เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน – ตอนที่ 262 ชั้นสี่หอเก็บตำรา

เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน

ตอนที่ 262 ชั้นสี่หอเก็บตำรา

‘เข้าใจแล้ว ? ’

เย่ฉางชิงยิ้มออกมา และมิได้พูดอะไรอีก

ต้องบอกว่าความคิดของคนบนโลกนี้ช่างบรรเจิดจริง ๆ

เหล่าผู้บำเพ็ญเพียรชั้นสูงขอเพียงเขาสร้างนิมิตขึ้นมาได้ ก็มั่นใจเสียแล้วว่าเขาต้องเป็นผู้ที่เก่งกาจ เป็นพวกบรรพจารย์อะไรนั่น

บัดนี้เสวียนเต๋อที่มาจากซีม่อ อาศัยเพียงหลักคำสอนมิกี่ประโยคก็สามารถเข้าใจได้แล้ว

แท้จริงแล้วเป็นเพราะข้าที่ความสามารถต่ำต้อยเกินไป หรือเป็นพวกเจ้าที่มีความสามารถสูงส่งเกินไปกันแน่ ?

อะไรก็สามารถเข้าใจได้ง่ายดายไปหมด ?

หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง เย่ฉางชิงจึงหมุนตัวกลับไปกวาดตามองคนของลัทธิเต๋า ก่อนจะกล่าวกับนักพรตฉางเสวียนว่า “ท่านเหอ ข้ายังต้องการอยู่ในหอเก็บตำราอีกสักระยะ เรื่องที่นี่ยกให้ท่านเป็นคนจัดการต่อก็แล้วกัน”

สิ้นเสียงเย่ฉางชิงก็เพ่งสมาธิ จากนั้นก็ขี่ปทุมสูติเหาะไปบนฟ้า มุ่งหน้าไปทางหอเก็บตำราในทันที

“ผู้น้อยน้อมส่งผู้อาวุโสเย่ ! ”

“ผู้น้อยน้อมส่งท่านบรรพจารย์เย่ ! ”

“ผู้น้อยน้อมส่งหลวงพ่อ ! ”

ทันทีที่เห็นร่างอันไร้เทียมทานหายไปจากสายตาอย่างรวดเร็วแล้ว

มิว่าจะเป็นคนของลัทธิเต๋า หรือว่าจะเป็นพวกเสวียนเต๋อต่างก็โค้งคำนับให้ด้วยความเคารพนอบน้อม

ตอนนั้นเองเสวียนเต๋อก็ค่อย ๆ เงยหน้าขึ้น พร้อมกับพนมมือทั้งสองข้าง แล้วเอ่ยกับคนของลัทธิเต๋าว่า

“ทุกท่าน การประชันการเทศนาในครานี้ศาสนาพุทธของเราเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ อาตมาขอให้สัญญานับแต่นี้ไปหากยังมิถึงโอกาส คนของศาสนาพุทธจะมิเข้ามายังจงหยวนอีก”

เอ่ยจบเสวียนเต๋อก็เดินนำพระสงฆ์สามร้อยรูปด้านหลังหมุนตัวเดินจากไป

ทว่าคนของลัทธิเต๋าที่มองดูพวกเสวียนเต๋อจากไปอย่างพ่ายแพ้ กลับดีใจมิออก

เพราะก่อนหน้านี้ผู้อาวุโสเย่ได้พูดเอาไว้แล้ว

รอวันหน้าเมื่อถึงเวลาแล้ว ศาสนาพุทธย่อมจะเข้ามาสู่ดินแดนจงหยวนได้เอง

เช่นนั้นปัญหาก็คือ !

ถึงเวลาที่ว่าความจริงคือเวลาใดกันแน่ ?

หลังจากมองพวกเสวียนเต๋อค่อย ๆ หายลับไปจากสายตา

เจ้าสำนักต้าหลัว หลัวชุนเฟิง ก็ทอดถอนใจออกมา จากนั้นจึงสบตากับนักพรตไท่หัวและนักพรตฉางเสวียนที่อยู่ข้างกาย

“ทุกท่าน ไปคุยกันที่ตำหนักไท่เสวียนสักหน่อยได้หรือไม่ ? ”

หลัวชุนเฟิงขมวดคิ้วเล็กน้อย พลางเอ่ยด้วยท่าทางเคร่งขรึม

“ข้ากำลังคิดเช่นนั้นอยู่พอดี ! ”

มินาน เจ้าสำนักของห้าดินแดนศักดิ์สิทธิ์ใหญ่ก็มารวมตัวกันอีกครั้ง ที่ตำหนักไท่เสวียน

“ทุกท่าน เมื่อครู่ผู้อาวุโสเย่ได้บอกแล้วว่า รอวันหน้าเมื่อถึงเวลาแล้ว ศาสนาพุทธย่อมจะเข้ามาสู่ดินแดนจงหยวนได้เอง”

หลัวชุนเฟิงเรียบเรียงคำพูดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยขึ้นเป็นคนแรกว่า “คิดว่าทุกท่านคงทราบดี หากศาสนาพุทธเข้าสู่จงหยวนได้ จะต้องส่งผลกระทบต่ออนาคตของลัทธิเต๋าของเราเป็นแน่”

ได้ยินเช่นนั้นทุกคนต่างก็มีสีหน้าเคร่งเครียด ก่อนส่งสายตาสื่อสารกันเล็กน้อย จากนั้นจึงพยักหน้าเห็นด้วย

“ใช่แล้ว มิรู้ว่าผู้อาวุโสเย่กล่าวเช่นนั้นกับพวกเสวียนเต๋อ แท้จริงแล้วมีจุดประสงค์อะไรกันแน่”

นักพรตไท่หัวยกมือข้างหนึ่งขึ้นลูบศีรษะ พลางเอ่ยอย่างครุ่นคิดว่า “แม้ลัทธิเต๋าของเราจะหยั่งรากลึกในจงหยวน แต่หากศาสนาพุทธแทรกซึมเข้ามาในจงหยวนได้ จะต้องส่งผลกระทบต่อความเจริญรุ่งเรืองของลัทธิเต๋ามิมากก็น้อยอย่างแน่นอน เช่นนั้นข้าคิดว่าเรื่องนี้เราจะละเลยมิได้เป็นอันขาด”

เจ้าสำนักจื่อ ชิงสวีฉิงเทียน ที่อยู่ข้าง ๆ พยักหน้าเห็นด้วย พลางยกมือขึ้นลูบหนวดของตนเอง “พี่ไท่หัวพูดถูกต้อง แต่จุดประสงค์ของผู้ที่เก่งกาจเช่นผู้อาวุโสเย่ พวกเราไหนเลยจะคาดเดาได้”

“อีกทั้งหากพวกเราทำให้ผู้อาวุโสเย่ขุ่นเคืองโดยมิตั้งใจขึ้นมา ถึงตอนนั้นอย่าว่าแต่ความอยู่รอดของสำนักบำเพ็ญเพียรเลย แม้แต่ความเจริญรุ่งเรืองหรือเสื่อมโทรมลงของลัทธิเต๋า ล้วนอยู่ในกำมือเขาทั้งสิ้น”

สิ้นเสียงตำหนักไท่เสวียนอันกว้างขวางพลันเงียบสงัดลงในพริบตา

ทั้งห้าคนต่างสบตากันไปมา ด้วยสีหน้าจนปัญญา

จนเวลาผ่านไปเกือบหนึ่งเค่อ

เจ้าสำนักหยินหยาง ต้วนฉางเต๋อ ก็หันมาทางนักพรตฉางเสวียนพร้อมรอยยิ้ม “พี่ฉางเสวียน ผู้อาวุโสเย่เป็นบรรพจารย์ของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนของท่านนี่นา ? ”

นักพรตฉางเสวียนนิ่งอึ้งไป ก่อนจะพยักหน้ารับอย่างมิเต็มใจนัก

ต้วนฉางเต๋อผู้นี้มีความคิดแปลกประหลาด จู่ ๆ เอ่ยถามเขาเช่นนี้ แสดงว่าจะต้องคิดอะไรพิเรนอยู่เป็นแน่

แล้วก็จริงดังคาด เมื่อเห็นนักพรตฉางเสวียนพยักหน้ารับ ต้วนฉางเต๋อจึงเอ่ยว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนั้นพี่ฉางเสวียน เพื่อเห็นแก่ลัทธิเต๋าทั้งใต้หล้า ต่อให้ต้องเสี่ยงอันตราย ท่านก็ควรลองไปสืบข่าวจากผู้อาวุโสเย่เสียหน่อยสิ”

สิ้นเสียงนักพรตฉางเสวียนก็มีสีหน้าเข้มขึ้นในทันที มุมปากกระตุกอย่างอดมิได้

ตาเฒ่านี้มีความคิดชั่วร้ายจริง ๆ ด้วย !

ศาสนาพุทธเข้าสู่จงหยวน เรื่องนี้เกี่ยวพันถึงความรุ่งเรืองของศาสนาพุทธและลัทธิเต๋า รวมทั้งภาพรวมของจงหยวนด้วย

อีกทั้งในเมื่อท่านบรรพจารย์เย่ก็ได้พูดไว้แล้ว รอวันหน้าถึงเวลาแล้ว ศาสนาพุทธย่อมจะเข้ามาสู่ดินแดนจงหยวนได้เอง

เช่นนั้นเป็นไปได้สูงว่าท่านบรรพจารย์เย่กำลังวางแผนทำบางอย่างกับโลกนี้อยู่

ส่วนเขาเป็นเพียงผู้น้อยคนหนึ่งเท่านั้น ไหนเลยจะกล้าไปยุ่งย่ามกับแผนการของท่านบรรพจารย์เย่ได้เล่า ?

นี่มิเท่ากับรนหาที่ตายเยี่ยงนั้นหรอกหรือ ?

อีกอย่างแม้ท่านบรรพจารย์เย่จะมาจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียน แต่ว่าผู้ที่เก่งกาจเช่นเขา สำนักบำเพ็ญเพียรในโลกมนุษย์สำนักหนึ่ง ไหนเลยจะอยู่ในสายตาของเขา ?

หากดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนยังหลงเหลือในความทรงจำของเขาบ้าง คาดว่าก็คงมิต่างอะไรจากพวกสำนักปลายแถว

หลังจากลองช่างน้ำหนักดูแล้ว นักพรตฉางเสวียนจึงส่ายศีรษะไปมา “มิได้”

รอยยิ้มบนใบหน้าของต้วนฉางเต๋อหายวับไปกับตา ก่อนจะเอ่ยอย่างขึงขังว่า “พี่ฉางเสวียน เรื่องนี้เกี่ยวพันถึงลัทธิเต๋าในจงหยวนของพวกเรา เหตุใดถึงมิได้ ? ”

นักพรตฉางเสวียนกวาดตามองสามคนที่เหลือ “ข้ามองว่าทั้งหมดนี้เป็นไปได้สูงว่าจะเป็นแผนการของท่านบรรพจารย์เย่เอง”

ได้ยินเช่นนั้น เจ้าสำนักอีกสี่คนที่เหลือ ต่างก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปทันที ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าเฮือกใหญ่

จริงด้วย !

คนระดับผู้อาวุโสเย่ เดิมก็มิควรจะอยู่บนโลกใบนี้อยู่แล้ว

แต่เขากลับปรากฏตัวขึ้นเช่นนี้

หรือบางทีเขาอาจจะกำลังวางแผนอะไรบางอย่างอยู่จริง ๆ

หลังจากสิ้นเสียง ตำหนักไท่เสวียนก็เข้าสู่ความเงียบอีกครั้ง

จนเวลาผ่านไปหนึ่งก้านธูป

นักพรตไท่หัวก็ทำหน้านิ่วคิ้วขมวด ก่อนจะลุกขึ้นยืนพลางเอ่ยอย่างตัดสินใจว่า “ทุกท่าน เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว พวกเราคงทำได้เพียงแจ้งข่าวแก่สำนักน้อยใหญ่ทั้งหลายให้รู้เสียก่อน วันใดศาสนาพุทธเข้ามาสู่จงหยวนจริง ๆ คงทำได้เพียงเปิดศึกกับศาสนาพุทธเท่านั้น”

หลัวชุนเฟิงเอ่ยสนับสนุน “เรื่องมาถึงขั้นนี้พวกเราก็คงทำได้เพียงเท่านี้ แต่เยี่ยงไรเสียจะปล่อยให้ศาสนาพุทธเข้ามาในจงหยวนมิได้เด็ดขาด”

คนที่เหลืออีกสามคนสบตากันเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้ารับ

ขณะเดียวกัน

ณ หอเก็บตำรา

เย่ฉางชิงก็ยังคงค้นหาตำราเกี่ยวกับการบำเพ็ญเพียร หวังว่าจะพบสาเหตุที่แท้จริงที่การบำเพ็ญเพียรของเขานั้นล่าช้า

จนเวลาครึ่งเดือนผ่านไปราวกระพริบตา

ทว่าแม้จะอยู่ในหอเก็บตำรามานานถึงป่านนี้ แต่เย่ฉางชิงก็ยังคงมิพบเบาะแสใด ๆ

สำหรับมือใหม่ในการบำเพ็ญเพียรเช่นเขาแล้ว พูดได้เลยว่าการหมกมุ่นอ่านตำราจำนวนมาก ตลอดครึ่งเดือนมานี้เป็นอะไรที่เลวร้ายอย่างมาก

เพราะตลอดเวลาครึ่งเดือนมานี้

เขามิเพียงเข้าใจการเปลี่ยนแปลงของร่างกายหลังจากบรรลุแต่ละระดับแล้ว ยังได้รู้ถึงการใช้และควบคุมปราณวิญญาณฟ้าดิน

อีกทั้งยังได้รู้ถึงวิธีบำเพ็ญเพียรวิถีเต๋าหลังจากแดนก่อกำเนิดอีกด้วย

สรุปก็คือตอนนี้เขาสามารถเข้าใจเกี่ยวกับการบำเพ็ญเพียรในขั้นต่าง ๆ แล้ว

จนผ่านเวลาล่วงเลยไปอีกหลายวัน เย่ฉางชิงที่ไล่อ่านตำราต่าง ๆ ตั้งแต่ชั้นหนึ่งของหอเก็บตำรา จนในที่สุดก็มาถึงชั้นที่สี่

เทียบกับชั้นหนึ่งแล้ว ตำราของที่นี่เรียกได้ว่ามีอยู่น้อยมาก

อีกทั้งตำราทุกเล่มของชั้นนี้ล้วนถูกปิดผนึกเอาไว้ในกล่องไม้ ที่ดูเก่าแก่แต่กลับเรียบง่าย

บนกล่องยังมีสลักสัญลักษณ์และลวดลายต่าง ๆ ที่แกะสลักเอาไว้อยู่เต็มไปหมด

บางทีสัญลักษณ์และลวดลายเหล่านี้ก็เปล่งแสงริบหรี่ออกมาด้วย

เย่ฉางชิงในเวลานี้จำได้ขึ้นใจแล้วว่า

สัญลักษณ์และลวดลายที่ซับซ้อนเหล่านี้ ล้วนเป็นข้อห้ามและผนึกโบราณบางอย่าง

‘มิใช่สิ ตามหลักแล้วมิว่าจะเป็นข้อห้าม หรือว่าค่ายกลเวทย์หากถูกวางสำเร็จแล้ว สัญลักษณ์และลวดลายเหล่านี้ก็จะหายไป แต่เหตุใดข้ากลับสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนเล่า’

เย่ฉางชิงจึงคลี่ยิ้มออกมา ‘แต่ก็ถูกแล้วนี่นา ที่นี่คือหอเก็บตำราของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียน รอบ ๆ ก็มีคนเฝ้าตั้งมากมาย ยังจะกลัวคนมาขโมยตำราในนี้อีกเยี่ยงนั้นหรือ?’

คิดได้เช่นนั้นแล้วเย่ฉางชิงก็ค่อย ๆ เปิดฝากล่องออก

เพียงพริบตา ตำราโบราณที่มิรู้ว่าถูกผนึกมานานเท่าใดเล่มหนึ่งก็ปรากฏสู่สายตา

เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน

เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน

Status: Ongoing
นิยายแปลไทยเรื่อง เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน รายละเอียด เทพแห่งกระบี่ : หากผู้อาวุโสเย่มอบภาพอักษรพู่กันให้ข้าอีกสักภาพ พรุ่งนี้ข้าคงสามารถเปิดประตูสวรรค์ได้แล้ว …… ……เย่ฉางชิงรู้สึกเอือมระอายิ่งนัก ทั้งๆ ที่เขาเป็นเพียงคนธรรมดาคนหนึ่ง เหตุใดถึงได้มีผู้คนแวะเวียนมาหาไม่แต่ละเว้นวันเช่นนี้นะ?

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท