พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า – บทที่ 1604 ไม่ได้ล้อเล่น

บทที่ 1604 ไม่ได้ล้อเล่น

รองเท้ามือสองเหรอ? เยว่เหยางงทันที พอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมพี่ใหญ่ถึงร้อนใจขนาดนี้ นางไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี “พี่ใหญ่ ข้ากับเจียงอีอีไม่เกี่ยวข้องกันจริงๆ นะ เพียงแต่พอได้ผ่านเรื่องนี้แล้ว ก็รู้สึกเหมือนตื่นจากความฝันฉากใหญ่เป็นครั้งแรก คงใจหายใจคว่ำละมั้ง ท่านว่าตอนนี้ข้าจะยังมีความสนใจจะไปหาผู้หญิงอีกเหรอ”

เหมียวอี้กลับพัวพันไม่จบไม่สิ้น “พี่คนโตก็เหมือนกับบิดา เจ้าก็อายุไม่น้อยแล้ว ต้องจัดการเรื่องแต่งงานของเจ้าให้เรียบร้อยเร็วๆ หน่อย ข้าก็จะได้หมดเรื่องกังวลใจเหมือนกัน เอาอย่างนี้ เจ้าลองดูสิ ถ้าเจอใครที่ชอบก็บอกข้าเลย ข้าก็จะตั้งใจเหมือนกัน จะต้องช่วยเจ้าเลือกคนดีๆ แน่นอน”

เยว่เหยาแกะมือเขาออก แล้วกล่าวอย่างไร้เรี่ยวแรงว่า “พี่ใหญ่ ข้าบอกแล้วไงว่าตอนนี้ข้าไม่สนใจ เรื่องแบบนี้บังคับกันได้ด้วยเหรอ?” พอเห็นเหมียวอี้ร้อนใจจริงฟ นางก็รีบก้าวถอยหลังแล้วโบกมือ “พอแล้วๆ ทำเหมือนข้าจะแต่งไม่ออกอย่างนั้นแหละ ข้าเปลี่ยนใจก็ได้ตกลงมั้ย สักวันหนึ่งข้าก็ต้องหาได้อยู่ดี ท่านพอใจรึยัง?”

“สักวันหนึ่งก็ต้องหาได้นี่คือยังไง เจ้าสาม เจ้าอย่ามาตบตาข้า เจ้าบอกข้ามา สักวันหนึ่งนี่คือเมื่อไร?” เหมียวอี้ถาม

เยว่เหยายอมแพ้เขาแล้ว ก้มหน้าบอกว่า “พี่ใหญ่ อย่างน้อยท่านก็ต้องให้ข้าหาคนที่เหมาะสมสิ จะบังคับให้ข้าหาส่งเดชไม่ได้หรอกมั้ง?” พอนางเงยหน้ามา นางก็บอกว่า “ข้าตัดสินใจแล้ว ข้าจะต้องหาคนที่ดีกับข้าเหมือนพี่ใหญ่ให้ได้เลย”

“…” เหมียวอี้พูดไม่ออก รู้สึกได้โดยสัญชาตญาณว่าเจ้าสามกำลังตบตาเขาอยู่

ที่จริงเยว่เหยาก็ตบตาเขาจริงๆ ถูกเรื่องของเจียงอีอีทำให้หมดอารมณ์กับเรื่องในด้านนั้น อย่างน้อยตอนนี้ก็ยังไม่มีความรู้สึกนึกคิดด้านนั้น

เหมียวอี้ไหล่ตกสองข้าง ไม่ได้พูดอะไรอีก หันตัวช้าๆ เดินออกไป สะเทือนใจกับคำพูดในตอนท้ายของเยว่เหยาแล้ว

เมื่อเห็นเขามีสภาพแบบนี้ เยว่เหยาก็ถามอย่างงุนงงว่า “พี่ใหญ่ ไม่ถึงขนาดนั้นมั้ง? ท่านคงไม่รีบผลักข้าออกไปอย่างนี้หรอกใช่มั้ย?”

เหมียวอี้หันหลังพลางโบกมือให้ เดินออกไปอย่างค่อนข้างหดหู่

ในห้อง อวิ๋นจือชิวกำลังพูดคุยหัวเราะอยู่กับเสวี่ยหลิงหลง

เมื่อเห็นเหมียวอี้กลับมาแล้ว ก็พบว่าเหมียวอี้มีสีหน้าท่าทางไม่ค่อยสู้ดีนัก เสวี่ยหลิงหลงขอตัวลาอย่างรู้กาลเทศะทันที

อวิ๋นจือชิวส่งเสวี่ยหลิงหลงออกประตูไปด้วยรอยยิ้มสนิทสนม พอกลับมาเห็นเหมียวอี้ยืนหดหูอยู่หน้าประตู นางก็เข้ามาใกล้แล้วถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เป็นอะไรไป?”

เหมียวอี้ใช้สองมือประคองลายหน้าต่างพลางถอนหายใจเบาๆ “ข้าบอกเรื่องเจียงอีอีกับเจ้าสามแล้ว”

อวิ๋นจือชิวขมวดคิ้วมุ่น “เป็นอะไรไป นางยังไม่ได้สติกลับมาเหรอ? นางโทษเจ้าเหรอ? ถ้าเป็นอย่างนี้จริงๆ แบบนั้นก็ดื้อด้านเกินไปแล้ว เจ้าคงไม่ได้ใจอ่อนบอกนางไปใช่มั้ยว่าข้ากดดันให้เจียงอีอีตาย?”

“เจ้าสามบอกว่าทั้งชีวิตนี้จะไม่แต่งงานแล้ว” เหมียวอี้ส่ายหน้าอย่างเหม่อลอย

“เอ่อ…พูดเพราะอารมณ์ชั่ววูบละมั้ง แต่ว่า…” อวิ๋นจือชิวกล่าวอย่างลังเลเช่นกันว่า “จะพูดยังไงดีล่ะ เจ้าเองก็เคยบอก บางทีอาจจะเป็นเพราะใช้ชีวิตลำบากมาตั้งแต่เด็ก เจ้าสามมีอีกด้านที่ฉลาดเข้าใจโลกมาตั้งแต่เด็ก ไม่ใช่ผู้หญิงที่จะตกหลุมพรางใครได้ง่ายๆ ผู้ชายทั่วไปคงจะทำให้นางเชื่อมั่นไม่ได้ง่ายๆ แต่เจียงอีอีคนนี้ทำให้นางหวั่นไหวแล้ว ถือว่ามีทักษะในการรับมือกับผู้หญิงอยู่บ้าง พอได้เจอประสบการณ์ครั้งนี้ ในภายหลังเจ้าสามก็นับว่ามีประสบการณ์ทางด้านนั้นแล้ว นางจะไม่ระวังตัวสักนิดเลยเหรอ? ถ้าอยากจะให้นางยอมรับผู้ชายคนไหนอีกครั้ง ก็คงจะลำบากหย่อย”

เหมียวอี้พยักหน้าเบาๆ แล้วก็มหน้าบอกว่า “นี่ก็เป็นปัญหาหนึ่งเหมือนกัน แต่ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดก็คือ เจ้าสามกับเจียงอีอีเป็นอย่างนั้นไปแล้ว เจ้าว่าในภายหลังเจ้าสามได้เจอผู้ชายที่เหมาะสมเหรอ ถึงยังไงเจ้าสามก็ร่างกายไม่บริสุทธิ์แล้ว ผู้ชายคนนั้นจะถือสาเรื่องนี้รึเปล่า ต่อไปเจ้าสามจะโดนหงุดหงิดใส่มั้ย นางจะโดนรังแกแต่ต้องอดทนไว้เพราะอับอายจนเอ่ยปากบอกใครไม่ได้หรือเปล่า? ต่อให้เจ้าสามจะพูดออกมา แต่ถ้าเรื่องมันไปถึงขั้นนั้นจริงๆ พวกเราจะไปแทรกแซงเรื่องนี้ยังไงดี? หรือจะไปซ้อมผู้ชายคนนั้นสักยกดีมั้ย? ไปซ้อมสักยกแล้วจะแก้ปัญหาได้รึเปล่า? พวกเราจะฆ่าผู้ชายของเจ้าสามทิ้งไม่ได้หรอกใช่มั้ย?”

อวิ๋นจือชิวอ้าปากค้างนิดหน่อย นึกไม่ถึงว่าผู้ชายคนนี้จะช่วยคิดให้เจ้าสามไปไกลขนาดนั้นแล้ว ความรักทะนุถนอมที่มีต่อน้องสาวคนนี้ช่างรอบคอบทั่วถึงจริงๆ นางทั้งโมโหทั้งอยากขำ “ผู้ชายอย่างพวกเจ้าจะถือสาเรื่องพวกนี้รึเปล่า เจ้าเองก็รู้ดีไม่ใช่เหรอ? เจ้าเป็นผู้ชายน่าจะรู้ดีกว่าข้านะ ยังจะมาถามข้าอีกเหรอ?” นางกลอกตามองบน

เหมียวอี้ส่ายหน้าเบาๆ “ในสังคมนี้ไม่ยุติธรรมต่อผู้หญิงจริงๆ”

“เชอะ!” อวิ๋นจือชิวบอกว่า “ถ้าไปทำอย่างนั้นกับผู้หญิงคนอื่นเจ้าคิดว่าสมเหตุสมผล แต่พอเรื่องเกิดกับน้องสาวตัวเองก็รู้สึกว่าไม่ยุติธรรมแล้ว จิตใจเจ้านี่เป็นยังไงกันนะ?”

“จ้าวเฟย…” จู่ๆ เหมียวอี้ก็กล่าวขึ้นมาอย่างลังเล

“จ้าวเฟยทำไม?” อวิ๋นจือชิวงุนงง

“จ้าวเฟยเหมือนจะไม่ถือสาเรื่องนี้?” เหมียวอี้เอามือลูบคางพลางเดาะลิ้น จากนั้นก็ส่ายหน้าอีก “จ้าวเฟยก็ไม่เลวนะ แต่น่าเสียดายที่แต่งงานกับอูเมิ่งหลันไปแล้ว ข้าไปแยกสองสามีภรรยาไม่ได้ซะด้วยสิ ให้จ้าวเฟยแต่งงานกับเจ้าสามดีมั้ย?”

ในดวงตาอวิ๋นจือชิวฉายแววเจ้าเล่ห์ แล้วพูดหยอกว่า “ยังมีอีกทางหนึ่ง ก็ให้เจ้าสามไปเป็นอนุภรรยาของจ้าวเฟยสิ”

เหมียวอี้หันตัวมาทันที ถลึงตาบอกว่า “พูดอะไรของเจ้าเนี่ย? พี่สะใภ้อย่างนี้มีที่ไหนกัน? ข้าจะให้เจ้าสามไปเป็นอนุภรรยาคนอื่นได้ยังไง? ถ้าจะให้ทำแบบนั้นจริงๆ ด้วยความสวยของเจ้าสามน่ะ มีคนต้องการนางอยู่แล้ว จำเป็นต้องไปหาจ้าวเฟยด้วยเหรอ?”

อวิ๋นจือชิวรู้อยู่แล้วว่าเขาจะมีปฏิกิริยาแบบนี้ วางกับดักรอเขาตั้งนานแล้ว นางอมยิ้มบอกว่า “ต้องตบปากตัวเองด้วยมั้ย? ยังมีหน้ามาว่าคนอื่นอีก แล้วจะมีอนุภรรยาตั้งกี่คน แบบนั้นเรียกว่าอะไรล่ะ? ทำไมตัวเองมีอนุภรรยาได้อย่างไม่ตะขิดตะขวงใจ ทีคนอื่นจะรับเจ้าสามของเจ้าไปเป็นอนุภรรยาบ้างก็ไม่ได้แล้วเหรอ?”

“…” เหมียวอี้เถียงไม่ออก สุดท้ายก็หันตัวไปมองนอกหน้าต่าง แล้วโบกมือบอกว่า “เอาเป็นว่าไม่ได้เด็ดขาด ข้าไม่มีทางให้เจ้าสามไปเป็นอนุภรรยาของคนอื่น ให้เจ้าสามต้องโดนคนอื่นชักสีหน้าใส่ไปทั้งชาติ!”

อวิ๋นจือชิวเลิกคิ้ว “สงสัยเจ้าจะกำลังว่าข้าชักสีหน้าใส่อนุภรรยาของเจ้างั้นสิ? อาศัยเรื่องนี้มาพูดเปิดอกเหรอ!ว่ามาเถอะ เจ้าไม่พอใจอะไรข้าก็พูดออกมาให้หมดเลย”

เหมียวอี้หันหลังให้พลางโบกมือ “อย่ามาพาลหาเรื่อง ยุ่งยากใจ เจ้าช่วยข้าคิดถึงประเด็นหลักก่อน เรื่องเจ้าสามจะทำยังไงดี?”

อวิ๋นจือชิวมองออกเช่นกันว่าเขาอารมณ์ไม่มั่นคง จึงไม่พาลหาเรื่องแล้ว นางถอนหายใจแล้วบอกว่า “เจ้าหลับหูหลับตากังวลไปก็ไม่มีประโยชน์ ถ้าเจ้าคิดแบบนี้ต่อไป งั้นทั้งชีวิตเจ้าสามก็ไม่ต้องหาใครอีกแล้ว ตามที่ข้าเห็นนะ เรื่องแบบนี้ปล่อยไปตามธรรมชาติดีกว่า ถ้าเจ้าสามเจอคนที่เหมาะสมเดี๋ยวก็สำเร็จเอง ถ้ามีปัญหาอะไรจริงๆ อย่างมากก็เลิกกัน ข้ารู้ว่าเจ้าฟังแล้วโมโห แต่ข้าพูดความจริงทั้งนั้น ไม่ได้เสริมแต่งอะไร เจ้าคิดมากเรื่องนี้ไปก็ไม่มีประโยชน์เลย”

เหมียวอี้หลับตาแล้วถอนหายใจยาว “ทั้งชีวิตเจ้าสามถูกข้าทำลายไปแล้ว!”

“เฮ้อ!” อวิ๋นจือชิวถอนหายใจ นางเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะโน้มน้าวเขาอย่างไรดี แต่ค่านิยมในสังคมก็เป็นอย่างนี้จริงๆ คนที่มีปัจจัยแวดล้อมดีๆ ที่ไหนจะมาเอารองเท้ามือสองของคนอื่นไปทำฮูหยินเอก? ต่อให้จะมีผู้ชายคนไหนมีความตั้งใจนั้น สามารถมองข้ามไปได้ แต่ค่านิยมของสังคมก็สร้างแรงกดดันไว้มากจริงๆ ให้ความสำคัญเรื่องลูกภรรยาเอกและลูกอนุภรรยามาก เมื่อมีมลทินแบบนี้ก็ไม่อาจจะให้กำเนิดบุตรภรรยาเอกอย่างชอบธรรมได้ หากวันไหนโดนเปิดโปงขึ้นมา เมื่อโดนแรงกดดันก็มีความเป็นไปได้สูงว่าจะต้องหย่าร้างกัน พี่ใหญ่คนนี้ไม่มีโอกาสได้พิจารณาตามอำเภอใจหรอก

แต่เรื่องกลายมาเป็นอย่างนี้แล้ว จะทำอย่างไรได้อีกล่ะ? อวิ๋นจือชิวเดาว่าเหมียวอี้คงจะนึกเสียใจแทบแย่แล้วที่กดดันให้เจียงอีอีตาย และเรื่องนี้นางก็มีส่วนเกี่ยวข้อง ในห้องนั้นเงียบลงชั่วขณะ

หลังจากเงียบไปนาน ทันใดนั้นเหมียวอี้ก็กล่าวช้าๆ ว่า “น้องชิว เจ้าว่าเจ้าสามจะหาผู้ชายที่ดีกับนางได้เท่าข้าอีกรึเปล่า?”

อวิ๋นจือชิวหลุดขำออกมา “คงจะไม่มีใครดีพอหรอก ต่อให้ไม่เกิดเรื่องนี้ ก็อาจจะหาไม่ได้อยู่ดี” มีอีกประโยคที่นางไม่ได้เอ่ยออกมา นั่นก็คือ เจ้าดีกับน้องสาวคนนี้เกินไปแล้ว ดีจนเลอะเลือนแล้ว

ใครจะไปคิดว่าคำพูดนี้เหมือนจะทำให้เหมียวอี้ตัดสินใจอะไรบางอย่างได้ เขาพลันหันตัวมา สูดหายใจลึกหนึ่งที แล้วกล่าวด้วยสายตาเด็ดเดี่ยว “น้องชิว ข้าตัดสินใจแล้ว ข้าจะแต่งงานกับเจ้าสามเอง!”

“หา…” อวิ๋นจือชิวเหม่อทันที อ้าปากค้างนิดหน่อย อึ้งไปพักใหญ่ จากนั้นกลืนน้ำลายแล้วถามว่า “เจ้าไม่ได้ล้อเล่นใช่มั้ย?”

เหมียวอี้ส่ายหน้า “ไม่ได้ล้อเล่น ข้าพูดความจริง ตอนแรกเจ้าสามก็มีความตั้งใจนี้เหมือนกัน เพียงแต่ไม่รู้ว่าหลังจากผ่านเรื่องเจียงอีอีมาแล้ว นางจะยังตอบตกลงอยู่รึเปล่า”

อวิ๋นจือชิวทำสีหน้าไม่ถูกไปพักใหญ่ จากนั้นก็เอานิ้วจิ้มหน้าอกเหมียวอี้ทันที แล้วแสยะยิ้มไม่หยุด “ข้าว่านะหนิวเอ้อร์ เจตนาของเจ้าก็คือจะให้ข้าสละตำแหน่งฮูหยินเอกให้เจ้าสามใช่มั้ย?”

“ไม่! ข้าไม่ได้หมายความอย่างนั้น ข้าจะให้เจ้าสามเป็นอนุภรรยา” เหมียวอี้มีสีหน้าจริงจัง

อวิ๋นจือชิวทำสีหน้าเหมือนไม่เชื่อ “เมื่อครู่นี้ใครพูดล่ะ ว่าจะไม่ให้เจ้าสามเป็นอนุภรรยาเด็ดขาด”

เหมียวอี้ส่ายหน้า “เหตุผลแรกก็คือข้าไม่รังเกียจที่เจ้าสามเป็นรองเท้ามือสองอะไรนั่นหรอก ถ้าให้เจ้าสามแต่งงานกับคนอื่น ข้ากลัวว่าเจ้าสามจะถูกรังแก แต่ถ้าแต่งงานกับข้า ข้าไม่มีปัญหาด้านนั้นแน่นอน ข้าเชื่อใจเจ้า เจ้าคงจะทำอะไรแต่พอดี ไม่ทำให้ข้าลำบากใจเกินไปแน่นอน หลังจากผ่านเรื่องเจียงอีอีมาแล้ว ข้าก็กังวลจริงๆ ว่านางจะไปเสียเปรียบอยู่ในมือผู้ชายคนอื่น ให้ข้าเก็บไว้ดูในมือตัวเองดีกว่า”

“พูดพร่ำอยู่ตั้งนานสองนาน ที่แท้เจ้าก็หน้ามืดตามัวเพราะตัณหานี่เอง!” อวิ๋นจือชิวบิดเนื้อตรงเอวของเขา พลางเค้นเขี้ยวเค้นฟันด่า “ทำไมเจ้าไม่ไปตายซะล่ะ?”

เหมียวอี้เจ็บจนแยกเขี้ยวยิงฟัน “น้องชิว เจ้าก็รู้นี่ ข้าไม่ได้หมายความอย่างนั้นแน่นอน”

“ไอ้สารเลวนี่! ทำให้เจียงอีอีตาย แต่กลับทำให้เจ้าสมปรารถนาแล้ว เจ้ามองเห็นเจ้าสามเป็นอะไร วันนี้ข้าจะสู้ตายกับเจ้า!” อวิ๋นจือชิวที่สีหน้าเปลี่ยนไป ชั่วพริบตาเดียวกก็ระเบิดอารมณ์แล้ว นางดึงมวยผมเหมียวอี้จนอีกฝ่ายล้มลงพื้น นอกจากจะใช้ทั้งหมัดใช้ทั้งเท้าเตะไปยกหนึ่งแล้ว นางก็ขึ้นคร่อมแล้วควงหมัดชกไม่ยั้ง

เหมียวอี้เอามือกุมหัวอยู่บนพื้น ฝืนทนรับอยู่อย่างนั้น โดนด่าก็ไม่โต้ตอบ โดนตีก็ไม่โต้ตอบ ปล่อยให้อวิ๋นจือชิวระบายอารมณ์อยู่อย่างนั้น

เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ที่ได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวผลักประตูเข้ามา พอได้เห็นภาพเหตุการณ์นี้แล้ว พวกนางก็แอบเดาะลิ้น ฮูหยินปรี๊ดแตกอีกแล้ว ตบตีจนนายท่านเถียงไม่ออกอีกแล้ว

ทั้งสองรีบปิดประตูแล้วถอยออกไปอีก ทำเหมือนไม่เห็นอะไรทั้งนั้น อย่างไรเสียก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่ได้เห็นฉากนี้ ตอนที่ฮูหยินทำตัวพาลในบ้าน มีใครกล้าไปล่วงเกินบ้างล่ะ?

“เฮ่อ…เฮ่อ…” เสียงหอบหายใจดังขึ้น ไม่รู้ว่าตีไปนานเท่าไรแล้ว สรุปก็คืออวิ๋นจือชิวตีเขาจนเหนื่อยหอบ นางลุกขึ้นมาในขณะที่หอบหายใจ จากนั้นก็ยกกระโปรงเตะอีกสองสามทีถึงจะหยุด แล้วเดินไปหยิบน้ำชาที่เย็นแล้วมากรอกดื่มแก้คอแห้ง เสร็จแล้วถึงได้นั่งลงบนเก้าอี้แล้วถอนหายใจฮือกใหญ่

เมื่อเห็นว่านางหยุดเคลื่อนไหวแล้ว เหมียวอี้ที่โดนซ้อมจนเสื้อผ้าขาดและใบหน้าฟกช้ำดำเขียวถึงได้ลุกขึ้นมาช้าๆ พอได้ขยับตัวเล็กน้อย เขาก็สูดหายใจซี้ดพลางแยกเขี้ยวยิงฟัน เจ็บโว้ย!

…………………………

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

เหมียวอี้ เด็กหนุ่มธรรมดาแต่มีโชคชะตาที่ไม่ธรรมดา!

เขาคือเด็กกำพร้าที่ถูกเพื่อนบ้านตราหน้าว่าเป็น ‘ตัวหายนะ’

เพราะพ่อแม่บุญธรรมที่รับเลี้ยงเขาล้วนมีจุดจบอยู่ในกองเพลิงทั้งสิ้น

เขาจึงต้องเติบโตมากับน้องๆ ต่างสายเลือดอีกสองคนตามลำพัง

ไร้เงิน ไร้อำนาจ ไร้ความสามารถ ซ้ำยังเป็นตัวซวย โลกนี้มันช่างอยู่ยากเสียจริง!

หนทางที่จะลบคำครหาของชาวบ้านและก้าวพ้นชีวิตที่ยากไร้ไปได้ก็คือการสำเร็จเป็นเซียน

แม้ความปรารถนาจะอยู่สูงเกินเอื้อม แต่เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่น

ถึงจะลำบากและอันตรายเพียงใด

ก็ขอทะยานไปให้สุดขอบฟ้า!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท