บทที่ 165
เป็นฝีมือเจ้าจริงๆเหรอ?
หลังจากที่ทานมื้อค่ำเสร็จ คนที่ไม่เกี่ยวข้องก็ได้เริ่มพากันออกไปทีละคน ไม่นานนักก็เหลือเพียงแค่หลินซีเหยียนกับเจียงหวายเย่อยู่ในห้อง ดูเหมือนในเวลานี้
หลินซีเหยียนก็ได้เล่าให้เขาฟังเรื่องของรัฐจง “แม้แต่ องค์ชายสิบหกของรัฐจงยังมาหลบซ่อนตัวอยู่ในรัฐเจียง ซึ่งจะเห็นได้ว่าในเวลานี้การขัดแย้งภายในของรัฐจงนั้นรุนแรงมาก”
“ดูเสี่ยวเหยียนเอ๋อออกจะเป็นห่วงสถานการณ์ในรัฐจงจังนะ หรือว่าจะเป็นเพราะองค์ชายจง?”
เมื่อคิดถึงความเป็นไปได้นี้ ในใจของเจียงหวายเย่ก็ได้รู้สึกร้อนรุ่มขึ้นมา
เมื่อได้ยินที่พูดหลินซีเหยียนก็ไม่ได้ปฏิเสธ แต่ก็ยักคิ้วขึ้นมาแล้วกล่าวอย่างครุ่นคิด “ทำไม? ไม่ได้เหรอ?”
คำพูดที่เหมือนล้อเล่นโดยไม่ได้ตั้งใจนี้ แต่เจียงหวายเย่กลับคิดเป็นจริงเป็นจัง เขาได้จับกุมหลินซีเหยียนไว้ในอ้อมแขนของเขา แล้วกล่าวออกมาด้วยความรู้สึกหึงหวง
“ไม่มีที่ว่างสำหรับเปิ่นหวางในหัวใจของเสี่ยวเหยียนเอ๋อเลยอย่างนั้นเหรอ?”
ด้วยคำพูดที่ไร้ซึ่งการปิดบังนี้เป็นเหมือนดั่งพิษร้าย ทำให้หัวใจของหลินซีเหยียนนั้นเต้นเร็วขึ้นมา แต่นางก็จำได้อย่างชัดเจนในดวงใจของนาง คำพูดของผู้ชายก็เหมือนน้ำกลิ้งบนใบบอนที่กลิ้งไปกลิ้งมาเชื่อถือไม่ได้
แล้วยิ่งองค์ชายผู้สูงศักดิ์อย่างเจียงหวายเย่นั้นจะสามารถรักและแต่งงานกับหญิงสาวเพียงคนเดียวได้ตลอดชีวิตของนางจริงๆเหรอ? นางจึงได้คิดคำสารภาพรักของเจียงหวายเย่นี้เป็นเพียงแค่คำพูดเล่นและเมินเฉยมัน
“อย่าเปลี่ยนเรื่องแล้วคุยเรื่องนี้ให้จบๆดีกว่าไหม? ที่ข้าพูดถึงเรื่องนี้ เพราะข้าเป็นห่วงสถานการณ์การเมืองในปัจจุบันเท่านั้น” ในขณะที่พูดหลินซีเหยียนก็ได้หยิบเอาเข็มเงินปักลงไปที่ตัวของเจียงหวายเย่
ไม่ได้มีอะไรเพิ่มเติมอะไรในเข็มเงินนั้น ก็แค่ทำให้ เจียงหวายเย่สูญเสียการควบคุมร่างกายไปชั่วขณะเท่านั้น ด้วยวิธีนี้ทำให้หลินซีเหยียนสามารถเอาตัวเองออกมาจากอ้อมแขนของเขาได้อย่างง่ายดาย
ด้วยเหตุนี้เจียงหวายเย่จึงได้ตกอยู่ในความเงียบ ได้แค่ต่อว่านางด้วยความขุ่นเคืองและไม่พอใจอย่างเงียบๆด้วยดวงตาสีดำของเขา
“หลินซีเหยียนไม่ต้องเป็นห่วง จงซู่เฟิงนั้นไม่ใช่ตัวประกันธรรมดาๆ” หลังจากที่ผ่านไปพักใหญ่ก็ได้เปิดปากของเขาออกมาด้วยความตรอมใจ เขาพอจะรู้สึกได้รางๆว่าหลินซีเหยียนนั้นเหมือนจะกำลังพยายามหลีกหนีจากความรักอยู่ หรือจะเป็นเพราะว่านางนั้นยังเจ็บปวดจากความรักอยู่?
แต่จากที่เขารู้มา คนเดียวที่หลินซีเหยียนรักเมื่อก่อนนี้ก็มีแค่เฮ่อเหวินจาง หรือว่าเป็นเพราะเฮ่อเหวินจางนั้นทำร้าย เสี่ยวเหยียนเอ๋อจนนางต้องเจ็บช้ำมากขนาดนั้น?
มีอารมณ์ที่ยุ่งเหยิงปรากฏในดวงตาสีดำเข้มของเขา และรู้สึกได้ถึงความหนาวเย็นที่แผ่ออกมามากขึ้นเรื่อย ทำให้รู้สึกได้รางๆถึงความรังสีฆ่าฟันที่แผ่ออกมาจากตัวของเขา
คำพูดที่มีความหมายของเจียงหวายเย่นั้นก็ได้ทำให้ หลินซีเหยียนนั้นต้องมาครุ่นคิด นางนั้นไม่ใช่คนโง่ ด้วยความสัมพันธ์ของนางในช่วงนี้ ทำให้นางรู้สึกได้ว่าตัวตนของ องค์ชายจงนั้นไม่ธรรมดานัก
“ตอนนี้ก็ดึกมากแล้ว ข้าขอตัวกลับไปยังจวนมหาเสนาบดีก่อน ส่วนเทียนเอ๋อนั้นก็ปล่อยให้เขาพักอยู่ที่พระราชวังขององค์ชายไปก่อน!”
หลังจากที่พูดจบ หลินซีเหยียนก็ได้ลุกขึ้นยืนแล้วจากไป
เจียงหวายเย่ก็ได้มองไปที่แผ่นหลังของหลินซีเหยียนแล้วพายุในดวงตาของเขาก็ได้รุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ “ขอเปิ่นหวางดูหน่อยเถอะว่า ใครกันที่กล้าเข้ามายุ่งกับของๆเปิ่นหวาง”
หลังจากที่พูดจบเจียงหวายเย่ก็ได้เปลี่ยนเป็นชุดสีดำแล้วออกไปที่จวนมหาเสนาบดี
ในเวลานี้ที่เรือนเชียนเหยียนในจวนมหาเสนาบดีนั้นเงียบสงบมากเพราะคำพูดของหลินรั่วจิ่งก่อนหน้านี้ แต่มีสาวใช้งดงามคนหนึ่งอยู่ในห้องครัวกำลังต้มยาจีนอย่างระมัดระวังอยู่
เดิมทีนางนั้นคิดว่าไม่มีใครอื่นนอกจากนางแล้ว แต่ที่มุมหนึ่งที่นางมองไม่เห็นนั้น เหลยถิงกำลังแอบดูอยู่ตรงนั้น
เขานั้นได้มาเฝ้าดูอยู่แบบนี้หลายหนแล้ว แต่เขาก็ยังไม่พบอะไรผิดสังเกตอะไร ซึ่งทำให้เขารู้สึกผิด มองดูด้วยสีหน้าที่จริงจังแล้วเหลยถิงก็ได้บ่นพึมพำ “แม่นางหลินคงจะคิดผิดไป”
ในขณะที่เขากำลังโล่งอกอยู่นั้นเอง เขาก็พบช่างช่านมองไปรอบๆอย่างระแวดระวัง จากนั้นก็หยิบเอาขวดหยกเล็กๆออกมาจากแขนเสื้อของนางแล้วโปรยผงยาลงไปในหม้อต้มยา
เหลยถิงก็ได้จ้องมองด้วยความไม่อยากเชื่อในสายตาของเขา แล้วเขาก็ได้ใจเย็นลงและถอนตัวออกมาจากห้องครัวอย่างเงียบๆ
ณ ห้องของจงซู่เฟิง จงซู่เฟิงที่กำลังนั่งอยู่ที่โต๊ะเขียนอะไรบางอย่างอยู่นั้น หลังจากที่ได้ยินรายงานจากเหลยถิง เขาก็ได้หยุดมือที่เขียนพู่กัน ทำให้หนังสือเขียนตัวหนังสือที่เขาเขียนอยู่เละทันที
หลังจากที่ผ่านไปพักใหญ่ จงซู่เฟิงก็ได้ยืนยันด้วยเสียงเบาๆ “เจ้ามองไม่ผิดใช่ไหม?”
“ข้าน้อยเองก็หวังให้ข้าตาฝาดเหมือนกัน” มองไปยังนายท่านของเขาที่หดหู่ใจแล้ว เหลยถิงก็ได้แสดงสีหน้าเข้าใจออกมา ในฐานะที่เป็นลูกที่ถูกทิ้งโดยรัฐจงแล้ว นายท่านก็ต้องมาใช้ชีวิตอยู่ที่รัฐเจียงโดยมีเพียงตัวเขาและช่างช่านคอยอยู่ร่วมกันเขาเท่านั้น ทั้งสามคนจำต้องพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ใครจะไปคิดว่าช่างช่านนั้นจะ……
หลังจากที่ทั้งสองคนตกอยู่ในความเงียบ เสียงเคาะประตูก็ได้ดังขึ้นมาแล้วตามมาด้วยเสียงของหลินซีเหยียน “องค์ชายจงอยู่ที่นี่หรือไม่?”
จงซู่เฟิงก็ได้รีบระงับความเสียใจบนใบหน้าของเขา “ข้าอยู่ข้างใน เชิญแม่นางหลินเข้ามาได้เลย”
หลินซีเหยียนที่เข้ามาในห้องแล้วเห็นหนังสือคัดลายมือที่กำลังเขียนอยู่ แต่น่าเสียดายที่ตัวหนังสือนั้นเละเสียแล้ว นางจึงได้กล่าวอย่างเสียดาย “หรือจะเป็นเพราะข้าทำให้ท่านชายตกใจจนทำให้ตัวหนังสือเพี้ยนเช่นนี้?”
จงซู่เฟิงก็ได้รีบโบกมือปฏิเสธแล้วกล่าว “ไม่ใช่ความผิดของแม่นางหลินหรอก ก็แค่เข้าเสียสมาธิเพราะคิดเรื่องบางอย่างเท่านั้น”
หลินซีเหยียนก็ได้ผงกหัว และในขณะที่นางอยากที่จะเล่าเรื่องขององค์ชายสิบหกของรัฐจงอยู่นั้นเอง ช่างช่านก็ได้เข้าห้องมาพร้อมกับยา เมื่อนางเห็นหลินซีเหยียนก็ได้ปรากฏแววตาตกใจในดวงตาของนาง แต่นางก็ได้รีบกลับไปเป็นปกติทันที
“แม่นางหลินกลับมาแล้วเหรอเจ้าคะ?”
“อื้ม พอดีข้ามีเรื่องที่อยากจะเล่าให้องค์ชายจงฟังน่ะ”
เมื่อรับรู้ได้ถึงความผิดปกติของช่างช่าน หลินซีเหยียนก็ได้ตั้งใจมองดูทุกการเคลื่อนไหวของนางอย่างสงบ จนกระทั่งกลิ่นที่แรงของยาจีนเข้าจมูกของนาง นางจึงรู้ว่ามีบางอย่างที่ผิดปกติ
“องค์ชาย ยาต้มอุ่นกำลังดีเลยเจ้าค่ะ ได้โปรดรีบดื่มนะเจ้าคะ!” ช่างช่านก็ได้พยายามปั้นสีหน้าให้สงบแต่น้ำเสียงของนางก็ยังสั่นอยู่ดี
จงซู่เฟิงก็ได้หยิบเอาชามยาขึ้นมาดูตรงหน้าเขา โดยที่ยังไม่ได้ดื่มลงไป ในขณะที่ช่างช่านก็ได้กระตุ้นให้เขารีบทานอยู่นั้น ก็มีเสียงที่เสียใจดังเข้าหูของนาง “ช่างช่าน ข้าดูแลเจ้าไม่ดีอย่างนั้นเหรอ?”
“ทำไมองค์ชายถึงได้พูดเช่นนี้เหรอเจ้าคะ” ช่างช่านที่ดูเหมือนจะรู้สึกถึงอะไรบางอย่างได้ ก็ได้หยิบเอาชามาจากมือของจงซู่เฟิง “หรือว่าองค์ชายจะสงสัยว่ามีปัญหาอะไรกับยานี้งั้นเหรอเจ้าค่ะ?”
จงซู่เฟิงก็ได้ไม่ได้พูดอะไรออกมา
ช่างช่านก็ได้มองไปที่เหลยถิงด้วยดวงตาที่แดงฉาน “พวกท่านไม่แม้แต่จะเชื่อข้าเลยเหรอเจ้าคะ?”
“ข้าเห็นเจ้าแอบใส่อะไรบางอย่างลงไป แล้วจะให้ข้าเชื่อเจ้าได้อย่างไร?” เมื่อเห็นนางจ้องมา เหลยถิงนั้นยังไม่อยากจะยอมรับ เขานั้นรู้สึกไม่ดีจนไม่อยากมองหน้านาง
“ก็ได้ ในเมื่อพวกท่านไม่เชื่อข้า ข้าก็จะพิสูจน์ความบริสุทธิ์ใจของข้าให้ดูเอง”
ช่างช่านที่ถือชามยาไว้ในมือของนางนั้น หลังจากที่พูดอย่างโมโหออกมา นางก็ได้ดื่มยาชามนั้นลงไปรวดเดียว โดยไม่ให้เหลือแม้แต่หยดเดียว
หลังจากที่ดื่มยาลงไป ช่างช่านก็ยังคงยืนนิ่งอยู่พักใหญ่โดยไม่มีอาการนางถูกพิษเลยแม้แต่น้อย ซึ่งเรื่องนี้ทำให้จงซู่เฟิงและเหลยถิงเกิดความสงสัยในใจของพวกเขา หรือว่าเขาจะเข้าใจนางผิดไป?
“เป็นไปไม่ได้ ก็ข้าเห็นเจ้าใส่บางอย่างลงไปในหม้อต้มยานี่นา”
เสียงของเหลยถิงก็ได้เบาลงเรื่อยๆ โดยที่ไม่มีโอกาสให้เขาได้โต้แย้งเลย
ช่างช่านก็ได้มองไปที่ทั้งสองคนด้วยดวงตาที่แดงฉาน แล้วนางก็ได้หยิบบางอย่างออกมาจากแขนเสื้อ “นี่คือเมล็ดชุมเห็ดเทศ ถ้าบดเป็นผงจะไม่ส่งผลอะไรกับยา แต่สามารถช่วยลดรสชาติที่รุนแรงของยาจีนได้”
จงซู่เฟิงและเหลยถิงก็ไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไรดีไปชั่วขณะ
“องค์ชาย ข้าอุตส่าห์ละทิ้งวันที่สุขสบายในรัฐจงมาแล้วติดตามท่านมาอยู่ที่รัฐเจียงในฐานะข้ารับใช้ แต่ไม่นึกเลยว่าท่านไม่เชื่อใจข้าถึงขนาดนี้”
เสียงที่โศกเศร้าของหญิงสาวราวกับจะร้องไห้ออกมาเป็นเลือดนั้น ทำให้ผู้คนรู้สึกสงสารยิ่งนัก