พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า – บทที่ 1565 อ๋องสวรรค์โค่วออกโรง

บทที่ 1565 อ๋องสวรรค์โค่วออกโรง

หญิงรับใช้ที่อยู่ข้างๆ อิจฉาจนตาเป็นประกาย ในจินตนาการของพวกนาง แต่ไหนแต่ไรมาที่วังหลังมีแต่สนมที่ประจบเอาใจฝ่าบาท ฝ่าบาทหวีผมให้สนมด้วยตัวเองก็ยิ่งไม่เคยเห็น แต่ที่นี่เห็นบ่อยมาก และสิ่งที่ยิ่งทำให้พูดไม่ออกก็คือ สนมสวรรค์ไม่สะทกสะท้าน สงบนิ่งจนเหลวไหล แม้แต่คำขอบคุณสักคำก็ไม่มี

แต่ยิ่งเป็นแบบนี้ ยิ่งมองไม่เห็นรอยยิ้มของสนมสวรรค์ ฝ่าบาทก็ยิ่งอยากเอาใจสนมสวรรค์มากขึ้นไปอีก ไม่น่าเชื่อว่าจะเอ่ยขึ้นว่าจะให้ท่านโหวจ้านผิงเป็นเทพประจำดาว บรรดาหญิงรับใช้ต่างก็รู้ นี่คือสิ่งที่สนมมากมายในวังหลังอยากได้จึงเอาใจฝ่าบาท

หยินซวงกับไป๋เสวี่ย หญิงรับใช้ประจำตัวสองที่มาจากตระกูลอิ๋งได้ยินแล้วแอบดีใจ เพียงแต่คาดว่าสนมสวรรค์คงจะไม่ซาบซึ้งในน้ำใจนี้

เป็นอย่างที่คาดไว้ จ้านหรูอี้กล่าวด้วยสีหน้าเย็นชาว่า “น้ำใจของฝ่าบาท หม่อมฉันซาบซึ้งแล้ว แต่ไร้ผลงานก็ไม่ควรได้รางวัล ไม่ต้องก็ได้เพคะ”

ประมุขชิงใช้สองใอประคองบ่านาง มองนางในกระจก พร้อมบอกว่า “จ้านผิงไม่มีผลงานแต่ก็ลำบากทำงาน มิหนำซ้ำยังอบรมเลี้ยงดูสนมรักที่ดีขนาดนี้ให้ข้า เจ้าไม่ต้องห่วง ถึงแม้ในตอนนี้จะยังทำให้เป็นจริงไม่ได้ แต่ข้าจะเก็บใส่ใจเอาไว้ รอให้ถึงโอกาสที่เหมาะสมแล้วกัน” เขาใช้มือรูดผมงามของนางขึ้นมาอีก “ได้ยินว่าเจ้าแทบจะไม่ได้ออกจากวังหลังเลย ข้ามอบอำนาจพิเศษให้เจ้าออกจากวังกลับบ้านได้ทุกเมื่อ ทำไมเจ้าไม่กลับไปเยี่ยมบ้านหน่อยล่ะ? สามารถกลับไปเยี่ยมบ้านพร้อมเกียรติยศและความมีหน้ามีตาของสนมสวรรค์…หรือว่าการแต่งงานกับข้าไม่สามารถนำเกียรติยศมาให้เจ้าเลยสักนิด?”

“ฝ่าบาทคิดมากไปแล้วเพคะ” จ้านหรูอี้กล่าว

ประมุขชิงถามอย่างลังเลอีกว่า “หรือว่าแต่งงานกับข้าแล้วทำให้เจ้าไม่มีความสุข?”

จ้านหรูอี้ตอบว่า “ในวังหรือนอกวังมีอะไรต่างกันเพคะ? นั่นคือบิดามารดาที่ให้เกิดและเลี้ยงดูหม่อมฉัน หม่อมฉันไม่อยากกลับไปแล้วให้พวกท่านทำความเคารพหม่อมฉัน หน้าตาเกียรติยศเช่นนี้ ฝ่าบาทคิดว่ามีความหมายหรือเพคะ?”

“สนมรักช่างเป็นคนที่มีความกตัญญูจริงๆ” ประมุขชิงกล่าวพร้อมรอยยิ้ม ก่อนจะเรียกสาวใช้ “หยินซวง!”

“เพคะ!” หยินซวงรีบก้าวขึ้นมาทำความเคารพ

“เดี่ยวเจ้าไปบอกผู้การซ่างกวนสักหน่อย ข้าจะประทานบรรดาศักดิ์ชั้นสามให้ฮูหยินของท่านโหวจ้านผิง” ประมุขชิงกล่าว

บรรดาศักดิ์ของตำหนักสวรรค์มีแบ่งระดับ ฮูหยินท่านอ๋องคือบรรดาศักดิ์ชั้นหนึ่ง ฮูหยินจอมพลบรรดาศักดิ์ชั้นสอง ฮูหยินเทพประจำดาวบรรดาศักดิ์ชั้นสาม ฮูหยินท่านโหวบรรดาศักดิ์ชั้นสี่ ฮูหยินหัวหน้าภาคบรรดาศักดิ์ชั้นห้า ฮูหยินแม่ทัพภาคบรรดาศักดิ์ชั้นหก ฮูหยินผู้บัญชาการใหญ่บรรดาศักดิ์ชั้นเจ็ด ฮูหยินผู้บัญชาการบรรดาศักดิ์ชั้นแปด มีทั้งหมดแปดระดับ

ตั้งแต่ชั้นสี่ขึ้นไป ถ้าสามีมีเป็นขุนนางที่เข้าประชุมในราชสำนักตำหนักสวรรค์ก็จะได้บรรดาศักดิ์เหล่านี้ ถ้าอยู่กับสามีที่ตำแหน่งสูง บรรดาศักดิ์ที่ได้ก็จะสูงขึ้นได้ง่ายตามไปด้วย

ตั้งแต่ขั้นสี่ลงมา เป็นขุนนางที่ไม่ต้องเข้าราชสำนักของตำหนักสวรรค์ จะแต่งตั้งบรรดาศักดิ์หรือไม่ก็ได้ ต้องทราบไว้ว่าอำนาจการแต่งตั้งบรรดาศักดิ์อยู่ในมือราชันสวรรค์คนเดียวเท่านั้น สี่อ๋องสวรรค์ไม่มอำนาจในการแต่งตั้ง คนที่มีบรรดาศักดิ์ไม่ว่าจะสูงหรือต่ำ เมื่อไรที่ราชินีสวรรค์จัดงานเลี้ยงที่อุทยานหลวง ก็ล้วนมีสิทธิ์เข้าไปร่วมงานเลี้ยงที่อุทยานหลวงด้วย นี่ก็คือเกียรติยศพิเศษ ลองคิดดูสิ สามีของพวกนางได้เข้าประชุมในราชสำนัก โดยทั่วไปล้วนมีเรือนพักเดี่ยวที่อุทยานหลวง ไปร่วมงานเลี้ยงที่อุทยานหลวงก็เป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว ถ้าไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะเข้าราชสำนัก และสามีไม่ได้สร้างผลงานใหญ่อะไร ส่วนใหญ่ก็เป็นเรื่องยากที่จะได้อาศัยบารมีนี้ และเมื่อได้รับแต่งตั้งบรรดาศักดิ์แล้ว ก็จะได้สวัสดิการค่าจ้างสอดคล้องกับชั้นบรรดาศักดิ์ด้วย

ยกตัวอย่างเช่นบรรดาศักดิ์ชั้นหนึ่ง ก็จะได้ค่าจ้างเท่าจอมพล บรรดาศักดิ์ชั้นสองจะได้ค่าจ้างเท่าเทพประจำดาว แล้วก็ลดหลั่นลงมาเรื่อยๆ

ดังนั้นการประทานรางวัลก็มีระดับเหมือนกัน บรรดาศักดิ์ชั้นสามจะประทานให้ฮูหยินของเทพประจำดาว แต่กลับไม่ให้ฮูหยินของท่านโหว จะเห็นได้ว่าเขาโปรดปรานนางขนาดไหน

“เพคะ!” หยินซวงเอ่ยรับแล้วถอยไปด้านข้าง เห็นชินกับการประทารางวัลแบบนี้แล้ว หลายปีมานี้ โดยปกติฝ่าบาทจะประทานรางวัลทุกปี ในปีแรกๆ ประทาบรรดาศักดิ์ชั้นสี่ให้ ตอนนั้นประทานบรรดาศักดิ์ชั้นสามให้แล้ว คาดว่ารางวัลที่ฮูหยินท่านโหวได้รับมาในแต่ละปีนั้นเพียงพอให้ใช้จ่ายแล้ว

สาวใช้คนอื่นมองดูสนมสวรรค์ที่นั่งอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง ในดวงตาฉายแววอิจฉา หลังจากมาอยู่ที่ตำหนักบูรพา ก็นับว่ารู้แล้วว่าอะไรเรียกว่า ‘คนเหมือนกันแต่ชะตาต่างกัน’ วังหลังมีสนมสวยๆ ตั้งมากมาย ส่วนใหญ่ทั้งชีวิตนี้ไม่เคยได้รับรางวัลจากฝ่าบาทเลยสักครั้ง คนที่ได้รับรางวัลถี่ขนาดนี้ สนมสวรรค์เป็นเพียงหนึ่งเดียวในวังสวรรค์ ส่วนพวกนางก็ได้อาศัยบารมีจากสนมสวรรค์ไปด้วย เอะอะฝ่าบาทก็ประทานรางวัลให้บ่าวรับใช้ของตำหนักบูรพา บอกให้พวกนางดูแลสนมสวรรค์ให้ดี

หยินซวง ไป๋เสวี่ยแอบทอดถอนใจ แต่ปีแรกๆ ตระกูลอิ๋งโมโหมากที่สนมสวรรค์ไม่เข้ามายุ่งเรื่องอะไรเลย ตอนหลังพอพบว่าราชันสวรรค์เหมือนจะชอบสนมสวรรค์ขึ้นมาจริงๆ ก็ถือว่าการช่วงชิงความโปรดปรานนี้สำเร็จแล้ว! ตระกูลอิ๋งคิดว่านี่คือวิธีการช่วงชิงความโปรดปรานของสนมสวรรค์ จึงไม่บีบบังคับสนมสวรรค์อีก กลับชื่นชมกว่าเดิมด้วยซ้ำ เพราะตระกูลอิ๋งรู้ว่าสนมสวรรค์ไม่เอ่ยปากเท่านั้นเอง ถ้าเอ่ยปากขึ้นมา เกรงว่าราชันสวรรค์คงยากที่จะปฏิเสธได้ ดังนั้นโอกาสแบบนี้จึงล้ำค่า ตระกูลอิ๋งไม่มีทางนำมาใช้ง่ายๆ นับว่าบรรลุเป้าหมายในการส่งสนมสวรรค์เข้าวังแล้ว

เมื่อชำเลืองมองคนนั่งนิ่งหน้ากระจก แล้วเห็นไม่มีท่าทีว่าจะขอบคุณเลยสักนิด ประมุขชิงก็แอบยิ้มอย่างขื่นขม แต่เขาก็ชินจนมองเป็นเรื่องปกติแล้ว เขากล่าวในขณะที่มือยังไม่หยุดหวีผม “ถ้าว่างก็ออกไปเดินเล่นสักหน่อย อย่าเอาแต่อุดอู้อยู่ในตำหนัก จะทำให้ตัวเองอึดอัดแย่ ถ้าต้องการอะไรเพิ่มเติมก็ให้พวกหยินซวงไปบอกผู้การซ่างกวน”

“ได้ยินว่าบุตรสาวบุญธรรมของอ๋องสวรรค์ส่งเครื่องประดับเข้ามาในวังหรือเพคะ?” จ้านหรูอี้ถาม

ประมุขชิงเห็นนางกล่าวเรื่องที่ไม่สำหลักสำคัญแบบนี้ ก็ถามอย่างดีใจทันที “ทำไมเหรอ? สนมรักสนใจสิ่งของพวกเครื่องประดับด้วยเหรอ? เป็นข้าเองที่ละเลย ผู้หญิงล้วนชอบของแบบนี้”

จ้านหรูอี้ตอบว่าว่า “หม่อมฉันเคยเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของหนิวโหย่วเต๋อ นับว่ารู้จักการวางตัวของหนิวโหย่วเต๋อพอสมควร เขาไม่ใช่คนที่จะทำอะไรซี้ซั้วเพราะผู้หญิง อยากจะเห็นว่าผู้หญิงแบบไหนกันแน่ที่ทำให้หนิวโหย่วเต๋อยอมก่อเรื่องใหญ่โตขนาดนี้ได้เพคะ”

ประมุขชิงหัวเราะเบาๆ “พูดถูก พอสนมรักพูดแบบนี้ ข้าก็รู้สึกสนใจด้วยเหมือนกัน เดี๋ยวจะเรียกมาพบพร้อมกับสนมรักสักหน่อย”

“ฝ่าบาทเตรียมจะลงโทษหนิวโหย่วเต๋ออย่างไรเพคะ?” จ้านหรูอี้ถาม

ประมุขชิงหยุดมือ แล้วมองคนในกระจกพร้อมถามว่า “สนมรักยังจดจำความแค้นในปีนั้นอยู่อีกหรือ?”

“ทุกอย่างผ่านไปแล้วค่ะ” จ้านหรูอี้ตอบ

ประมุขชิงไม่เชื่อ ถูกจับแขวนไว้บนเสาธงให้ได้รับความอัปยศมากมายขนาดนั้น ทั้งยังโดนด่าว่าขายผู้หญิงแลกเกียรติยศ ถ้าลืมได้ง่ายๆ ก็แปลกแล้ว จึงยิ้มพร้อมบอกว่า “สนมรักวางใจเถอะ ข้าจะช่วยระบายความโกรธให้เจ้าเอง” เขาไม่ถือสาที่จะถือโอกาสแสดงน้ำใจเพื่อเอาใจสาวงาม

“เรื่องในปีนั้นผ่านไปแล้วค่ะ” จ้านหรูอี้เน้นย้ำอีกครั้ง

ส่วนประมุขชิงจะฟังเข้าหูหรือไม่นั้น ไม่ต้องบอกก็รู้…

ที่อุทยานหลวง อวี่จ้งเจินนำกำลังพลเหาะลงมาจากฟ้า มาเหยียบลงนอกจวนแม่ทัพภาค

ตรงประตูใหญ่มีคนไม่น้อยกำลังรออยู่ คนที่ควรมาก็มาหมดแล้ว บรรยากาศตรงนั้นค่อนข้างจริงจัง เนื่องจากมีสองคนที่ไม่ควรปรากฏตัวอยู่ที่นี่มาอยู่ตรงนี้แล้ว

ถังเฮ่อเหนียนยิ้มบางๆ ในขณะที่ยืนอยู่ข้างกายชายชราผมขาวคนหนึ่ง ชายชราคนนี้รูปร่างสูงใหญ่ สวมชุดลำลองผ้าฝ้าย ทว่าสง่าราศีดูสูงส่งราวกับนั่งอยู่บนเมฆ ในดวงตาฉายแววคมกริบน่าตกใจ มีพลังอำนาจมากมาย ทำให้คนที่อยู่ตรงนั้นไม่มีใครกล้าหายใจแรง เขาไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นอ๋องสวรรค์โค่วนั่นเอง

อวี่จ้งเจินเห็นแล้วอึ้งไปชั่วขณะ รีบก้าวขึ้นมาข้างหน้า แล้วกุมหมัดคารวะบอกว่า “ข้าน้อยคารวะอ๋องสวรรค์”

ไม่ว่าจะอยู่ในระบบงานเดียวกันหรือไม่ แต่ฐานะและระดับของอีกฝ่ายก็เห็นๆ กันอยู่ ถ้าไปยั่วให้เขาไม่พอใจขึ้นมา คนของทัพเป่ยโต้วก็อย่าได้คิดจะปรากฏตัวที่อาณาเขตของเขาอีกเลย

สายตาของโค่วหลิงซวีไปหยุดอยู่บนใบหน้าเขา แล้วขานรับเสียงเรียบ “อืม” จากนั้นสายตาก็กวาดมองไปที่เหมียวอี้ แล้วสุดท้ายสายตาก็ไปหยุดอยู่บนใบหน้าอวิ๋นจือชิวที่สวมชุดที่ไม่เป็นทางการอยู่ท่ามกลางฝูงชน

ถังเฮ่อเหนียนที่อยู่ข้างกายเขาพยักหน้าเล็กน้อยและส่งสายตาให้อวิ๋นจือชิว เป็นการยืนยันว่าท่านนี้คืออ๋องสวรรค์โค่ว ถึงอย่างไรอ๋องสวรรค์โค่วกับอวิ๋นจือชิวก็ไม่เคยเจอกันมาก่อน

ถ้าจะกลบเกลื่อนคำโกหกก็ต้องทำท่าทางกลบเกลื่อนคำโกหก อวิ๋นจือชิวก้าวออกมาอย่างช้าๆ พอมาถึงตรงหน้าอ๋องสวรรค์โค่วแล้ว นางก็ย่อเข่าข้างเดียว “คารวะท่านพ่อบุญธรรม!”

ทุกสายตาจ้องอยู่บนตัวอวิ๋นจือชิว ในดวงตาหยางชิ่งฉายแววประหลาดใจสงสัยไม่หยุด เขามองปฏิกิริยาของเหมียวอี้เป็นระยะ บนใบหน้าสวีถังหรานก็แสดงอาการตกตะลึงเช่นกัน ต่อให้นอนฝันก็นึกไม่ถึงว่าผู้หญิงคนนี้จะกลายเป็นลูกสาวของอ๋องสวรรค์โค่ว แบบนี้เรียกว่าก้าวครั้งเดียวสูงถึงฟ้า! เขามองเหมียวอี้ด้วยแววตาฮึกเหิมเร่าร้อน ถ้านายท่านแต่งงานกับผู้หญิงคนนี้ ก็จะต้องบินทะยานขึ้นสูงแน่นอน! เดี๋ยวต่อไปต้องให้เสวี่ยหลิงหลงขยันไปมาหาสู่หน่อย

โค่วหลิงซวียิ้มบางๆ “ชิวเอ๋อร์ไม่ต้องมากพิธี ถ้ามีอะไรจะพูด เดี๋ยวเราสองพ่อลูกค่อยกลับไปคุยกันที่บ้าน”

ไม่ว่าจะเป็นการแสดงละครหรือไม่ แต่อีกฝ่ายทำถึงขั้นนี้แล้ว อ๋องสวรรค์ผู้สง่าผ่าเผยให้เกียรติมาต้อนรับขับสู้ด้วยตัวเอง เหมียวอี้ก็แอบถอนหายใจ ติดหนี้นำใจคนคนนี้อย่างใหญ่หลวงแล้วจริงๆ

“ค่ะ!” อวิ๋นจือชิวเอ่ยรับแล้วยืนตัวตรง

โค่วหลิงซวีชี้มาตรงข้างกายอีก บอกใบ้ให้อวิ๋นจือชิวมายืนข้างกายเขา จ้องอวี่จ้งเจินพร้อมบอกว่า “ข้าจะพาลูกสาวไปอยู่ด้วยกันสักหน่อย หัวหน้าภาคอวี่คงไม่มีความเห็นแย้งหรอกใช่มั้ย?”

อวี่จ้งเจินกุมหมัดคารวะ “ข้าน้อยได้รับคำสั่งให้มาทำงาน ไม่อาจตัดสินใจเองได้”

โค่วหลิงซวีทำเสียงฮึดฮัด แล้วบอกว่า “เช่นนั้นก็รายงานขึ้นไปเดี๋ยวนี้ ให้คนที่ตัดสินใจได้ตอบกลับมา ข้าจะคอยดูว่าใครจะกล้าทำให้เสียเรื่อง!” น้ำเสียงและท่าทีดูมีบารมีน่าเกรงขามโดยธรรมชาติ ทำให้คนรู้สึกกดดันมาก

“ขอรับ!” อวี่จ้งเจินเอ่ยรับ แล้วหยิบระฆังดาราขึ้นมาติดต่อเบื้องบน

กับเรื่องแบบนี้ไม่มีทางขัดขวางได้ คดีจบลงแล้ว และอวิ๋นจือชิวก็ไม่ได้ทำอะไรผิด ใครยังจะกล้าขัดขวางไม่ให้ลูกสาวของอ๋องสวรรค์โค่วกลับบ้านอีกล่ะ? มิหนำซ้ำอ๋องสวรรค์โค่วก็ออกหน้ามาด้วยตัวเอง จะไม่ไว้หน้าก็ไม่ได้ ไม่อย่างนั้นกำลังพลกองทัพองครักษ์ที่อยู่บนอาณาเขตของอ๋องสวรรค์โค่วก็จะมีปัญหาทันที อีกฝ่ายมีพลังแบบนี้จริงๆ ไม่จำเป็นต้องรายงานขึ้นเบื้องบน ฮวาอี้เทียนผู้ตรวจการใหญ่ของหน่วยองครักษ์เจิ้นอี่ตัดสินใจให้โดยตรง บอกให้อวี่จ้งเจินปล่อยคนไป

พอเก็บระฆังดาราแล้ว อวี่จ้งเจินก็เบี่ยงตัวแล้วทท่ายื่นมือเชิญ

โค่วหลิงซวีไม่รีบไป สายตาตกอยู่บนตัวเหมียวอี้แล้ว แต่กลับถามอวิ๋นจือชิวว่า “ชิวเอ๋อร์ เจ้าเด็กนั่นมันทำอะไรกับเจ้าแล้ว จะยุติเรื่องนี้ยังไง?”

“แล้วแต่ท่านพ่อบุญธรรมจะตัดสินใจค่ะ” อวิ๋นจือชิวตอบอย่างสงบเสงี่ยม

โค่วหลิงซวีเอามือไขว้หลังเดินช้าๆ คนที่อยู่ทางซ้ายและขวาหลีกทางให้อย่างรู้สำนึก ปล่อยให้เขาเดินไปตรงหน้าเหมียวอี้

“ข้าน้อยคารวะอ๋องสวรรค์” เหมียวอี้กุมหมัดคารวะ

“อย่ามาเล่นลูกไม้นี้! เจ้านี่ใจกล้าไม่เบานะ บังอาจรังแกลูกสาวข้า เบื่อหน่ายที่จะมีชีวิตอยู่แล้วรึไง? เชื่อมั้ยว่าถ้าจะฆ่าฟันเจ้าตายตอนนี้ เจ้าก็ตายเปล่า?”

“ก่อนหน้านี้ข้าน้อยไม่ทราบจริงๆ ว่านางคือลูกสาวท่าน”

“ตอนนี้รู้แล้ว เจ้าเตรียมจะทำยังไงต่อไป?”

“แต่งงานกับนาง!” เหมียวอี้เงยหน้ายืดอกตอบ

ตรงไปตรงมามาก ไม่ปิดบังเลยสักนิด

เมื่เห็นเจ้าเด็กนี่ไม่ตื่นตัวในการแสดงละครสักเท่าไร โค่วหลิงซวีคิดไปคิดมาก็เข้าใจ มีเรื่องมากมายที่ทุกคนรู้ดีอยู่แก่ใจ แค่พูดพอเป็นพิธีก็พอแล้ว เขาหันกลับมามองอวิ๋นจือชิว แล้วบอกว่า “งั้นก็เอาตามนี้ ข้าจะจัดงานแต่งงานให้พวกเจ้าสองคน!”

เหมียวอี้กุมหมัดคารวะ “ขอบคุณท่านอ๋องที่ช่วยให้สมหวัง!”

เฟยหงที่ยืนต้อนรับอยู่ไม่ไกลก้มหน้าอย่างหดหู่ แม่เฒ่าลวี่ที่ยืนอยู่ข้างกันลูบหลังนาง แล้วถอนหายใจเบาๆ ด้วยสีหน้าเห็นใจ พบว่าหนิวโหย่วเต๋อคนนี้ไม่เห็นความสำคัญต่อความรู้สึกของเฟยหงสักนิดเลย

เรื่องบางเรื่องไม่จำเป็นต้องพูดก็รู้ถึงบทสรุป ลูกสาวของอ๋องสวรรค์โค่วจะเป็นอนุภรรยาได้อย่างไร ต่อให้เป็นราชันสวรรค์ก็ไม่กล้าพูดอย่างนี้เช่นกัน ถึงแม้เฟยหงจะเป็นลูกสาวของแม่เฒ่าลวี่เหมือนกัน แต่เวลาแม่เฒ่าลวี่อยู่ต่อหน้าอ๋องสวรรค์โค่ว ก็ไม่มีความสำคัญอะไรทั้งนั้น ไม่จำเป็นต้องไปช่วงชิงอะไรทั้งนั้น และไม่มีคุณสมบัติจะไปช่วงชิงด้วย พอแต่งงานรับอวิ๋นจือชิวเข้าบ้านแล้ว อวิ๋นจือชิวก็จะเป็นฮูหยินเอกแน่นอน

…………………………

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

เหมียวอี้ เด็กหนุ่มธรรมดาแต่มีโชคชะตาที่ไม่ธรรมดา!

เขาคือเด็กกำพร้าที่ถูกเพื่อนบ้านตราหน้าว่าเป็น ‘ตัวหายนะ’

เพราะพ่อแม่บุญธรรมที่รับเลี้ยงเขาล้วนมีจุดจบอยู่ในกองเพลิงทั้งสิ้น

เขาจึงต้องเติบโตมากับน้องๆ ต่างสายเลือดอีกสองคนตามลำพัง

ไร้เงิน ไร้อำนาจ ไร้ความสามารถ ซ้ำยังเป็นตัวซวย โลกนี้มันช่างอยู่ยากเสียจริง!

หนทางที่จะลบคำครหาของชาวบ้านและก้าวพ้นชีวิตที่ยากไร้ไปได้ก็คือการสำเร็จเป็นเซียน

แม้ความปรารถนาจะอยู่สูงเกินเอื้อม แต่เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่น

ถึงจะลำบากและอันตรายเพียงใด

ก็ขอทะยานไปให้สุดขอบฟ้า!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท