บทที่ 103
พลาดการนัดหมาย
หลินซีเหยียนก็ได้มองส่งองค์ชายสี่และกว๋อกงจิ่งหยาง จากนั้นนางก็ได้มองไปที่มหาเสนาบดีหลินแล้วกล่าว “ข้าคิดว่าช่วงนี้ท่านมหาเสนาบดีหลินควรจะดูแลหลินหัวเยว่ให้ดีๆ อย่างไรเสียนางก็ได้พระราชทานให้แก่กว๋อกงจิ่งหยางด้วยตัวของฮ่องเต้เอง ถ้าหากนางตายขึ้นมาก็อาจจะมีปัญหาได้”
มหาเสนาบดีหลินที่ได้ยินคำประชดประชันนี้ก็ถึงกับพูดอะไรไม่ออกและมีสีหน้ามืดดำขึ้นมา ในวันนี้ตอนที่ กว๋อกงจิ่งหยางกับองค์ชายสี่มาเพื่อจัดการกับนางนั้น เขาก็รู้อยู่แล้วว่าจบไม่ดีแน่ๆ แต่เขาก็ไม่คิดว่าหลินซีเหยียนนั้นจะจัดการได้เพียงแค่คำพูดไม่กี่คำเท่านั้น
มหาเสนาบดีหลินจึงไม่ได้พูดอะไร และหลินซีเหยียนเองก็ไม่ได้รอเขาพูดด้วยเช่นกันพร้อมกับเดินจากไปอย่างมาดมั่น
ณ เรือนเชียนเหยียน เจียงหวายเย่กำลังนั่งอยู่ในเรือนและหลับตาพักผ่อนอยู่ แล้วอันอี้ก็ได้มายืนอยู่ข้างๆเขา แล้วเล่าสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อสักครู่ให้ฟัง
เจียงหวายเย่ก็ได้ยักคิ้วขึ้นมาแล้วกล่าว “เสี่ยวเหยียนเอ๋อจะต้องมีวิธีจัดการกับองค์ชายสี่ในใจของนางเป็นแน่ ข้าจะรอชมการแสดงครั้งนี้!”
ในเวลานี้เทียนเอ๋อก็ได้วิ่งกลับมาพร้อมกับเมล็ดดอกบัวในมือของเขา “ท่านอาจารย์ดูนี่สิขอรับ นี่คือเมล็ดดอกบัวที่ข้าเก็บมาล่ะ”
“เทียนเอ๋อชอบกินเมล็ดดอกบัวเหรอ?” เจียงหวายเย่ก็ได้มองดูเทียนเอ๋อด้วยรอยยิ้ม จากนั้นเขาก็นึกขึ้นได้ว่าเทียนเอ๋อนั้นแพ้เมล็ดบัว ซึ่งบังเอิญว่าตัวเขาเองก็แพ้เมล็ดดอกบัวด้วยเช่นกัน แสดงว่าอาจจะมีอะไรบางอย่างเชื่อมโยงกัน?
เทียนเอ๋อที่ถือเมล็ดดอกบัวไว้ในมือนั้นก็ไม่ได้เห็นสายตาที่ครุ่นคิดในดวงตาของเจียงหวายเย่ ก็ได้ยกมือขึ้นมา “ท่านอาจารย์ข้ากินไม่ได้หรอกขอรับ เมล็ดนี่น่ะข้าเอามาให้ท่านอาจารย์ต่างหาก”
เจียงหวายเย่ก็ได้มองไปที่เทียนเอ๋อที่เป็นเด็กดีแล้ว ก็ได้รู้สึกคุ้นเคยอย่างน่าประหลาดในใจของเขา และอยากที่จะพาเขากลับไป แต่เจียงหวายเย่ก็ได้ลูบหัวของเทียนเอ๋อแล้วกล่าว “อาจารย์เองก็แพ้เมล็ดดอกบัวจึงกินไม่ได้เหมือนกัน”
เทียนเอ๋อก็ได้ผงกหัวอย่างเข้าใจ แล้วจากนั้นเขาก็พบกับท่านแม่ที่อยู่ในชุดผู้ชายแล้วเตรียมที่จะออกไป ท่านแม่ของเขานั้นปกติจะขี้เกียจ ถ้าคิดที่จะออกไปเช่นนี้จะต้องออกไปทำเรื่องสนุกๆเป็นแน่ ดังนั้นเทียนเอ๋อจึงได้รีบวิ่งเข้าไปหาแล้วกล่าว “ท่านแม่กำลังคิดจะไปไหนน่ะ พาเทียนเอ๋อไปด้วยสิ!”
หลินซีเหยียนก็รู้สึกเหมือนกับกำลังแอบทำอะไรบางอย่างแล้วถูกจับได้ นางก็ได้กลืนน้ำลายลงไปอึกหนึ่งแล้วจากนั้นก็พูด “แม่ของเจ้ากำลังจะออกไปกำจัดความชั่วร้ายรักษาความสงบสุขน่ะ แต่เรื่องนี้มันอันตรายมากมันไม่เหมาะที่จะพาเด็กอย่างเจ้าไปด้วย”
เทียนเอ๋อก็ยังไม่ยอมแพ้ “ท่านแม่ เทียนเอ๋อไม่ไปเป็นตัวถ่วงท่านหรอก”
หลินซีเหยียนก็ได้บิดริมฝีปาก เทียนเอ๋อนั้นเป็นลูกชายของนางจึงเป็นเรื่องปกติที่จะพาไปที่จวนท่านแม่ทัพเจิ้นกว๋อ แต่น่าเสียดายที่ตอนนี้นางเป็นหลินอวิ๋นเซวียนอยู่ ไม่ใช่ หลินซีเหยียน
“เป็นเด็กดีนะ แม่ของเจ้ามีธุระ เจ้าอยู่กับท่านอาจารย์ของเจ้าที่นี่แหละ!” หลังจากที่หลินซีเหยียนกล่าวจบ ก็ได้มองไปที่องค์ชายที่เดินเข้ามาหา ทำให้เปลือกตาของนางเบิกโพลงขึ้นมา
“แม่นางหลินจะไปที่ไหนอย่างนั้นรึ? ข้าจะไปกับเจ้าด้วย” เจียงหวายเย่กล่าวด้วยน้ำเสียงที่เย็นชามาก จนบ่งบอกได้เลยว่าเขานั้นไม่ได้อาสาที่จะไป แต่ทว่าเขานั้นกำลังประกาศอย่างชัดเจนว่าเขาจะไปด้วยและไม่สนใจที่จะถามความเห็นของ หลินซีเหยียน ซึ่งทำให้หลินซีเหยียนนั้นรู้สึกไม่พอใจขึ้นมา
แต่ในท้ายที่สุดนางก็ได้ทิ้งเทียนเอ๋อไว้ที่เรือน แต่กลับกันข้างๆนางนั้นมีเจียงหวายเย่อีกร่างหนึ่ง นั่นคือเชียนอู๋เหินประมุขหอพันกลมาด้วยแทน
แล้วทั้งสองคนก็ได้เดินเคียงบ่าเคียงไหล่ไปตามถนน และเพราะทั้งสองคนนี้คนหนึ่งหน้าตาดูดีมากในขณะที่อีกคนดูน่ากลัวมาก ทั้งคู่จึงได้กลายเป็นที่สนใจอย่างมาก แล้วจากนั้นสักพักก็ได้มีคนเริ่มชี้มาที่ทั้งคู่
มีแม้กระทั่งหญิงสาวที่กล้าหาญคนหนึ่งที่หยิบเอาถุงหอมที่เอวของนางออกมาแล้วโยนให้กับหลินซีเหยียน
หลินซีเหยียนที่เห็นเช่นนั้นก็ได้ยื่นมือของนางออกมารับ แต่แล้วก็มีคนคนหนึ่งที่เร็วกว่านางแล้วคว้าเอาไป หลินซีเหยียนก็ได้มองไปที่มือที่อยู่ตรงหน้านาง แล้วจากนั้นก็พบดวงตาที่ดำไร้สุดหยั่งถึงของเจียงหวายเย่
ถึงแม่ว่าจะไม่มีการสั่นไหวใดๆของลูกตาสีดำนั้น แต่หลินซีเหยียนก็พอจะเดาได้ว่าเจียงหวายเย่นั้นไม่พอใจ
หลินซีเหยียนจึงได้ลูบจมูกของนางแล้วกระซิบเจียงหวายเย่ “ถึงแม้ว่าข้าจะแย่งแสงไฟมาจากท่านจะทำให้ท่านอิจฉาข้าก็ตาม แต่ท่านก็ไม่น่าโกรธข้านะ!”
มุมปากของเจียงหวายเย่ก็ได้กระตุกเล็กน้อย เขาก็ได้หรี่สายตาแล้วจ้องไปที่หลินซีเหยียนด้วยสีหน้าที่บอกไม่ถูก เขาอิจฉางั้นเหรอ? เขาก็แค่ไม่ชอบที่หลินซีเหยียนไปรับถุงหอมของคนอื่นก็เท่านั้น แม้ว่าเจ้าของถุงหอมนั้นจะเป็นหญิงสาวก็ตามที
หลังจากที่หลินซีเหยียนกล่าวจบ นางก็ได้มองไปที่ เจียงหวายเย่ที่ไม่สนใจนาง ทำให้นางสงสัยว่าเขาอาจจะโกรธที่สาวๆไม่มอบถุงหอมให้กับเขาก็ได้ หลินซีเหยียนจึงได้แวะร้านเล็กๆร้านหนึ่งที่ขายถุงหอม
นางจ่ายไป 1 ตำลึงเงินเพื่อซื้อมาอันหนึ่ง แต่เจ้าของร้านก็ซื่อตรงมากไม่อยากที่จะเอาเปรียบลูกค้า เขาจึงได้มอบให้ หลินซีเหยียนอีกถุงหนึ่ง ซึ่งถุงนั้นก็เป็นคู่กันกับถุงที่หลินซีเหยียนเลือกมาด้วย
หลินซีเหยียนที่มองถุงหอมสองถุงในมือของนาง ก็ได้ลังเลขึ้นมาไม่รู้ว่าจะให้เจียงหวายเย่ดีหรือไม่ ในขณะที่นางกำลังลังเลอยู่นั้นเอง มือใหญ่ๆก็ได้คว้าเอาถุงหอมถุงหนึ่งไป
“เอาคืนมาเดี๋ยวนี้นะ” หลินซีเหยียนที่ถูกฉกไปโดยไม่รู้ตัวนั้น ก็ได้รีบหันกลับมาแล้วทุบหน้าอกของเจียงหวายเย่
ท่าทีของพวกเขาทั้งคู่นั้นได้ดึงดูดผู้คนรอบๆให้หันมาดู แล้วสายตาของผู้คนต่างก็มองมาด้วยสายตาแปลกๆ
หลินซีเหยียนที่เห็นดังนั้นก็ได้รีบถอยออกมาและยืนนิ่งๆ จากนั้นก็ได้คิ้วขมวดแล้วมองไปที่เจียงหวายเย่
เจียงหวายเย่ก็ได้แกว่งถุงหอมไปมาตรงหน้าของ หลินซีเหยียน “นี่เจ้าซื้อให้ข้าอย่างนั้นเหรอ?”
หลินซีเหยียนก็ได้ทำเสียง“ฮึ”แล้วก็ไม่พูดอะไร ซึ่ง เจียงหวายเย่ก็ไม่ได้โกรธอะไร และมองไปที่ถุงหอมในมือของเขาอย่างอารมณ์ดี
หลินซีเหยียนคิดว่าเจียงหวายเย่นั้นน่ารังเกียจขึ้นมาเมื่อเห็นเช่นนี้แล้วกล่าว “การกระทำเช่นนี้ไม่ใช่องค์ชายเย่แน่นอน ถ้าเป็นองค์ชายจะต้องคืนมาให้ข้าทันทีแล้ว!”
“ข้าชอบถุงหอมนี้มาก เจ้าช่วยเอามันใส่ในเอวของข้าให้หน่อย” เจียงหวายเย่ก็ได้วางถุงหอมลงในมือของหลินซีเหยียนตามที่พูด
หลินซีเหยียนก็ได้จ้องไปที่เจียงหวายเย่โดยไม่พูดอะไร แล้วจากนั้นก็เอาถุงหอมใส่ที่เอวให้ตามคำสั่ง
หลังจากที่นางคิดว่าไม่น่าจะมีปัญหาอะไรแล้ว อีกครั้งหนึ่งที่เจียงหวายเย่ได้ฉกเอาถุงหอมไปจากมือของนาง
หลินซีเหยียนก็ได้มองไปที่เจียงหวายเย่อย่างไม่อยากเชื่อ “ไม่นึกเลยว่าองค์ชายเย่จะชอบอะไรแบบนี้ด้วย?”
เจียงหวายเย่ก็ไม่ได้พูดอะไร แต่ภายใต้การจ้องมองของหลินซีเหยียน ด้วยมือใหญ่ๆของเขาก็ได้เอาถุงหอมอีกอันใส่เข้าไปในเอวของหลินซีเหยียน
“ข้าไม่ชอบพกถุงหอม” หลินซีเหยียนกล่าวและคิดที่จะหยิบออก แต่ก่อนที่นิ้วนางจะได้จับกับถุงหอม เสียงของเจียงหวายเย่ก็ได้ดังขึ้นมาข้างหูของนาง “ถ้าเจ้าเอาออกมา ข้าจะพาเจ้ากลับไปที่จวนมหาเสนาบดีทันที
“ท่าน….” หลินซีเหยียนโมโหขึ้นมา แต่นางก็รู้ว่า เจียงหวายเย่นั้นจะทำตามที่เขาพูดอย่างแน่นอน นางก็ได้เอามือออก ก็แค่พกถุงหอมใช่ไหม?
แล้วทั้งสองคนก็ได้เดินต่อไปโดยที่ไม่ได้คุยกันอีกตลอดทาง แล้วจนกระทั่งมาถึงที่หน้าจวนท่านแม่ทัพ พวกเขาก็ได้พบกับคนคนหนึ่งเข้า ซึ่งคนคนนี้ก็คือซูอวิ๋นโยว บุตรีของท่านราชครูซู
เมื่อซูอวิ๋นโยวพบหลินซีเหยียน นางก็ได้ทักทายเขาอย่างอ่อนโยนแล้วกล่าว “คุณชายหลินอวิ๋นเซวียนมาพบกับคุณชายเยี่ยเหมือนกันเหรอ?”
หลินซีเหยียนก็ได้ผงกหัวแล้วจากนั้นก็ได้เดินนำหน้าเข้ามาข้างในโดยมีเจียงหวายเย่กับซูอวิ๋นโยวเดินตามหลังมาอย่างใกล้ชิด
เมื่อทั้งสามคนเข้ามาในจวนท่านแม่ทัพเจิ้นกว๋อ ทั้งสองคนก็ได้ตกใจกับฐานะของหลินซีเหยียนในฐานะของหลานชายทูนหัว ดังนั้นพวกเขาจึงได้เข้ามาในจวนได้ทันทีโดยไม่ต้องแจ้งให้ใครทราบ
“คุณชายหลิน ท่านหายไปไหนมาเมื่อหลายวันก่อนเหรอเจ้าคะ?” ซูอวิ๋นโยวก็ได้ถามระหว่างทางเดิน
หลินซีเหยียนก็ได้ยักคิ้วขึ้นมา “เมื่อไม่กี่วันก่อนข้าได้รับบาดเจ็บจนต้องพักรักษาตัวน่ะ”
ซูอวิ๋นโจวก็ได้มีสีหน้าตกใจขึ้นมา
“ทำไมแม่นางซูถึงได้ถามรึ?”