บทที่ 66
พ่ายแพ้และถอยหนี
ในเวลานี้หวังเซียงอวี่รู้แล้วว่านางจะเชื่อใครดี นางจึงได้มองไปที่จงอู๋อย่างให้ความเคารพแล้วกล่าว “ท่านลุงจง ข้าเคยได้ยินท่านพ่อของข้าพูดถึงท่านอยู่บ่อยๆ ไม่นึกเลยว่าข้าจะได้พบกับท่านในเวลานี้”
จงอู๋ก็ได้มองไปที่หวังเซียงอวี่ แล้วทันใดนั้นเขาก็เหมือนนึกอะไรบางอย่างออกแล้วกล่าว “ที่แท้เจ้าก็คือบุตรีของท่านหวังนี่เอง มิน่าเจ้าถึงได้สุภาพและดูมีการศึกษานัก”
“เซียงอวี่ เขาคือใครเหรอ?” หลี่ช่างหรูรู้สึกกลัวท่านลุงจงมากในตอนนางจ้องไปที่ท่านหมอเฉิง และดูหวังเซียงอวี่เองก็ดูนับถือเขามากด้วย นางจึงอดไม่ได้ที่จะถาม
หวังเซียงอวี่ก็ได้มองไปที่เหล่าๆคุณหนูแล้วกล่าว “ท่านนี้คือหัวหน้าหมอหลวงในพระราชวังหลวง”
แล้วก็มีบรรยากาศหนาวเย็นออกมาจากทุกคนทันที และแม้แต่ฮูหยินอวี้ก็ไม่เว้น นางได้ดึงหลินหัวเยว่มาราวกับว่าต้องการให้นางรีบหาข้อแก้ตัว
แต่ในเวลานี้หลินหัวเยว่นั้นสติหลุดไปแล้ว เดิมทีแผนการของนางนั้นไร้จุดบอดมาก แต่นางไม่คิดว่าจะมีตัวตนที่คาดไม่ถึงเช่นนั้นโผล่ออกมา
หลินซีเหยียนจึงกล่าวด้วยความแค้นและเตือน “ในเวลานี้พวกเจ้าจะชดใช้ให้ข้าอย่างไร?”
ฮูหยินอวี้นั้นไม่ได้โดนพิษ ดังนั้นหลินซีเหยียนจึงไม่ได้ทำร้ายนางด้วยพิษอย่างที่กล่าวอ้างเอาไว้ ถึงแม้จะไม่รู้ว่าเรื่องจริงนั้นเป็นอย่างไร แต่คุณหนูเหล่านี้ก็พอจะเดาออกได้สักอย่างสองอย่างแล้ว
ซึ่งถ้าเรื่องนี้ไม่ถูกทำให้กระจ่างในวันนี้ ก็เกรงว่าพวกนางนั้นจะโดนคนอื่นหลอกใช้โดยที่ไม่รู้ตัว ดังนั้นคนเหล่านี้จึงได้ตัดสินใจที่จะลดการติดต่อกับหลินหัวเยว่
หลังจากที่หลินซีเหยียนก็ได้ออกไปส่งผู้คน ส่วนหลินหัวเยว่กับฮูหยินอวี้ไม่ได้ออกมาเพราะพวกนางไม่กล้าสู้หน้าคนอื่นๆ แต่พอมหาเสนาบดีหลินกลับมาและได้ทราบเรื่องที่เกิดขึ้นแล้ว ก็ได้สั่งให้หลินหัวเยว่และฮูหยินอวี้ออกมาข้างนอกอีก เพื่อให้สำนึกผิด
หลินซีเหยียนก็ได้กลับไปที่เรือนเชียนเหยียนอย่างเงียบๆ นางคิดว่ามหาเสนาบดีหลินคงจะไม่มาหาเรื่องกับนางแล้วแน่ๆจึงได้รู้สึกเริ่มเบื่อๆ แต่มหาเสนาบดีหลินกลับมาหานางในตอนเย็น
“ท่านมหาเสนาบดีหลินมีธุระอะไร?” หลินซีเหยียนมองไปที่มหาเสนาบดีหลินด้วยสีหน้าที่เย็นชามาก ราวกับเจอคนแปลกหน้า
มหาเสนาบดีหลินได้สูดลมหายใจแล้วพูดออกมาเบาๆ “ฮ่องเต้อยากให้เจ้าเข้าเฝ้าในวันพรุ่งนี้”
“ทำไมฮ่องเต้ถึงได้อยากพบข้า?” หลินซีเหยียนนั้นยังคงสีหน้าเช่นเคย ไม่ได้ตื่นเต้นที่ถูกเชิญเลยแม้แต่น้อย
มหาเสนาบดีหลินนั้นพบว่าตัวเขานั้นรู้เกี่ยวกับลูกสาวคนนี้ของเขาน้อยมากจริงๆ นางไม่รู้สึกท้อแท้ในยามที่นางพบกับเรื่องที่ยากลำบาก และนางก็ไม่เคยโอหังหรืออยากได้ในยามที่ได้รับรางวัล ถ้าเขาเก็บลูกสาวที่สมบูรณ์พร้อมคนนี้ไว้ใช้สอยเอง บางทีเขาอาจจะได้เลื่อนขั้นในหน้าที่การงานก็ได้
มหาเสนาบดีหลินจึงได้คิดที่จะดูแลหลินซีเหยียนให้ดีขึ้นต่อจากนี้ และพูดอย่างอ่อนโยน “โรคระบาดที่ชิงโจว เจ้ากับองค์ชายเย่ได้ช่วยกันจัดการอย่างดีมาก สำหรับความสำเร็จครั้งใหญ่นี้ ฮ่องเต้จึงได้อยากที่จะพบกับเจ้า”
หลินซีเหยียนจึงได้ผงกหัวและส่งสัญญาณให้มหาเสนาบดีหลินรู้ว่านางรู้แล้ว
มหาเสนาบดีหลินนั้นเดิมทีอยากที่จะพูดอะไรบางอย่าง แต่สุดท้ายเขาก็ได้จากไปโดยไม่พูดอะไร
จนกระทั่งความมืดมาเยือน หลินซีเหยียนก็ได้พบกับผู้มาเยือนที่คุ้นเคย ผู้มาเยือนคนนี้สวมชุดสีขาวตั้งแต่หัวจรดเท้า โดยไม่มีความคิดที่จะระวังตัวเลยแม้แต่น้อย
หลินซีเหยียนจึงได้หรี่สายตาไปที่ฝ่ายตรงข้าม แล้วจากนั้นก็ถาม “ที่องค์ชายมาหาข้าที่นี่เพราะเรื่องเข้าเฝ้าพรุ่งนี้ใช่หรือไม่?”
เจียงหวายเย่จึงได้ผงกหัวแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เสี่ยวเหยียนเอ๋อช่างเข้าใจเปิ่นหวางจริงๆ”
ในเวลานี้เจียงหวายเย่นั้นไม่ได้สวมหน้ากากมา และใบหน้าที่เต็มไปด้วยเสน่ห์ของเขาก็ได้ส่องสว่างเพราะรอยยิ้มของเขา หลินซีเหยียนจึงทำได้แค่จ้องไปที่มัน
จนกระทั่งเจียงหวายเย่ก็ได้พูดทำลายบรรยากาศนั้น “เสี่ยวเหยียนเอ๋อรู้สึกพึงพอใจมากกับรูปโฉมของเปิ่นหวางอย่างนั้นเหรอ?”
หลินซีเหยียนผงกหัว แล้วจากก็กระแอมเพื่อปิดบังใบหน้าที่เขินอายของนาง “เรามาคุยธุระกันก่อนเถอะ”
เจียงหวายเย่ก็ได้เผยรอยยิ้มออกมาแล้วกล่าว “เปิ่นหวางนั้นคงไม่อาจเผยตัวได้ในวันพรุ่งนี้ ดังนั้นเปิ่นหวางคิดจะบอกเจ้าว่าอะไรที่จำเป็นต้องใส่ใจกับมันในวันพรุ่งนี้”
แล้วเขาก็ได้พูดออกมาอย่างไร้การปิดบัง และ หลินซีเหยียนก็ได้ฟังอย่างตั้งใจและพอจะทำความเข้าใจคร่าวๆบ้างแล้ว
สำหรับเรื่องอย่างโรคระบาดชิงโจวนั้น องค์ชายเย่นั้นได้เอาชนะใจชาวบ้านอย่างท่วมท้น ดังนั้นฮ่องเต้จึงจำเป็นต้องมอบรางวัลให้ แต่เพราะตัวตนของเจียงหวายเย่และกำลังทหารนั้นอยู่ในมือของเขาอยู่แล้ว จึงเป็นไปไม่ได้ที่ฮ่องเต้จะมอบอะไรให้เขาได้อีก แต่สำหรับหลินซีเหยียนแล้วต่างออกไป ฮ่องเต้สามารถมอบรางวัลในระดับสูงที่สุดที่เหมาะสมแก่นางได้เพราะนางไม่มีขุมอำนาจไหนๆเหนี่ยวรั้งนางเอาไว้
หลินซีเหยียนมองไปที่เจียงหวายเย่ด้วยแววตาเป็นประกายขึ้นมา “หมายความว่า สามารถขออะไรก็ได้พรุ่งนี้ใช่ไหม?”
เจียงหวายเย่มองดูนางอย่างมีความสุขแล้วหัวเราะ “ใช่ แต่เจ้าจำเป็นต้องสัญญากับเปิ่นหวางหนึ่งอย่าง”
“สัญญา?” หลินซีเหยียนมองไปที่เจียงหวายเย่อย่างสงสัย
เจียงหวายเย่ก็ได้หยิบแก้วชาขึ้นมาจิบ “เจ้าสามารถเสนอขออะไรก็ได้ แต่เจ้าห้ามยกเลิกการแต่งงานของเรา”
หลินซีเหยียนรู้สึกตกใจ ถ้าไม่ใช่เพราะเจียงหวายเย่เตือน นางก็คงลืมเรื่องการแต่งงานที่ฮ่องเต้ประทานไปแล้ว ในเวลานี้หลินซีเหยียนจะต้องแต่งงานกับเจียงหวายเย่ในอีก 2 เดือน
แต่มันก็น่าแปลกที่จะบอกว่านางไม่เคยรู้สึกเสียใจกับการแต่งงานในครั้งนี้ ถึงแม้ว่านางคิดที่จะหนีจากการแต่งงานนี้ก็ตาม
“ทำไมเสี่ยวเหยียนเอ๋อถึงไม่พูดอะไร หรือว่าเจ้าอยากที่จะยกเลิกการแต่งงานกับเปิ่นหวาง?” เจียงหวายเย่มองไปที่ หลินซีเหยียนที่ไม่พูดอะไรตั้งแต่เมื่อกี้ แววตาของเขาก็ดำมืดขึ้นมาและเสียงของเขาก็ทุ้มต่ำและแหบแห้ง
หลินซีเหยียนจึงได้ฟื้นสติกลับมาและสงสัยว่าทำไมเขาถึงได้โกรธ “ข้ายังไม่อยากยกเลิกการแต่งงาน มันน่าเสียดายที่จะทิ้งโอกาสดีๆแบบนี้ไป”
“ถูกต้อง ถ้าเช่นนั้นเสี่ยวเหยียนเอ๋อเจ้าจะต้องคิดให้มากว่าเจ้าจะทำอะไรกับโอกาสนี้” เจียงหวายเย่กล่าวพร้อมกับยิ้ม
หลินซีเหยียนก็ได้จ้องไปที่เขา “องค์ชายพูดเรื่องที่ต้องการจบแล้วใช่ไหม? นี่ก็ดึกมากแล้วทำไมท่านไม่กลับไปอีก?”
ในขณะที่เจียงหวายเย่อยากที่จะพูดอะไรบางอย่าง แล้วประตูห้องของหลินซีเหยียนก็ได้เปิดออกมา แล้วเทียนเอ๋อก็ขยี้ตาเดินเข้ามาข้างใน “ท่านแม่ ข้าอยากจะนอนกับท่านแม่”
เมื่อเทียนเอ๋อพูดจบก็ได้ปีนขึ้นไปนอนบนเตียง แล้วเขาก็รู้สึกถึงตัวตนของเจียงหวายเย่ขึ้นมา ความง่วงของเขาจึงได้หายเป็นปลิดทิ้ง แล้วเขาก็ได้วิ่งแจ้นมาหาเจียงหวายเย่ราวกับลูกหมาแล้วร้องเรียกท่านอาจารย์ จากนั้นก็เล่าให้เจียงหวายเย่ฟังเรื่องประสบความสำเร็จของเขาในโรงเตี๊ยม แล้วท้องฟ้าก็ได้มืดครึ้มขึ้นมา
ในขณะที่เจียงหวายเย่กำลังคิดจะกลับไป ท้องฟ้าก็เริ่มไม่ค่อยเป็นใจ ดวงจันทร์และดวงดาวที่เคยสว่างอยู่ในท้องฟ้ายามค่ำคืน แต่ทันใดนั้นฝนก็ได้เริ่มตกลงมา
ถึงจะถูกขวางโดยฝน แต่เจียงหวายเย่ก็ไม่ได้โมโหแต่อย่างใด แต่กลับกันเขามองไปที่หลินซีเหยียนอย่างมีความสุขแทน “เสี่ยวเหยียนเอ๋อเจ้ายังจะไล่เปิ่นหวางออกไปในเวลานี้จริงๆเหรอ? เปิ่นหวางคงจะตัวเปียกแน่เลย”
หลินซีเหยียนถึงกับพูดอะไรไม่ออก และพอนางบอกให้เจียงหวายเย่ไปนอนที่ห้องรับแขก เทียนเอ๋อก็ได้พูดอย่างตื่นเต้นว่า “ท่านอาจารย์ไม่ต้องไปหรอกขอรับ ท่านอาจารย์นอนกับ เทียนเอ๋อก็ได้”
แล้วมุมปากของเจียงหวายเย่ก็กระตุกขึ้นมาและคิดที่จะปฏิเสธ แต่หลินซีเหยียนก็ได้มองไปที่เทียนเอ๋ออย่างพึงพอใจ “เทียนเอ๋อฉลาดมากลูก ถ้าเช่นนั้นเจ้าก็พาอาจารย์ของเจ้าไปพักผ่อนเถอะนะ!”
เทียนเอ๋อดีใจมากและจูงมือพาเจียงหวายเย่ไป เจียงหวายเย่มองดูเด็กน้อยที่กำลังจัดเตียงอย่างมีความสุขแล้ว สีหน้าของเขาก็ไม่ดีมากขึ้นเรื่อยๆ แต่สุดท้ายเขาก็ได้นอนกับเทียนเอ๋ออย่างเชื่อฟัง
วันต่อมาหลินซีเหยียนก็ได้ตามมหาเสนาบดีหลินไปที่พระราชวัง แต่เพราะหลินซีเหยียนไม่อยากนั่งรถม้าคันเดียวกับมหาเสนาบดีหลิน ทั้งสองคนจึงได้อยู่ในภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
“นี่ เจ้าอย่ามาทำเป็นดื้อไปหน่อยเลย เจ้าขึ้นรถมากับพ่อเถอะ”
มหาเสนาบดีหลินที่วันนี้ไม่เพียงแต่จะไม่โกรธแล้ว แต่ยังพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน แม้เจอกับท่าทีของหลินซีเหยียนเมื่อสักครู่แล้วก็ยังไม่โกรธ ซึ่งนี่ทำให้หลินซีเหยียนรู้สึกกลัวขึ้นมาในใจอย่างช่วยไม่ได้ นางรู้สึกว่ามหาเสนาบดีหลินนั้นจะต้องวางแผนอะไรสักอย่างเล่นงานนางอย่างแน่นอน
……