บทที่ 111
องค์ชายเย่ลงมือด้วยตัวเอง
เจียงหวายเย่ยังคงนั่งอยู่ที่เดิมแล้วกล่าวอย่างใจเย็น “ถ้าองค์ชายบอกว่าเป็นเรื่องบังเอิญ ฮ่องเต้จะเชื่อไหม?”
ฮ่องเต้เจียงที่กำลังนั่งอยู่บนบัลลังก์ ก็ได้จ้องมาที่ เจียงหวายเย่ด้วยดวงตามืดดำ ไม่ว่าเจียงหวายเย่จะพูดอย่างไร เขาก็ไม่เชื่ออยู่แล้ว เพราะในสายตาของเขาเจียงหวายเย่นั้นมีความทะเยอทะยานเหมือนหมาป่า แล้วเขาก็ได้กล่าวกับ เจียงหวายเย่ด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง “เจ้าอย่ามาทำเป็นพูดล้อเล่นนะองค์ชายเย่”
เจียงหวายเย่ก็ได้ยิ้มอย่างเยาะเย้ยที่มุมปากของเขาแล้วกล่าว “มีขโมยคนหนึ่งปรากฏตัวในพระราชวังเมื่อคืนนี้ ข้าจึงได้แอบสะกดรอยตามเขาไปจนถึงตำหนักซู่เฟิง แล้วข้าก็พบองค์ชายสี่ที่พาคนบุกเข้าไปในตำหนักซู่เฟิง แล้วยังบีบบังคับให้องค์ชาย ซู่เฟิงฆ่าตัวตายอีกด้วย”
ทำให้องค์ชายซู่เฟิงของรัฐจงอยากที่จะฆ่าตัวตาย เรื่องนี้เหมือนกับมีก้อนหินหล่นในลงทะเลสาบที่สงบนิ่ง และเกิดเป็นคลื่นกระจายไปทั่ว
ในชั่วขณะนั้น ทั่วทั้งท้องพระโรงก็ได้เกิดการถกเถียงขึ้นมาทันที แม้ว่าฐานะขององค์ชายซู่เฟิงนั้นจะต้อยต่ำ แต่ก็ไม่สามารถปล่อยให้ตัวประกันของรัฐจงเป็นอะไรไปได้
“องค์ชายซู่เฟิงคิดอยากที่จะฆ่าตัวตาย แล้วตอนนี้องค์ชายเป็นอย่างไรบ้าง?” ราชครูก็ได้ถามขึ้นมาก่อน
แล้วมหาเสนาบดีหลินก็ได้กล่าวตาม “องค์ชายซู่เฟิงเป็นตัวประกันที่ถูกส่งมาโดยรัฐจง เราจะปล่อยให้เขาตายไม่ได้”
เจียงหวายเย่ก็นั่งอยู่ในรถเข็นอย่างไม่ใส่ใจ และมีสีหน้าที่ดูขี้เกียจมาก แต่ยังคงมีรังสีที่ดุดันแผ่ออกมาจากตัวของเขา “ที่ท่านมหาเสนาบดีกล่าวนั้นเปิ่นหวางเองก็เข้าใจดี อย่างไรเสียความสงบสุขระหว่างรัฐจงและรัฐเจียงนั้นต้องใช้ชีวิตของทหารหลายพันคนเพื่อแลกเปลี่ยนมา”
ในสถานการณ์นี้ ต่อให้ฮ่องเต้เจียงนั้นอยากที่จะถามเรื่องเมื่อสักครู่ต่อเพียงใด เขาก็ทำได้แค่เก็บเอาไว้ในใจอย่างเดียวเท่านั้น เพราะเหล่าขุนนางและแม่ทัพทั้งหลายในท้องพระโรงต่างก็กังวลถึงความปลอดภัยของตัวประกันซู่เฟิง
อย่างไรก็ตามฮ่องเต้เจียงที่นั่งนิ่งอยู่ที่บัลลังก์อยู่พักใหญ่นั้น แต่มันก็ยังเป็นไปไม่ได้ที่จะบอกว่าเขาไม่เหลือคนที่พึ่งพาได้ อย่างมหาเสนาบดีหลินที่มีชื่อเสียงก็เป็นหนึ่งในนั้น
เมื่อมหาเสนาบดีหลินรับรู้ได้ถึงสายตาของฮ่องเต้ เขาก็ได้ลุกขึ้นยืนแล้วกล่าว “ข้ามหาเสนาบดีคิดว่าในตอนนี้องค์ชาย ซู่เฟิงนั้นยังไม่เป็นอะไรมาก และข้ายังอยากที่จะรู้มากกว่าว่า องค์ชายเย่นั้นไปทำอะไรที่ตำหนักซู่เฟิงในกลางดึกด้วย”
หลังจากที่มหาเสนาบดีหลินกล่าวจบ เขาก็รู้สึกได้ถึงสายตาที่หนาวเย็นจ้องมาจากข้างหลังเขา ซึ่งทำให้เขารู้สึกยากที่จะต้านทานความหนาวเย็นนี้ได้ แต่เพื่อฮ่องเต้แล้วเขาจะเป็นต้องกัดฟันฝืนทน
เมื่อมหาเสนาบดีหลินกล่าวเรื่องนี้ออกมา ก็เหมือนเป็นการนำให้ทุกคนกลับมารวมกัน และทุกสายตาต่างก็กลับมาจับจ้องที่เจียงหวายเย่อีกครั้ง
เจียงหวายเย่นั้นดูเหมือนจะเหนื่อยขึ้นมานิดหน่อย เขาที่ลืมตาอย่างยากลำบากก็ได้มองไปยังเหล่าขุนนางรอบๆแล้วกล่าว “เปิ่นหวางก็แค่จะออกไปจับโจรบ้างไม่ได้หรืออย่างไร?”
“องค์ชายเย่จะทำอะไรนั้นก็เป็นอิสระของท่าน” ฮ่องเต้เจียงก็ได้กล่าวด้วยสีหน้าที่มืดหม่น “แต่ต่อจากนี้ไปองค์ชายเย่นั้นไม่ควรที่จะไปที่นั่นอีก”
“ฝ่าบาทเป็นห่วงเปิ่นหวางด้วยอย่างนั้นเหรอ?” เจียงหวายเย่ก็ได้มองไปที่ฮ่องเต้และรอยยิ้มที่มุมปากของเขาก็ได้หายไปเล็กน้อย
“ข้าพูดเช่นนี้ก็เพื่อตัวองค์ชายเย่เอง อย่างไรเสียเจ้านั้นก็ต่างกับองค์ชายซู่เฟิงมากนัก และการที่พวกท่านพบปะกันนั้นจะทำให้คนเอาไปแอบนินทากันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้” ฮ่องเต้เจียงก็ได้กล่าวกับเจียงหวางเย่อย่างตรงๆ
เจียงหวายเย่ก็ได้กล่าวอย่างไม่ไยดี “ฮ่องเต้เจียงนั้นกังวลมากเกินไปแล้ว เปิ่นหวางนั้นทำในสิ่งที่ถูกต้องไยต้องกลัวสิ่งใด และไม่กลัวคนพูดอะไรไร้สาระลับหลังข้าด้วย”
หลังจากที่พูดจบเจียงหวายเย่ก็ได้ออกไป แต่ก่อนที่เขาจะได้ออกจากพระราชวังไป เขาก็ถูกหยุดโดยแม่นมของไทเฮาเสียก่อน
“องค์ชายเย่ ไทเฮาได้ขอให้ท่านเข้าพบเจ้าค่ะ” แม่นมที่อยู่ตรงหน้าของเจียงหวายเย่ก็ได้กล่าวด้วยความเคารพ
ไทเฮานั้นคือแม่ของฮ่องเต้เจียง นางนั้นมองเจียงหวายเย่เป็นเหมือนตัวปัญหามาโดยตลอด ในเวลานี้เขาไม่รู้เลยว่านางนั้นจะวางแผนอะไรอีก อย่างไรก็ตามหากไม่เข้าถ้ำเสือก็ไม่ได้ลูกเสือ เจียงหวายเย่จึงได้ตามแม่นมคนนั้นไปยังตำหนักเฉียนชิงอย่างเงียบๆ
ตำหนักเฉียนชิงนั้นเป็นสถานที่ที่ไทเฮาพำนักอยู่ ซึ่งการตกแต่งภายในนั้นดูจริงจังมาก แต่ก็ให้บรรยากาศที่แตะต้องไม่ได้
“องค์ชายเย่กับข้าไม่ได้พบกันสามปีแล้วสินะ!” ไทเฮากล่าวอย่างช้าๆ ขณะที่นั่งอยู่ที่เก้าอี้และเสียงของนางนั้นดูเปลี่ยนไปเล็กน้อย
เจียงหวายเย่ที่นั่งอยู่ในรถเข็นก็ได้ก้มหัวให้ไทเฮาแล้วจากนั้นก็ถามขึ้นมา “ไม่ทราบว่าไทเฮาเรียกหาข้าด้วยเหตุอันใด?”
“ตัวข้านั้นไม่ได้พบกับองค์ชายเย่ตั้งนานแล้ว ข้าจึงอยากที่จะคุยกับองค์ชาย” ไทเฮากล่าวอย่างอ่อนโยน
เจียงหวายเย่ก็ได้ยักคิ้วขึ้นมาแล้วมองไปที่ไทเฮาที่อยู่ตรงหน้าเขาด้วยดวงตาที่ยุ่งยากใจ เขานั้นไม่ถูกหลอกโดยท่าทีที่อ่อนโยนของนาง เพราะเขารู้ดีถึงหัวใจที่สีดำและเน่าเฟะของนางภายใต้น้ำเสียงนั้น
เขานั้นไม่เคยลืมในสิ่งที่ผู้หญิงคนนี้หลอกแม่ของเขาด้วยใบหน้านั้นของนาง ทำให้ท่านแม่เข้าใจในตัวท่านพ่อผิด แล้วสุดท้ายก็ใช้แก้วแตกนั้นจบชีวิตของนาง
แต่ก่อนที่นางจะเสีย แม่ของนางก็ไม่ลืมที่จะสอนเขาว่าอย่าให้เกลียดชังและอย่าได้ล้างแค้น แต่จงให้หาหนทางในการหลีกเลี่ยงเรื่องทั้งหมดนี้……
เหตุการณ์ในอดีตค่อยๆผุดขึ้นมาต่อหน้าใบหน้าที่น่ารังเกียจนั้นที่อยู่ตรงหน้าเขา เจียงหวายเย่ก็อดไม่ได้ที่จะกำหมัดแน่นถึงแม้ว่าในใจของเขาจะโกรธ แต่เขาก็ไม่ได้แสดงอาการอะไรบนสีหน้าของเขา
“องค์ชายไม่มีอะไรจะพูด ถ้าไทเฮาไม่มีธุระอะไรแล้ว ข้าขอตัวก่อน” ถึงแม้เจียงหวายเย่นั้นจะยิ้ม แต่ดวงตาของเขากลับเต็มไปด้วยความเย็นชา
มีแววตาคาดการณ์ปรากฏในดวงตาที่นิ่งเฉยของไทเฮา “องค์ชายเย่ได้โปรดอยู่ก่อน ข้าเรียกให้ท่านมาพบก็เพื่อจะปรึกษาเรื่องเขตการปกครองของท่าน”
เจียงหวายเย่นั้นได้เป็นองค์ชายรัตติกาลของอาณาจักรเจียง ตามความประสงค์ของฮ่องเต้องค์ก่อน เขาได้ให้สิทธิ์ เจียงหวายเย่นั้นพักอาศัยอยู่ในเมืองหลวง ในเวลานี้ฮ่องเต้คิดที่จะไล่เขาแยกออกไปปกครองงั้นเหรอ?
ไทเฮาที่เห็นเจียงหวายเย่ที่มีสีหน้าสงบนิ่งและไม่พูดอะไรอยู่นั้นก็ได้พูดต่อ “ข้านั้นได้ปรึกษากับฮ่องเต้แล้ว ว่าขากับเท้าขององค์ชายนั้นไม่ดีแล้ว เจ้าจึงควรที่จะหาสถานที่ที่สงบเพื่อพักผ่อน ดังนั้นจึงได้เตรียมที่จะมอบเมืองหวยหนานและหวยเป่ยให้กับเจ้า หวยหนานนั้นเป็นสถานที่ที่ดี ที่นั่นทุกสี่ฤดูกาลล้วนเป็นเหมือนฤดูใบไม้ผลิ ที่นั่นจะทำให้องค์ชายเย่หายจากอาการป่วยได้อย่างสงบ
“ข้าขอบพระทัยฮ่องเต้และไทเฮาสำหรับความใจดีของพวกท่าน แต่น่าเสียดายที่องค์ชายนั้นเคยชินกับการที่จะอยู่เมืองหลวงแล้ว” เจียงหวายเย่ได้มอบรอยยิ้มอันอบอุ่นให้ไทเฮา รักษาตัวที่หวยหนานงั้นเหรอ? ฟังดูดีนะแต่ฮ่องเต้ต้องการกำลังทหารขององค์ชายมากกว่า!
หลังจากนี้ไม่ว่าไทเฮาจะต่อรองเช่นไร เจียงหวายเย่ก็ได้ปฏิเสธไป
จากนั้นเจียงหวายเย่ก็ไม่อยากที่จะเสียเวลาอยู่ที่นี่ต่อ เขาจึงได้ออกมาและให้อันเอ้อเข็นพาเขาไป
ไทเฮาก็ได้มองไปที่เจียงหวายเย่ที่จากไป ดวงตาของนางก็ได้ปรากฏซึ่งความน่ากลัวออกมา แล้วจากนั้นนางก็ได้พูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาไปยังอีกด้านของฉาก “ออกมาได้ เขาไปแล้ว!”
แล้วก็มีชายในชุดสีเหลืองออกมาจากด้านหลังของฉากกั้นนั้น
“ท่านแม่ ข้าบอกแล้วว่าเจียงหวายเย่นั้นไม่ยอมไปหรอก” ฮ่องเต้เจียงกล่าวด้วยสีหน้าที่บึ้งตึง
ในเวลานี้สีหน้าของไทเฮานั้นก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันมากนัก ในเวลานั้นนางได้กำจัดฮองเฮาที่เป็นที่รักของฮ่องเต้องค์ก่อนไป แต่นางกลับปล่อยเจียงหวายเย่เอาไว้เพราะความสงสาร แต่ในเวลานี้นางรู้สึกคิดผิดขึ้นมาแล้ว
แล้วไทเฮาก็ได้หันไปมองที่ฮ่องเต้ที่อยู่ตรงหน้านางแล้วกล่าวอย่างช้าๆ “ในเมื่อเจ้าควบคุมเขาไม่ได้ ก็คงมีแต่ต้องกำจัด”
“แต่ด้วยสถานะในปัจจุบันของรัฐเจียงแล้ว ที่รัฐต้าเยี่ยนกับรัฐจงนั้นยังคงสถานภาพร่วมมือกันอยู่ได้ก็เพราะเจียงหวายเย่นะขอรับ” หากปราศจากซึ่งเจียงหวายเย่แล้ว เขาก็ไม่อยากนึกภาพเหตุการณ์ที่จะตามมาเลย