บทที่ 6
เจ้าตัวแสบเข้าไปยุ่งกับปัญหา
ยืนขึ้นได้?
เป็นคำที่ไม่มีใครกล้าเอ่ยถึงต่อหน้าเขามานานแล้ว เจียงหวายเย่ก็ได้มองไปที่ชามยาสีดำๆด้วยแววตาที่ดำมืด
หลินซีเหยียนก็ได้มองไปที่ดวงตาที่ดำมืดที่เหมือนมองเห็นความหวังที่ริบหรี่ของเจียงหวายเย่แล้วทำให้นางรู้สึกปวดใจ
“องค์ชาย” ถึงแม้อันอี้จะมีหน้าสีหน้านิ่งๆ แต่เขาก็พูดอย่างรวดเร็ว ซึ่งแสดงให้เห็นหัวใจที่กระสับกระส่าย
“ขอองค์ชายจงเชื่อในท่านอาจารย์ของข้า” อวี้ตี๋เอ๋อพูดต่อทันที
จากครั้งหนึ่งที่เคยเป็นถึงบุตรแห่งสวรรค์ที่ทระนง ตอนนี้กลับต้องกลายเป็นองค์ชายพิการ เขาจะต้องทรมานมากแน่ๆ!
เจียงหวายเย่ก็ได้ยกมือของเขามารับชามยาจากอันอี้ แต่ทว่าเขาก็โดนแย่งเอายาออกไปโดยมือที่ขาวเนียน เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นมาก็พบใบหน้าขาวๆของหลินซีเหยียน
“ยาชามนี้ทำมาจากตัวยามากมายที่ไม่เข้ากันเลย จนมันกลายเป็นยาพิษที่ร้ายแรงมากไปแล้ว” หลินซีเหยียนก็ได้มองไปที่อวี้ตี๋เอ๋อด้วยสีหน้านิ่งๆ เสียงนิ่มๆของนางนั้นเหมือนกับมีเวทมนตร์ทำให้ไม่มีใครกล้าถามอะไร
“ท่านอาจารย์ไม่มีทางทำร้ายองค์ชายแน่นอน เจ้าที่ยังไม่เคยเห็นสูตรยาจะไปรู้ได้อย่างไร?”
ดวงตาของเจียงหวายเย่ก็ได้มืดดำขึ้นมาและยกแขนลงมาราวกับไร้เรี่ยวแรงราวกับเดินทางไกลหลายพันลี้ มุมปากของเขาก็ได้ยกขึ้นอย่างขำๆกับตลกร้ายนี้ นี่เขาจะไม่มีหวังเลยจริงๆเหรอ?
แล้วหลินซีเหยียนก็ได้อธิบาย “ขอแค่ดมกลิ่นยาต้มนี้ ข้าก็รู้แล้วว่าใช้สมุนไพรอะไรบ้าง”
หลังจากนั้นหลินซีเหยียนก็ได้พูดไล่ชื่อของสมุนไพรที่ใช้ แล้วอันอี้ก็ได้หยิบเอาสูตรยาออกมาแล้วเริ่มไล่ตรวจความถูกต้องทีละอย่าง แล้วก็พบว่าสมุนไพรที่ใช้นั้นตรงตามที่แม่นางหลินบอกเลย
“ต่อให้เจ้ารู้แล้วยังไงต่อ? ท่านอาจารย์น่ะจะต้องจัดยาที่ถูกมาให้แน่นอน องค์ชายนั้นโดนพิษผสมผสาน จึงเป็นเรื่องยากที่จะขับออกมาหรือแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย แต่ถ้าหากใช้พิษขับพิษก็อาจจะมีความหวังขึ้นมาก็ได้” อวี้ตี๋เอ๋อพูดไปให้ความหวังขึ้นมา แล้วยิ้มอย่างเหน็บแนม “ถ้าเป็นเรื่องของการรักษาแล้ว ไม่มีใครเหนือไปกว่าอาจารย์ของข้าแน่”
หลินซีเหยียนก็รู้อยู่ว่าที่นางพูดนั้นมันก็จริงอยู่ แต่วิธีการนี้มันอันตรายมากเกินไป แล้วจากนั้นนางก็ได้มองไปที่ เจียงหวายเย่ราวกับต้องการจะพูดอะไรบางอย่าง
แต่ก่อนที่นางจะได้พูดอะไร องค์ชายเย่ก็ได้ยิ้มขึ้นมา ถึงแม้ใบหน้าของเขานั้นจะปิดบังเอาไว้ครึ่งหนึ่ง แต่ก็ยังไม่อาจปิดบังความสง่างามไร้ที่ติของเขาได้ แล้วเขาได้ตอบอย่างไม่คิดมากราวกับว่ายาที่อยู่ตรงหน้านี้ไม่ได้มีไว้สำหรับเขา “ถ้าแม่นางหลินให้เปิ่นหวางดื่ม เปิ่นหวางก็จะดื่ม”
“ในความคิดของข้า ยาตัวนี้มีความเสี่ยงที่สูงเกินไปที่จะกินเจ้าค่ะ” หลินซีเหยียนตอบกลับไปอย่างตรงๆ
“ตกลง เปิ่นหวางก็จะไม่ดื่ม”
หลินซีเหยียนมองดูเขาที่ตอบอย่างไม่ลังเลแล้ว นางก็ได้หันไปมองเขา นี่เป็นเรื่องเป็นใหญ่ที่ตัดสินว่าเขาจะเดินได้หรือไม่ได้เลยนะ “ท่านจะไม่ลองไตร่ตรองดูสักหน่อยเหรอ?”
“ไม่มีอะไรให้ต้องไตร่ตรอง เปิ่นหวางเชื่อว่าแม่นางหลินนั้นไม่ได้คิดร้ายต่อเปิ่นหวางแน่นอน “เจียงหวายเย่ก็ได้ยิ้มอย่างสดใสราวกับมีดอกไม้บานออกมา ถึงแม้จะแค่แวบเดียวแต่ก็ยากที่จะลืมเลือนได้
“องค์ชาย….” อวี้ตี๋เอ๋อเองก็อยากที่จะอธิบาย แต่ก็ถูกขัดโดยเสียงที่เย็นชาราวกับน้ำแข็งพันปีที่ไม่มีวันละลายของเจียงหวายเย่
“เปิ่นหวางได้ตัดสินใจไปแล้ว เจ้าไปได้แล้ว!”
มองไปที่ชายผู้มีทิฐิแรงกล้าแล้ว ดวงตาของอวี้ตี๋เอ๋อก็ปรากฏความโกรธออกมา แต่เพราะว่านางกลัวองค์ชายเย่จะทำร้ายนางอีก นางจึงได้ยอมถอยอย่างไม่พอใจ
แต่เรื่องนี้จบได้ไม่ทันไร ก็มีสาวใช้วิ่งเข้ามาอย่างหน้าตาตื่นและหอบ ก่อนจะพูดอย่างตื่นตระหนก “บุตรชายของแม่นางหลินหายไปแล้วเจ้าค่ะ”
หลินซีเหยียนก็มีสีหน้าซีดเซียวขึ้นมาทันที เจ้าตัวแสบนั่นจะต้องแอบหนีออกไปแล้วแน่ๆ นางจึงได้รีบกลับไปที่ห้องของนางซึ่งนางก็ไม่เห็นเจ้าลูกชิ้นแล้วจริงๆ แม้แต่กระเป๋าใบเล็กที่นางเย็บให้เทียนเอ๋อก็หายไปด้วย
แต่นางก็ไม่ได้กระวนกระวายอะไรมาก เพราะนางมีผีเสื้อแกะรอยที่สามารถตามหาเทียนเอ๋อได้อย่างรวดเร็ว
ซึ่งในขณะที่นางกำลังจะออกไปตามหานั้น เจียงหวายเย่ถูกเข็นมาโดยอันอี้ก็ได้กล่าว
“ข้ารับใช้ได้มารายงานเปิ่นหวางว่าเทียนเอ๋อหายออกไปจากตำหนัก เปิ่นหวางจึงได้ส่งคนออกไปตามหาให้แล้ว”
“ขอบพระทัยองค์ชายมากเจ้าค่ะ” หลินซีเหยียนยิ้มอย่างอันตรายขึ้นมา เจ้าตัวแสบเทียนเอ๋อจะต้องแอบหนีไปเล่นข้างนอกแน่ๆ ถ้าจับตัวเขาได้เมื่อไร แม่จะสั่งสอนให้หนักเลยคอยดู
ซึ่งในเวลานี้เจ้าตัวแสบที่ทุกคนพูดถึงนั้น ในมือถือขนมน้ำตาลเป่าแล้วเดินไปรอบๆเมืองอย่างตื่นเต้น
“ฮัดชิ่ว~” ขณะที่กำลังเดินๆอยู่เขาก็จามขึ้นมาจึงเอามือลูบจมูกของเขา จู่ๆก็รู้สึกได้ถึงลมเย็นวาบเข้ามาข้างหลังเขา ซึ่งทำให้เขาต้องหดคอเข้ามา
“จะต้องเป็นท่านแม่พูดดุเราแน่เลย เราต้องรีบหนีไปไกลๆแล้วไม่อย่างนั้นคงได้ถูกจับตัวกลับไปแน่ และเราจะต้องโดนอดข้าวอย่างแน่นอนเลย”
ในขณะที่กำลังคิดจะหาอะไรสนุกๆทำอยู่นั้น เจ้าลูกชิ้นก็ได้หยิบกล่องเล็กๆออกมาจากกระเป๋าของเขาออกมาเล่น แต่แล้วเขาก็ได้ยินเสียงร้องขอความเมตตาดังเข้ามาในหูของเขา
“ได้โปรดหยุดอย่าทำร้ายพี่ชายข้าเลย พวกเราไม่กล้าอีกแล้ว”
กลุ่มคนก็ได้มารวมตัวกันมองดูอย่างจอแจ เจ้าลูกชิ้นก็ได้เบียดตัวแทรกเข้าไป แล้วก็พบกับขอทานน้อยสองคนที่กำลังถูกทำร้าย หนึ่งในนั้นบาดเจ็บ เขามีอาการสาหัสมาก แต่เขาก็ยังคงเอาตัวเข้าปกป้องเด็กที่อยู่ข้างใต้ตัวเขา ซึ่งเด็กที่อยู่ข้างใต้นั้นก็คือคนที่ร้องเรียกขอความเมตตา
หลินเทียนชื่อที่เห็นเหตุการณ์นี้ ด้วยความรักในความยุติธรรมเขาก็ได้ออกไปยืนด้านหน้าแล้วตะโกนอย่างทะนงตน “หยุดนะ!”
ด้วยความตกใจ คนเหล่านั้นก็ได้หยุดมือจริงๆ
คนที่เหมือนจะเป็นหัวหน้าก็ได้หันหน้ามามอง แต่พอพบว่าเป็นแค่เด็กเขาก็ได้พูดอย่างดูถูก “เจ้าถั่วงอกนี่มาจากไหนกัน ดูเหมือนจะไม่เคยเรียนรู้ ว่าอย่ามายุ่งเรื่องของคนอื่น หากเจ้าเข้ามายุ่งจะโดนไม่ใช่น้อย”
“พวกเจ้าทุบตีเขาทำไม?” หลินเทียนชื่อก็ได้ก้มหน้าแล้วถือลูกไฟไว้ที่ท้องของเขา
ในเวลานี้คนที่เป็นหัวหน้าก็ไม่ได้มองมาที่เจ้าลูกชิ้นเลยแม้แต่น้อย เหล่าลูกน้องเองก็พูดอย่างดูถูก “ก็เจ้าพวกมือเท้าสกปรกนี่มันบังอาจมาขโมยของ ของนายน้อย พวกมันก็สมควรที่จะได้รับบทเรียนไม่ใช่เหรอ? ข้าแนะนำให้เจ้าอย่าเข้ามายุ่งจะดีกว่า นายน้อยของพวกเราคือเฮอเหวินจางทายาทของแห่งกว๋อกงจิ่งหยาง”
“กว๋อกงจิ่งหยาง? ทำไมเรารู้สึกคุ้นๆจังนะ เหมือนเคยได้ยินที่ไหนมาก่อน?” หลินเทียนชื่อก้มหน้าแล้วบ่นพึมพำๆ
แล้วขอทานตัวน้อยที่ถูกปกป้องโดยอีกคนก็ได้ตะโกนขึ้นมาด้วยเสียงที่แหบแห้ง “พวกเราไม่ได้ขโมยนะ ไม่ได้ทำจริงๆ”
แล้วสายตาของผู้คนต่างก็มองไปที่เฮอเหวินจางอย่างสงสัย แต่เนื่องจากเป็นคนของกว๋อกงจิ่งหยาง เหล่าคนที่อยากจะออกมาสู้เพื่อความไม่ยุติธรรมต่างก็พากันเลิกคิดไป
เมื่อเฮอเหวินจางได้ยินก็ปรากฏสายตาที่เย็นชาขึ้นมา “เจ้ายังจะมาพูดไร้สาระอีก ดูเหมือนว่าเจ้าคงจะโดนสั่งสอนไม่หนักพอ ใครก็ได้จัดการพวกมันให้หนักกว่านี้อีก”
“ได้ขอรับ” ข้ารับใช้คนหนึ่งก็ได้รับคำสั่งของเฮอเหวินจาง แล้วจากนั้นมือของเขาก็ได้ต่อยหนักมากขึ้นเรื่อยๆ
เจ้าลูกชิ้นก็อดทนต่อไปไม่ได้อีก เขาวิ่งเข้ามาแล้วเตะข้ารับใช้คนนั้นกระเด็นออกไป จากนั้นก็หันมามองเฮอเหวินจางด้วยสีหน้าที่ดุดัน “อย่าทำร้ายพวกเขานะ”
“หึ ดูเหมือนเจ้าเด็กนี้จะอยากมีปัญหา พวกเจ้าไปจัดการมันพร้อมกัน”
เมื่อได้ยินเสียงที่ฟังดูกวนบาทาแล้วทำให้เจ้าลูกชิ้นรู้สึกหงุดหงิดมากยิ่งขึ้นไปอีก เขามองไปที่เหล่าคนไม่ดีที่เข้ามาหาและพูดอย่างมั่นใจ
“แล้วพวกเจ้าจะต้องเสียใจที่ทำร้ายข้า และท่านแม่ที่ทรงพลังและไร้พ่ายของข้าจะต้องล้างแค้นให้ข้าแน่”
เมื่อเฮอเหวินจางได้ยิน เขาก็ยิ้มแล้วพูดอย่างไม่ใส่ใจ “ข้าก็อยากจะเห็นเหมือนกันว่าจะมีใครที่กล้ามาล้างแค้นข้า”
ถึงแม้ว่าเจ้าลูกชิ้นจะพยายามอย่างมากในการสู้ด้วยพลังไฟพิสุทธิ์ที่เป็นวิชาการต่อสู้ที่แม่เขาสอนมา แต่ก็น่าเสียดายที่เขายังมีพลังไม่พอ นอกจากนี้เขายังถูกล้อมด้วยผู้ใหญ่จำนวนมากอีก เขาทรุดตัวลงอย่างรวดเร็ว
หลังจากที่ทรุดลงไป เขาก็ได้ต่อยลงไปจนเป็นหลุมวงกลมขนาดใหญ่แล้วเจ้าลูกชิ้นก็ได้รีบตะโกนบอกขอทานสองคนนั้น “หนีไป!”