“ซีเหมินเหลยหู่ขอบคุณท่านเย่ที่มอบของขวัญมีค่าเช่นนี้ให้ขอรับ ! ”
หลังจากได้สติ ซีเหมินเหลยหู่ก็ลุกขึ้นยืนอีกครั้ง ก่อนจะโค้งคำนับให้แก่เย่ฉางชิง
เมื่อเห็นซือถูเจิ้นผิงและซีเหมินเหลยหู่ยินดีถึงเพียงนี้
ใบหน้าเกลี้ยงเกลาของเย่ฉางชิงก็เผยรอยยิ้มพึงพอใจออกมา
‘ต้องยอมรับว่าผู้บำเพ็ญเพียรระดับสูงเหล่านี้ เป็นคนที่พึงพอใจอะไรง่าย ๆ จริง ๆ’
‘ข้าเพียงแค่มอบภาพให้คนละภาพ ผู้บำเพ็ญเพียรสองท่านนี้ก็ตื่นเต้นดีใจกันถึงเพียงนี้แล้ว’
‘สมกับคำที่ว่าผู้ที่รู้จักพอจึงจะมีความสุข จิตใจเช่นนี้ช่างน่าอิจฉาจริง ๆ ! ’
“แค่เรื่องง่าย ๆ เท่านั้น มิได้ลำบากอันใดเลย ! ”
เย่ฉางชิงเอ่ยขึ้นพลางโบกมือให้อย่างมิใส่ใจ
พวกซีเหมินเหลยหู่นิ่งอึ้งไปเล็กน้อย ก่อนจะฉีกยิ้มออกมา
จริงด้วย !
มิว่าจะเป็นอักษรพู่กันหรือว่าภาพวาด สำหรับพวกเขาแล้ว มิต่างอะไรกับโอกาสและวาสนาอันยิ่งใหญ่เลย
ทว่าสำหรับผู้อาวุโสเย่แล้ว กลับเป็นเพียงเรื่องธรรมดาเท่านั้น !
นี่คือคนที่อยู่ในระดับสูงอย่างผู้อาวุโสเย่นี่เอง !
ผู้ที่ทำให้พวกเขาทำได้เพียงวาดหวังที่จะเจริญรอยตาม !
หลังจากเงียบอยู่ครู่หนึ่ง ซีเหมินเหลยหู่ก็ค่อย ๆ เงยหน้าขึ้น และเอ่ยกับเย่ฉางชิงว่า
“ท่านเย่ หากท่านมีสิ่งใดที่ต้องการได้โปรดบอกมาได้เลย ข้าซีเหมินเหลยหู่รวมทั้งตระกูลซีเหมินของข้าจะทำตามคำสั่งอย่างมิมีข้อแม้ขอรับ”
ความหมายของซีเหมินเหลยหู่นั้นชัดเจนอย่างมาก
นั่นก็คือซีเหมินเหลยหู่รวมทั้งตระกูลซีเหมินเต็มใจที่จะเป็นหมากให้กับเย่ฉางชิงนั่นเอง
เมื่อได้ยินคำสัญญาของซีเหมินเหลยหู่
หนานกงเสวียนจีและซือถูเจิ้นผิงก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปทันทีอย่างอดมิได้
ผู้อาวุโสอย่างซีเหมินเหลยหู่ยังประกาศเจตนาชัดเจนถึงเพียงนี้แล้ว พวกเขาเองก็ย่อมมิอาจนิ่งเฉยได้
คิดได้เช่นนั้น หนานกงเสวียนจีจึงลุกขึ้น พร้อมเอ่ยกับเย่ฉางชิงด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “ท่านเย่ นับแต่นี้ต่อไป ข้า หนานกงเสวียนจี จะยอมบุกน้ำลุยไฟเพื่อท่านเองขอรับ ! ”
ซือถูเจิ้นผิงเองก็มิยอมแพ้เช่นกัน “ท่านเย่ แต่นี้ต่อไปท่านสามารถเรียกใช้ข้า ซือถูเจิ้นผิง รวมทั้งนิกายหมื่นกระบี่ของข้าได้ตลอดเลยนะขอรับ ! ”
ทว่าเมื่อเย่ฉางชิงได้เห็นภาพตรงหน้า
กลับมีท่าทางตกตะลึงอย่างห้ามมิได้
ก่อนหน้านี้ตอนอยู่ในหอเก็บตำราของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียน เขาได้ทำความเข้าใจกับการแบ่งอำนาจของโลกบำเพ็ญเพียรแห่งนี้มาบ้างแล้ว
อย่างเช่นซีเหมินเหลยหู่ผู้นี้ มีความเป็นไปได้สูงที่เขาจะมาจากตระกูลโบราณซีเหมินที่เป็นหนึ่งในสี่ตระกูลผู้พิทักษ์โบราณ
มีตำราโบราณในหอเก็บตำราบันทึกเอาไว้
ระหว่างที่ลัทธิเต๋าในจงหยวนกำลังอยู่ในช่วงความเป็นความตาย
ได้มีสี่ตระกูลลับโบราณปรากฏตัวขึ้น และได้ช่วยเหลือลัทธิเต๋าเอาไว้ ช่วยให้ทุกชีวิตพ้นจากอันตราย
มิหนำซ้ำสี่ตระกูลผู้พิทักษ์โบราณนี้ยังลึกลับอย่างยิ่งอีกด้วย
ผู้แข็งแกร่งภายในตระกูลราวกับเมฆา น้อยนักที่คนของตระกูลโบราณจะเข้ามายังโลกมนุษย์ แต่หากเข้ามาเมื่อใดย่อมต้องสั่นสะเทือนไปทั่วทั้งโลกบำเพ็ญเพียรอย่างแน่นอน
แค่คิดก็รู้แล้วว่าสี่ตระกูลโบราณนี้น่าเกรงขามเพียงใด
แน่นอนว่าหนึ่งในสี่ตระกูลโบราณ
ยังมีตระกูลโบราณหนานกงรวมอยู่ด้วย
อีกทั้งหนานกงเสวียนจียังเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับสูงอีกด้วย เช่นนั้นฐานะของเขาย่อมมีบทบาทสำคัญอย่างแน่นอน
ส่วนนิกายหมื่นกระบี่ที่ซือถูเจิ้นผิงเอ่ยถึงนั้น
แม้นิกายหมื่นกระบี่จะมิใช่หนึ่งในห้าดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งจงหยวน แต่กล่าวกันว่าความสามารถของนิกายหมื่นกระบี่ก็มิได้ด้อยไปกว่าห้าดินแดนศักดิ์สิทธิ์แต่อย่างใด
เมื่อเห็นท่าทีของผู้บำเพ็ญเพียรระดับสูงทั้งสามท่านเช่นนี้ อีกทั้งยังเกี่ยวพันถึงตระกูลและสำนักที่อยู่เบื้องหลังของพวกเขาแล้ว
เย่ฉางชิงก็รู้สึกราวกับได้ยินเสียงวิ๊งดังขึ้นโสตประสาท
‘นี่มันดูเล่นใหญ่เกินไปหน่อยกระมัง ! ’
‘พวกเจ้าควรจะรู้เอาไว้ว่า ตอนนี้ข้าเป็นเพียงผู้บำเพ็ญเพียรน้องใหม่ที่อยู่ระดับรวมชีพจรเท่านั้นนะ’
‘และการที่พวกเจ้าเล่นใหญ่กันเช่นนี้ คนในตระกูลหรือสำนักของพวกเจ้าเขารู้เรื่องด้วยหรือไม่ ? ’
‘อีกอย่างพวกเจ้าช่วยคิดถึงจิตใจของข้าบ้างเถอะ’
‘เพราะคำพูดเหล่านี้ของพวกเจ้า ทำให้ข้ามิอยากที่จะต่อสู้กับอะไรแล้ว’
‘เฮ้อ ! ’
‘พวกเจ้ารวมหัวกันแกล้งข้าชัด ๆ ! ’
เย่ฉางชิงได้แต่พร่ำบ่นอยู่ภายในใจ ก่อนจะพ่นลมหายใจออกมา พลางพยายามสะกดอารมณ์ของตัวเองเอาไว้
เขารู้ดีว่าหากฐานะที่แท้จริงของตนเปิดเผยขึ้นมาวันใด ทั้งหมดนี้ก็จะเป็นเพียงเรื่องที่เคยเกิดขึ้นเท่านั้น
และมิเพียงแต่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับสูงเหล่านี้เท่านั้นที่เขามิควรล่วงเกิน ทว่ายังรวมถึงตระกูลและสำนักเบื้องหลังของพวกเขาอีกด้วย!
หลังจากนิ่งเงียบไปพักใหญ่ เย่ฉางชิงก็ยกยิ้มฝืดเฝื่อนออกมา จากนั้นก็โบกมือปฏิเสธให้แก่ทั้งสามคน
“ความหวังดีของทั้งสามท่าน ข้าขอรับเอาไว้ด้วยใจ แต่มิต้องทำถึงขนาดนั้นหรอก”
เย่ฉางชิงมิได้แสดงสีหน้าใด ๆ ออกมา เขาเพียงแค่ยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยนเท่านั้น
“อีกอย่างข้ามองว่าโลกบำเพ็ญเพียรของเราควรอยู่กันอย่างสงบ มิควรเกิดความขุ่นเคืองกันเพราะเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ และยิ่งมิควรเกิดการต่อสู้ระหว่างสำนักขึ้นด้วย”
“ข้าหวังว่าทุกท่านจะอยู่กันอย่างสงบ ! ”
พวกซีเหมินเหลยหู่ได้ยินเช่นนั้นก็ส่งสายตาให้กัน จากนั้นจึงพยักหน้าน้อย ๆ
‘ใช่แล้ว ! ’
‘บางทีผู้อาวุโสเย่อาจจะต้องการหาที่บำเพ็ญเพียรที่สงบ ๆ มิใช่เพราะวางแผนจะทำสิ่งใด หรือเห็นสิ่งมีชีวิตเป็นของเล่นก็ได้’
‘มิเช่นนั้นด้วยอิทธิฤทธิ์ของเขา’
‘ทั่วทั้งโลกบำเพ็ญเพียรคงเกิดความปั่นป่วนขึ้นนานแล้ว ไหนเลยจะมีสภาพเช่นทุกวันนี้ได้ ? ’
‘ยิ่งไปกว่านั้นเขาก็ได้บอกแล้วว่าโลกบำเพ็ญเพียรของเราควรอยู่กันอย่างสงบ ! ’
“ผู้น้อยน้อมรับคำสั่งท่านเย่ขอรับ ! ”
พวกซีเหมินเหลยหู่โค้งคำนับให้แก่เย่ฉางชิง พลางเอ่ยรับพร้อม ๆ กัน
เย่ฉางชิงจึงพยักหน้าให้พร้อมรอยยิ้มบาง ๆ ทว่าภายในใจกลับเต็มไปด้วยความโศกเศร้า
“พวกท่านนั่งลงเถอะ”
เย่ฉางชิงเอ่ยขึ้นพลางโบกมือไปมา
พวกซีเหมินเหลยหู่สบตากันเล็กน้อย ก่อนจะทยอยนั่งลง
ตอนนั้นเองเย่ฉางชิงจึงได้เอ่ยกับหนานกงเสวียนจีว่า “ต่อไปพวกเรามาคุยกันเรื่องวิถีหมากเถอะ”
ใบหน้าของหนานกงเสวียนจีจึงเต็มไปด้วยความยินดีขึ้นมาทันที
ในที่สุดก็ถึงตาของเขาแล้ว
เย่ฉางชิงจึงเอ่ยต่อ “เอาเช่นนี้ก็แล้วกัน พวกเรามาเล่นหมากรุกไปพลาง แล้วข้าจะอธิบายความเข้าใจของข้าเกี่ยวกับวิถีหมากให้ท่านฟังไปพลางก็แล้วกัน”
บัดนี้เมื่ออยู่ต่อหน้าผู้บำเพ็ญเพียรระดับสูงทั้งสาม
และเพื่อเป็นการแสดงถึงความสามารถของตัวเอง เขาย่อมเดินหมากด้วยวิธีที่มิธรรมดาอยู่แล้ว
และสิ่งที่ยากที่สุดของวิถีหมากนั่นก็คือหมากรุกจีนนั่นเอง
เช่นนั้นเย่ฉางชิงจึงเลือกที่จะเอ่ยเช่นนี้ออกมา
หนานกงเสวียนจีได้ยินเช่นนั้นก็มีสีหน้าเปลี่ยนไป จากนั้นจึงเอ่ยอย่างนอบน้อม “เช่นนั้นคงต้องรบกวนท่านเย่แล้วขอรับ ! ”
เย่ฉางชิงจึงยิ้มออกมา ก่อนจะเอ่ยเรียบ ๆ ว่า “เช่นนั้นเจ้าก็เริ่มเดินก่อนเถอะ”
“สี่สี่”
“สี่สิบห้า”
“……”
ทั้งสองคนวางหมากต่อกันจนถึงตาที่สิบ
ตอนนั้นเอง
“ข้ามองว่าสิ่งที่เรียกว่าวิถีหมาก นั่นก็คือวิถีของมนุษย์ วิถีของการบำเพ็ญเพียร”
เย่ฉางชิงเอ่ยประโยคที่แฝงความหมายลึกซึ้งกับหนานกงเสวียนจี
“สองคนดวลหมากกัน บางคนหลังจากชิงเดินหมากก่อนแล้ว ก็จะรีบพุ่งทะลวงไปมิปล่อยให้คู่ต่อสู้ได้มีโอกาสหายใจ”
“ส่วนบางคนต่อให้โชคดีเป็นฝ่ายได้เดินก่อน แต่ยังคงเดินอย่างระมัดระวัง ต่อให้จะใกล้จบเกมแล้วก็ยังคงให้โอกาสคู่ต่อสู้…”
ระหว่างที่เย่ฉางชิงเอ่ยยังมิทันจบประโยค ด้านหลังของเขาพลันปรากฏนิมิตขึ้น
ด้านหลังของเย่ฉางชิงเกิดการสั่นไหวขึ้นกลางอากาศ
เพียงพริบตาหมอกหลากสีสันก็แผ่ออกมา
จากนั้นไอมหาศาลก็ปะทุออกมา พร้อมกับกระดานหมากขนาดใหญ่แผ่นหนึ่งปรากฏขึ้น
และด้านบนของกระดาน
ได้มีดวงดาวสว่างไสวมากมายส่องประกายระยิบระยับ แผ่ไอพลังมหาศาลออกมา
“เปรี้ยง ! ”
หลังจากเกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหวขึ้น
ดาวดวงหนึ่งพลันร่วงหล่นลงมาจากฟ้า ตกลงบนตำแหน่งหนึ่งบนกระดาน กลายเป็นหมากดำ
จากนั้นก็มีดาวอีกดวงร่วงลงมา ตกลงยังตำแหน่งข้าง ๆ หมากดำ ก่อนจะกลายเป็นหมากขาวตัวหนึ่ง
เวลาผ่านไปมิกี่อึดใจ
ก็มีดวงดาวอีกนับสิบดวงตกลงมาจากท้องฟ้า ก่อนจะกลายเป็นหมากดำและหมากขาว
แต่สิ่งที่ทำให้รู้สึกคาดมิถึงก็คือ
หมากดำและหมากขาวเหมือนจะตกลงบนกระดานมิหยุด ทว่ากลับเลือนลางยิ่งนัก อีกทั้งยังมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นมิหยุดอีกด้วย
ขณะเดียวกันไอพลังวิถีเต๋าอันบริสุทธิ์ไร้ที่เปรียบสายหนึ่งก็พุ่งเข้าใส่หนานกงเสวียนจี
ส่วนคำสอนของเย่ฉางชิงก็ราวกับเสียงแห่งวิถีเต๋าที่ดังก้องอยู่ในหูของหนานกงเสวียนจี ทำให้เขาเข้าสู่ความรู้แจ้งอันพิสดาร
เมื่อเห็นภาพตรงหน้า รวมทั้งสัมผัสได้ถึงไอพลังวิถีเต๋าที่แผ่ออกมารอบกายหนานกงเสวียนจี
ซีเหมินเหลยหู่ก็ขมวดคิ้วแน่น ในใจพลันเอ่ยขึ้นอย่างตื่นตระหนกว่า
‘ผู้อาวุโสเย่ กำลังสอนหลักธรรมให้แก่หนานกงเสวียนจีอยู่หรือนี่ ! ’