรงนี้วุ่นวายอีกครั้ง

“อา!” นายพลคนนั้นทุบอกคำรามอย่างเดือดดาล ความรู้สึกไม่ยอมอยู่ในเสียงร้องอันเศร้าโศก คนมากมายขนาดนี้ ไม่น่าเชื่อว่าจะต้านทานคนแค่หนึ่งร้อยคนไม่ได้ ช่างเหลวไหลลวงโลกจริงๆ เขาเองก็จำเป็นต้องหลบคมอาวุธของพวกเหมียวอี้เช่นกัน รีบหนีเข้าไปกลางทัพที่วุ่นวายแล้ว

“ทุกคนนำกำลังพลของตัวเองถอยออกไป อย่ารวมตัวกัน เดี๋ยวค่อยกลับมารวมตัวกันใหม่อีกรอบ! เหลาจั่ว รีบนำทัพตามข้าไปแย่งชิงธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์!” นายพลคนหนึ่งตะโกนเสียงดัง

ในตอนนี้พอเหยียนชุนฝั่งน่านฟ้าระกาติงตายไป แม้แต่รองนายพลที่อยู่ข้างกายเหยียนชุนก็รบตายไปแล้ว เรียกได้ว่าเป็นมังกรไร้หัว เมื่อไม่มีคนคอยบัญชาการแล้ว แม่ทัพของแต่ละทัพก็ทำได้เพียงต่างคนต่างบัญชาการกำลังพลของตัวเอง

ทว่าเสียงนี้กลับทำให้ทัพใหญ่ที่วุ่นวายจัดระเบียบได้อย่างรวดเร็ว แม่ทัพแต่ละทัพตะโกนเสียงดัง “พวกพี่น้องมาทางนี้!”

ทัพใหญ่ที่วุ่นวายแบ่งกลุ่มกันถอยไปสี่ทิศทันที เหมียวอี้ร้อนใจมาก ถ้าปล่อยให้อีกฝ่ายจัดระเบียบกระบวนทัพใหม่ จุดประสงค์ของฝั่งนี้ก็จะสูญเปล่า ถึงตอนนั้นเชือกมัดเซียนที่รวมกันก็จะฝังพวกเขาได้เลย

พอเป็นแบบนี้ก็จะทำให้กองมังกรดำถูกทัพใหญ่หลายหมื่นล้อมไว้ แต่แล้วสถานการณ์วิกฤติอีกอย่างก็ปรากฏขึ้น มีกำลังพลสองกลุ่มต้านฝนธนูพุ่งไปแย่งธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ที่ร่วงอยู่บนพื้น

ความวุ่นวายเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเพียงชั่วพริบตาเดียว การจัดระเบียบทัพใหม่ก็เป็นเรื่องที่เร็วเพียงชั่วพริบตาเดียวเช่นกัน ระยะต่อสู้ของทั้งสองฝ่ายใกล้กันมาก ตั้งแต่ตอนที่เหมียวอี้นำคนพุ่งออกไปกวนให้ทัพของอีกฝ่ายวุ่นวายจนถึงตอนนี้ ก็เป็นสถานการณ์ที่เกิดขึ้นโดยใช้เวลาหายใจแค่ไม่กี่เฮือกเท่านั้น สาเหตุสำคัญเป็นเพราะพวกลูกน้องที่ฉู่จื่อซานพามาจากกองทัพองครักษ์ก็ไม่ใช่เล่นๆ เหมือนกัน ความสามารถในการบัญชาการไม่อ่อนด้อย

“กองมังกรดำ สังหารเข้าไป!” เหมียวอี้คำรามอย่างเดือดดาล

มู่อวี่เหลียนก็ร้อนใจเช่นกัน ตะโกนเสียงดังว่า “แยกแยะฝ่ายศัตรูกับฝ่ายเรา ตั้งธง ตามข้าไปสังหาร!”

กำลังพลหลายหมื่นของกองมังกรดำรีบนำผ้าแดงมาผูกคอ มีความต่างในความเหมือนกับพันธมิตรผ้าแดงที่เหมียวอี้สร้างขึ้นที่ทะเลดาวนักษัตรในปีนั้น จุดประสงค์หลักก็เพื่อแบ่งแยกฝ่ายศัตรูกับฝ่ายตัวเอง กองทัพองครักษ์มักจะเตรียมสิ่งนี้ไว้สมอ ยามปกติที่รับมือกับข้าศึกทั่วไปก็ไม่ต้องใช้ แค่เกราะรบบนตัวก็แบ่งแยกได้แล้ว แต่ผ้าแดงแบบนี้เอาไว้ใช้ยามปราบทัพกบฎ

ธงใหญ่ของธงพยัคฆ์น้ำเงินถูกตั้งโดยทัพกลาง ธงอินทรีและธงหมาป่าใต้สังกัดรีบตั้งธงเช่นกัน ประโยชน์ของผืนธงก็เพื่อแบ่งแยกฝ่ายศัตรูและฝ่ายตัวเอง จะได้สะดวกให้แม่ทัพควบคุมสถานการณ์ได้ทุกกลุ่ม

ลูกธนูดาวตกที่ยังมีอานุภาพอีกสองสามดอกก็ไม่เก็บเอาไว้เช่นกัน ยิงไปยังทัพใหญ่ที่อยู่บนพื้นอย่างบ้าระห่ำ ทำให้คนกลุ่มใหญ่ล้มตาย

“ฆ่า!” มู่อวี่เหลียนนำทหารของทัพกลางสังหารออกมาก่อน มาถึงขั้นนี้แล้ว ถ้าตัวเองไม่บุกนำไปก่อนคงไม่ได้ ถ้าปล่อยให้ฝ่ายตรงข้ามแย่งอาวุธที่แข็งแกร่งไป ความยากลำบากทั้งหมดก่อนหน้านี้ก็จะสูญเปล่า นางก็จะเอาชีวิตไม่รอดเช่นกัน มีแต่จะพินาศย่อยยับกันหมด ถ้าไม่สู้ตายตอนนี้แล้วจะรอตอนไหน

ผืนธงสีต่างๆ ของกองทัพองครักษ์ปลิวสะบัดตามแรงลมอยู่ข้างหลังนาง “ฆ่า!” กำลังพลหลายหมื่นตะโกนเสียงดัง ตามนางพุ่งสังหารใส่ทัพใหญ่ประมาณหนึ่งแสนกว่าราวกับกระแสน้ำไหลหลาก ชั่วขณะนั้นเสียงตะโกนฆ่าดังสะเทือนฟ้า เสียงกรีดร้องดังไม่ขาดหู เลือดเนื้อปลิวกระจาย น่าสังเวชใจที่สุด

…………………………

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

เหมียวอี้ เด็กหนุ่มธรรมดาแต่มีโชคชะตาที่ไม่ธรรมดา!

เขาคือเด็กกำพร้าที่ถูกเพื่อนบ้านตราหน้าว่าเป็น ‘ตัวหายนะ’

เพราะพ่อแม่บุญธรรมที่รับเลี้ยงเขาล้วนมีจุดจบอยู่ในกองเพลิงทั้งสิ้น

เขาจึงต้องเติบโตมากับน้องๆ ต่างสายเลือดอีกสองคนตามลำพัง

ไร้เงิน ไร้อำนาจ ไร้ความสามารถ ซ้ำยังเป็นตัวซวย โลกนี้มันช่างอยู่ยากเสียจริง!

หนทางที่จะลบคำครหาของชาวบ้านและก้าวพ้นชีวิตที่ยากไร้ไปได้ก็คือการสำเร็จเป็นเซียน

แม้ความปรารถนาจะอยู่สูงเกินเอื้อม แต่เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่น

ถึงจะลำบากและอันตรายเพียงใด

ก็ขอทะยานไปให้สุดขอบฟ้า!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท