ตอนที่ 264 มาเพื่อหินหุนหยวน
หลังจากฝุ่นควันสงบลง
ทันใดนั้นร่างที่อาบไปด้วยเลือดทั้งสองร่างก็ปรากฏสู่สายตา
เห็นได้ชัดว่าพวกเขาก็คือหนานกงเสวียนจีและซือถูเจิ้นผิง ที่ได้หนีตายออกจากแดนต้องห้าม
เพียงแต่เวลานี้ทั้งสองกลับมีสภาพสะบักสะบอม ผมเผ้ากระเซอะกระเซิง เสื้อผ้าขาดรุ่งริ่ง ร่างกายเต็มไปด้วยเลือดสีแดงสด
โดยเฉพาะซือถูเจิ้นผิงที่แขนข้างหนึ่งดูเหมือนจะมีแผลขนาดใหญ่ และยังมีเลือดสีแดงสดไหลออกมาจากภายในแขนเสื้อข้างนั้นอีกด้วย
ส่วนหนานกงเสวียนจีนั้น
เมื่อเทียบกับซือถูเจิ้นผิงแล้ว เขากลับดูสะบักสะบอมกว่าอย่างเห็นได้ชัด
รอยแผลเหวอะหวะดูน่ากลัวรอยหนึ่งได้ปรากฎขึ้นที่หน้าอกของเขา เลือดสีแดงสดทะลักออกมามิหยุดตามจังหวะการเต้นของหัวใจ ถึงขนาดสังเกตเห็นกระดูกได้อย่างชัดเจน
แค่ดูจากสภาพก็พอจะรู้แล้วว่าก่อนหน้านี้ พวกเขาทั้งสองคนได้ประสบกับการต่อสู้ที่ดุเดือดเช่นไรมา!
ทว่าแม้จะมีสภาพสะบักสะบอมถึงเพียงนี้ แต่ใบหน้าของคนทั้งสองก็ยังคงมีรอยยิ้มประดับเอาไว้ตลอดเวลา สีหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยปิติยินดีหลังผ่านความเป็นความตายมา
“ใช่แล้วพี่ซือถู พวกเราเอาชีวิตรอดออกมาได้แล้ว”
หนานกงเสวียนจีนอนหอบอยู่บนพื้น พลางเอ่ยอย่างไร้เรี่ยวแรงว่า “หากมิใช่เพราะตอนหน้าสิ่วหน้าขวาน เป็นท่านที่ใช้กระบี่ได้ยอดเยี่ยมแล้วล่ะก็ เกรงว่าปานนี้ข้าคงทิ้งชีวิตเอาไว้ที่แดนต้องห้ามเสียแล้ว”
“น่าเสียดาย ขณะใช้กระบี่กระบวนท่านั้นจึงทำให้สิ่งมีชีวิตที่น่ากลัวนั่นทำร้ายแขนข้างหนึ่งได้ ครานี้ข้าติดหนี้ชีวิตท่านแล้ว ! ”
“พี่หนานกง ท่านกล่าวเกินไปแล้ว”
ซือถูเจิ้นผิงยิ้มพลางส่ายหน้าไปมา “ข้ามองว่าการที่สามารถฟันกระบี่นั้นลงไป ขณะกำลังอยู่ในห้วงเวลาระหว่างความเป็นกับความตายได้ ทำให้ตอนนี้ข้าจึงนับว่าก้าวเข้าสู่ระดับมหายานโดยแท้จริงแล้ว”
“อีกทั้งกระบี่เมื่อครู่ของข้าทั้งกระบวนท่ากระบี่ ไอกระบี่ เจตจำนงแห่งกระบี่ และพลังกระบี่ยังผสานกันจนแทบจะเรียกได้ว่าสมบูรณ์แบบแล้ว ข้าคิดว่าสิ่งมีชีวิตที่น่ากลัวตนนั้นก็คงบาดเจ็บหนักมิน้อย”
เอ่ยถึงตรงนี้ใบหน้าของซือถูเจิ้นผิงก็ฉาบไว้ด้วยความมั่นใจและปลื้มปิติ
ทว่ามินาน
“น่าเสียดายแม้ข้าจะเกิดการบรรลุบนวิถีกระบี่ขึ้นไปอีก แต่หากต้องการที่จะขึ้นไปอยู่ในระดับเดียวกันกับผู้อาวุโสเย่ เกรงว่าชั่วชีวิตนี้ก็คงมิมีหวังอยู่ดี ! ”
สีหน้าของเขาดูหมองลง พลางส่ายหน้าไปมา “หญ้าต้นเดียวก็ฟันตะวัน จันทรา และดวงดาวได้ วิถีกระบี่ระดับนั้นข้าเองยังมิกล้าแม้แต่จะคิดเสียด้วยซ้ำ”
หนานกงเสวียนจียิ้มออกมาเรียบ ๆ พลางส่ายหน้า “ผู้อาวุโสเย่เป็นใคร ไหนเลยคนเยี่ยงพวกเราจะเทียบเคียงได้ ครานี้กลับไป หากผู้อาวุโสเย่ยอมเดินหมากกับข้าอีกสักตา เชื่อว่าอีกมินานข้าจะต้องสามารถบรรลุขึ้นไปอีกอย่างแน่นอน”
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง หนานกงเสวียนจีก็สูดลมหายใจเข้าลึกก่อนจะเอ่ยอีกว่า “พี่ซือถู รบกวนช่วยพยุงข้าขึ้นหน่อยจะได้หรือไม่ ข้าจะรีบฟื้นฟูพลังวิญญาณ”
ซือถูเจิ้นผิงพยักหน้ารับ ก่อนจะประคองหนานกงเสวียนจีขึ้นนั่ง
ทว่าระหว่างที่ซือถูเจิ้นผิงและหนานกงเสวียนจีนั่งอยู่บนพื้น และเริ่มฟื้นฟูพลังวิญญาณอยู่นั้น
ภายในแดนต้องห้ามที่อยู่ไกลออกไป ก็ปรากฏร่างขนาดใหญ่ราวกับภูเขาขึ้นทีละร่าง
ขณะเดียวกันไอสังหารอันรุนแรงและน่าสะพรึงกลัวก็พวยพุ่งออกมา ประชิดชายแดนของแดนต้องห้าม
“เปรี้ยง ! ”
วินาทีต่อมา ณ ชายแดนของแดนต้องห้ามก็มีแสงเปล่งประกายพุ่งออกมา สัญลักษณ์โบราณที่ซับซ้อนนับมิถ้วนรวมทั้งลวดลายลึกลับก็ได้ปรากฏขึ้น ก่อนแผ่ไอพลังโบราณอันมหาศาลออกมา
เห็นได้ชัดว่าเมื่อไอสังหารอันน่าสะพรึงกลัวนี้แผ่ออกไป ก็ปะทะเข้ากับค่ายกลที่ถูกวางไว้เหนือชายแดนของแดนต้องห้ามแทบจะในทันที
ทว่าในตอนนั้นเองเหนือชายแดนของแดนต้องห้าม พลันเกิดการสั่นสะเทือน และแผ่ระลอกคลื่นออกมามิหยุด
จนเวลาผ่านไปหลายอึดใจ
จู่ ๆ ก็มีผู้เฒ่าสวมเสื้อผ้าป่านท่าทางลึกลับคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นนอกแดนต้องห้าม
แต่ว่าบนกายของผู้เฒ่าชุดป่านกลับมิได้แผ่ไอพลังใด ๆ ออกมา ราวกับชายชราคนหนึ่งเท่านั้น
“วานรเนตรเพลิง เจ้าจะทำลายค่ายกลต้องห้ามของที่นี่ เพื่อก่อความวุ่นวายในจงหยวนเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
ผู้เฒ่าคนนั้นยืนเผชิญหน้ากับสิ่งมีชีวิตโบราณมากมายด้วยใบหน้าสงบนิ่ง พร้อมกับถามออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
มินานเสียงที่น่าสะพรึงกลัวก็ดังออกมา จากภายในแดนต้องห้ามราวกับอสนีบาต
“ครานี้เป็นเพราะมนุษย์เช่นพวกเจ้าบุกเข้ามาในแดนต้องห้าม รบกวนการหลับใหลของข้าก่อน เช่นนั้นจึงหาใช่ความผิดของข้าไม่”
“อีกอย่างหากมิใช่เพราะข้อตกลงก่อนหน้านี้ ด้วยตบะบารมีของข้าในตอนนี้แค่ค่ายกลธรรมดานี่ ไหนเลยจะต้านทานข้าได้”
ได้ยินเช่นนั้นผู้เฒ่าก็ยังคงมีสีหน้าเรียบนิ่ง พร้อมแค่นยิ้มแล้วเอ่ยว่า “พวกเจ้าจะลองดูก็ได้ ข้าจะดูสิว่าวันนี้เจ้าจะสามารถทำลายค่ายกลต้องห้ามนี้ และออกมาจากภายในแดนต้องห้ามเช่นไร!”
สิ้นเสียงรอบกายของผู้เฒ่าสวมชุดผ้าป่านก็เปล่งแสงออกมา พลังปราณพลุ่งพล่าน ไอพลังอันน่าสะพรึงกลัวมหาศาลก็พรั่งพรูออกมา
ทันใดนั้นเอง บริเวณรอบกายของผู้เฒ่าสวมชุดผ้าป่านนับสิบจั้งก็เกิดการสั่นสะเทือนขึ้น พลังอันน่าเกรงขามแผ่ออกไปทั่วสารทิศ เกิดเป็นปรากฏการณ์ที่น่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง
วินาทีนี้ผู้เฒ่าสวมชุดผ้าป่านได้ยืนปักหลักอยู่ที่ชายแดนของแดนต้องห้าม ราวกับเซียนเฒ่าที่ลงมายังโลกมนุษย์ ทำให้สิ่งมีชีวิตโบราณมากมายในแดนต้องห้ามต่างตื่นตกใจ
“ท่านช่างแข็งแกร่งยิ่งนัก แต่อีกมินานหรอก ข้าจะดูสิว่าท่านจะต้านทานการโจมตีของข้าได้นานเพียงใด ! ”
“อีกอย่างเจ้าจงจำเอาไว้ ขอเพียงข้าออกไปจากแดนต้องห้ามแห่งนี้ได้ ข้าจะทำให้จงหยวนกลายเป็นนรกบนดินซะ ! ”
“แล้วข้าจะกลับมาอีกครั้ง ! ”
เสียงอันน่ากลัวดังลั่นราวกับเสียงอสนีบาตก็ค่อย ๆ จางหายไป
จนเวลาผ่านไปหนึ่งก้านธูป
หลังจากสิ่งมีชีวิตโบราณมากมายจากไปแล้ว ผู้เฒ่าสวมชุดผ้าป่านจึงได้สะกดไอพลังอันน่ากลัวของตนเองลง
ทว่าในตอนนั้นเอง ท่าทางของผู้เฒ่าสวมชุดป่านกลับแปรเปลี่ยนเป็นสลดลงในพริบตา
“พวกมารในแดนรกร้างทางเหนือกระเหี้ยนกระหือที่จะบุกเข้ามา บัดนี้สิ่งมีชีวิตอันน่าสะพรึงกลัวในแดนต้องห้ามก็ยังฟื้นคืนขึ้นมาอีก ดูเหมือนภัยพิบัตินี้คงจะเลี่ยงมิได้อีกแล้ว”
ผู้เฒ่าสวมชุดผ้าป่านเงยหน้าขึ้นมองดวงดาวที่พร่างพราวเต็มท้องฟ้า พลางถอนหายใจยาวออกมาอย่างอดมิได้
หลังจากนิ่งเงียบอยู่เช่นนั้นครู่ใหญ่ ผู้เฒ่าสวมชุดป่านก็ถอนสายตากลับมา ก่อนหันไปยังที่ที่หนานกงเสวียนจีและซือถูเจิ้นผิงนั่งอยู่ตอนนี้
จากนั้นเขาก็เพ่งสมาธิ ก่อนที่ร่างพลันหายวับไป
เพียงพริบตาผู้เฒ่าสวมชุดป่านก็มาปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง ตรงหน้าของหนานกงเสวียนจีและซือถูเจิ้นผิงราวกับภูตผี
เมื่อสัมผัสได้ถึงไอพลังอันแข็งแกร่ง
ซือถูเจิ้นผิงและหนานกงเสวียนจีจึงมีสีหน้าเปลี่ยนไปในทันที ตาทั้งสองข้างเบิกกว้างขึ้นก่อนมองไปทางผู้เฒ่าสวมชุดผ้าป่านที่อยู่ตรงหน้า
ผู้เฒ่าสวมชุดผ้าป่านมีท่าทีอ่อนลง พร้อมยกมุมปากขึ้นเป็นรอยยิ้มอ่อนโยน
“ข้าเข้าฌานมาเกือบพันปี เพิ่งจะออกจากฌานได้มินาน ลัทธิเต๋าในยุคนี้ตกต่ำลงไปมาก ทว่าตบะบารมีเช่นพวกเจ้าทั้งสองนี้ช่างหาได้ยากยิ่งนัก ! ”
ผู้เฒ่าสวมชุดป่านยกมือขึ้นลูบหนวด พลางพินิจพิจารณาหนานกงเสวียนจีและซือถูเจิ้นผิง พร้อมรอยยิ้มอ่อนโยน
ซือถูเจิ้นผิงสบตากับหนานกงเสวียนจีเล็กน้อย จากนั้นก็เอ่ยถามขึ้นว่า “ผู้น้อยซือถูเจิ้นผิง มาจากนิกายหมื่นกระบี่ มิทราบว่าผู้อาวุโสคือ ? ”
ไอพลังของผู้เฒ่าสวมชุดผ้าป่านแม้จะหายไปแล้ว ทว่าร่างของเขาก็ยังคงแผ่พลังปราณจาง ๆ ออกมาโดยมิได้ตั้งใจ
เดาได้มิยากว่าผู้เฒ่าที่ปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหันผู้นี้ คงจะเข้าสู่ระดับมหายานมาหลายปีแล้ว
เช่นนั้นซือถูเจิ้นผิงจึงมิกล้าสามหาว และทำได้เพียงเรียกขานคนผู้นั้นว่าผู้อาวุโส
ผู้เฒ่าสวมชุดผ้าป่านพยักหน้าพร้อมส่งเสียงหัวเราะออกมา ก่อนจะเอ่ยตรง ๆ ว่า “สี่ตระกูลลับโบราณ ตระกูลซีเหมิน”
ซือถูเจิ้นผิงและหนานกงเสวียนจีได้ยินเช่นนั้นก็มีสีหน้าที่เปลี่ยนไปทันที ท่าทางของพวกเขาเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ
สี่ตระกูลลับโบราณแห่งจงหยวน พวกเขาล้วนเคยได้ยินกิตติศัพท์มาก่อน
เพียงแต่สิ่งที่เล่าลือกันมาบอกเอาไว้ว่า ระหว่างที่ลัทธิเต๋ากำลังตกอยู่ในอันตราย ราษฎรเดือดร้อนไปทั่วทุกหย่อมหญ้า
สี่ตระกูลลับโบราณก็ปรากฏตัวขึ้น และยื่นมือเข้ามาช่วยลัทธิเต๋าและราษฎรให้พ้นจากความทุกข์ทรมาน
ทว่าสิ่งที่พวกเขาคาดมิถึงก็คือ
คืนนี้พวกเขากลับได้พบเจอกับหนึ่งในผู้แข็งแกร่งของสี่ตระกูลลับโบราณ
ทำให้พวกเขาทั้งสองรู้สึกประหลาดใจยิ่งนัก
ยิ่งไปกว่านั้นพลังอันแข็งแกร่งของอีกฝ่าย พวกเขาเองก็ยากที่จะได้พบเช่นกัน
“ผู้น้อยหนานกงเสวียนจีคารวะผู้อาวุโส ! ”
หนานกงเสวียนจีประสานมือขึ้นคารวะ
ในตอนนั้นเองผู้เฒ่าสวมชุดผ้าป่านก็พยักหน้าให้แก่หนานกงเสวียนจี แล้วเอ่ยถามขึ้นว่า “ด้วยตบะบารมีของพวกเจ้าทั้งสอง คงจะรู้ดีว่าดินแดนต้องห้ามของสิ่งมีชีวิตแห่งนี้มีความน่ากลัวเพียงใดกระมัง ? ”
หนานกงเสวียนจีและซือถูเจิ้นผิงสบตากันเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองก็พยักหน้ารับพร้อม ๆ กัน
ผู้เฒ่าสวมชุดผ้าป่านขมวดคิ้วเล็กน้อย พร้อมถามต่อ “แล้วเหตุใดพวกเจ้าทั้งสองถึงต้องเสี่ยงตายบุกเข้าไปที่นั้นด้วยเล่า”
“คือว่า…?”
สีหน้าหนานกงเสวียนจีและซือถูเจิ้นผิงดูสลดลงทันที
ซือถูเจิ้นผิงจึงลังเลเล็กน้อย ก่อนจะยอมรับออกมาตรง ๆ ว่า “เรียนผู้อาวุโส ความจริงแล้วพวกเราทั้งสอง มาเพื่อตามหาหินหุนหยวนขอรับ”
“หินหุนหยวน ? ”
ผู้เฒ่าสวมชุดผ้าป่านถึงกับนิ่งอึ้งไปเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มพลางส่ายศีรษะไปมา