พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า – บทที่ 1612 ขั้นตอนแรกของการย้าย

บทที่ 1612 ขั้นตอนแรกของการย้าย

เหมียวอี้หัวเราะเบาๆ แล้วก้าวขึ้นมาประคองแขนเขาให้ลุกขึ้น “ทุ่มเทสติปัญญาความสามารถตราบจนชีวิตหาไม่นั้นไม่ต้องหรอก ไม่อย่างนั้นข้าจะแก้ตัวกับเวยเวยไม่ได้นะ”

หยางชิ่งสงบสติอารมณ์ได้ยากยิ่ง ดวงตาที่มองอีกฝ่ายฉายแววซับซ้อนสับสน ก่อนหน้านี้มีหลายสิ่งที่ไม่ได้พูด ตอนนี้รู้สึกเหมือนต้นร้ายปลายดีจริงๆ สมองคิดอะไรบางอย่างได้ ลองถามหยั่งเชิงว่า “แล้วเคล็ดวิชานี้ เวยเวย…”

เหมียวอี้พยักหน้า “ยอมไม่ขาดของนางอยู่แล้ว ข้าจะให้นางด้วยตัวเอง ข้าเพิ่งจะแต่งงานรับคนใหม่มา ถ้าไม่ปลอบใจนางให้ดีๆ ข้ากลัวนางจะอารมณ์เสียใส่น่ะสิ!” ขณะที่พูดก็ยิ้มเจื่อน

หยางชิ่งกล่าวด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ถ้านางไร้เหตุผลจริงๆ ข้าน้อยจะต้องตำหนินางสักหน่อยแล้ว คนที่อยู่ระดับนายท่านแล้ว การรับอนุภรรยาไม่เกี่ยวอะไรกับเรื่องได้ใหม่ลืมเก่าแล้ว ทุกสิ่งล้วนทำไปเพื่อผลประโยชน์ของทุกคน”

เหมียวอี้ยิ้มแห้ง ถึงแม้ปากจะไม่สะดวกพูดอะไร แต่ในใจกลับพึมพำว่า ‘หวังว่าเจ้าจะคิดอย่างนี้จริงๆ นะ ผู้หญิงคนนั้นถูกเจ้าปฏิบัติราวกับสมบัติล้ำค่า’

หยางชิ่งอยากจะขอตัวลา แต่เหมียวอี้กลับเชิญให้เขาอยู่ต่ออีก แล้วสั่งให้คนไปเรียกพวกจ้าวเฟยมาหา

จ้าวเฟย อูเมิ่งหลัน ซือคงอู๋เว่ย เถาชิงหลีมาแสดงความยินดี ไม่เคยได้พบกันเป็นการส่วนตัวเลย ต้องเจอกันสักหน่อยอย่างเลี่ยงไม่ได้ เมื่ออยู่ต่อหน้าหยางชิ่ง เหมียวอี้อธิบายสถานการณ์ของพิภพใหญ่ที่กำลังจะไปให้ฟัง หลังจากเตรียมคนไปที่พิภพใหญ่แล้ว ก็ให้ทำงานอยู่ภายใต้บังคับบัญชาของหยางชิ่ง มอบอำนาจให้หยางชิ่งแล้ว แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่ควบคุมงานอะไรเลย

เดิมที่ทั้งสี่ก็ไม่มีความมั่นใจกับเรื่องนี้อยู่แล้ว ตั้งใจจะขอคำชี้แนะ นึกไม่ถึงว่าจะเตรียมการไว้แล้ว ย่อมเข้าใจว่าอีกฝ่ายต้องการจะดูแล จึงปลาบปลื้มมาก มาคารวะหยางชิ่งอย่างจริงจังเพื่อทำความรู้จักนายท่านเอาไว้ หยางชิ่งเองก็ไม่อิดออด สั่งให้ทั้งสี่กลับไปเตรียมเรื่องย้ายคนให้เรียบร้อย ส่วนเรื่องระหว่างบุคคล เมื่อไปถึงพิภพใหญ่แล้วเขาจะเตรียมการให้เอง

ทั้งสี่เอ่ยรับคำสั่ง แล้วเดินออกไปพร้อมหยางชิ่ง

เหมียวอี้ยืนส่งอยู่ตรงประตู แอบรู้สึกทอดถอนใจ ไม่รู้เหมือนกันว่าการส่งสี่คนนี้ไปพิภพใหญ่เป็นเรื่องดีหรือเรื่องร้าย อนาคตนั้นยากจะคาดเดา ตอนที่ได้ยินว่าสี่คนนี้มาแล้ว เขาก็ไตร่ตรองว่าควรจะให้สี่คนนี้อยู่ที่พิภพเล็กต่อหรือไม่ สุดท้ายก็ยังไม่ได้ให้สิทธิพิเศษ มีคนไม่น้อยรู้ว่าเขามีความสัมพันธ์อันดีกับสี่คนนี้ ถ้าทั้งสี่ไม่ไปก็เกรงว่าจะเกิดผลกระทบใหญ่โต ทำได้เพียงเตรียมการแบบนี้

“พี่ใหญ่ ใกล้เสร็จรึยังคะ?” เยว่เหยาเดินเนิบนาบเข้ามาเรียกอยู่ข้างหลังเขา

ตอนที่เหมียวอี้หันกลับมา สิ่งที่ปรากฏสู่สายตาก็คือหญิงงามชดช้อยดุจภาพวาด ปิ่นระย้าที่ปักบนมวยผมสั่นไหวเป็นประกาย ช่างยั่วยวนชวนหิวจริงๆ

ถึงแม้ก่อนหน้านี้จะเคยเห็นเยว่เหยาแต่งกายชุดสตรีที่ออกเรือนแล้ว แต่พอกลับมาเห็นอีกก็ยังเคลิบเคลิ้มเล็กน้อย ทำไมถึงเดินมาถึงขั้นนี้ได้นะ

เมื่อเห็นอีกฝ่ายจ้องตนไม่ละสายตาแบบนี้ เยว่เหยาก็ไม่รู้ว่านึกอะไรขึ้นได้ ใบหน้าแดงเรื่อทันที กล่าวอย่างเขินอายว่า “ทำอย่างกับไม่เคยเห็น”

“เหอะๆ…” เหมียวอี้ส่ายหน้าหัวเราะเจื่อน แล้วถามว่า “เจ้าไม่ได้อยู่กับฮูหยินหรอกเหรอ?”

ใบหน้างามของเยว่เหยายิ่งแสดงอาการเขินอายหนักกว่าเดิม “ฮูหยินมีธุระค่ะ” ที่จริงหลังจากคุยกับพวกอวิ๋นจือชิวไปสักพักแล้ว อวิ๋นจือชิวก็บอกว่านางคือคนใหม่ เป็นช่วงเวลาข้าวใหม่ปลามัน ให้นางมาปรนนิบัตินายท่าน ต่อไปถ้ากลับพิภพใหญ่ก็หาโอกาสดีๆ แบบนี้ได้ยากแล้ว

เหมียวอี้ร้องอ๋อ แล้วถามอีกว่า “มีเรื่องอะไรเหรอ?”

เยว่เหยาบอกว่า “น้องสาวของฮูหยินงอแงจะไปพิภพใหญ่ ฮูหยินกำลังด่านาง”

เหมียวอี้จินตนาการได้ว่าอวิ๋นรั่วซวงมีนิสัยอย่างไร ในขณะนี้เอง หลันโฮ่วกับจางเทียนเซี่ยวก็มาด้วยกันแล้ว เขาทำได้เพียงบอกเยว่เหยาว่า “เจ้ากลับไปพักก่อนเถอะ ข้ายังมีธุระอีกนิดหน่อย”

เยว่เหยาพยักหน้า “งั้นข้ากลับไปรอท่านนะ” เสียงพูดอ่อนโยนขึ้นเยอะเลย ทั้งยังย่อตัวคำนับก่อนถอยออกไปด้วย

เหมียวอี้เห็นแล้วปวดประสาท ใช้เจ้าสามคนที่อยู่ต่อหน้าคนแล้วปากไม่มีหูรูดเสียที่ไหนกัน ปรับตัวกับฐานะได้เร็วมาก กลับเป็นเขาที่ยิ่งนานไปยิ่งปรับตัวได้ยาก

“ท่านปราชญ์!” หลันโฮ่วกับจางเทียนเซี่ยวคำนับพร้อมกัน คนแรกยังคงแต่งตัวดีมีสง่าราศี ส่วนคนหลังก็ยังแต่งกายไม่มิดชิดเหมือนเดิม

เหมียวอี้นำทั้งสองคนเข้าไปคุยกัน คุยเรื่องการเตรียมการพิเศษสำหรับทั้งสองหลังจากไปที่พิภพใหญ่แล้ว ให้ทั้งสองเตรียมตัวไว้ให้เรียบร้อย

หลังจากคุยเสร็จแล้ว เหมียวอี้ก็ชี้ไปบนตัวจางเทียนเซี่ยว “เจ้าแต่งตัวสะดุดตาเกินไปแล้ว พอไปที่พิภพใหญ่ก็ต้องมิดชิดหน่อย ไม่อย่างนั้นจะสร้างปัญหาให้ทุกคนได้ หลังจากไปที่นั่นแล้ว ฮูหยินจะบอกพวกเจ้าเองว่าต้องทำยังไง”

“รับทราบค่ะ!” จางเทียนเซี่ยวที่แต่งตัวแบบนี้จนชินแล้วเอ่ยรับอย่างไม่ค่อยเต็มใจเท่าไรนัก

หลังจากทยอยพบคนพวกนี้แล้ว ตอนนี้ฟ้าใกล้จะมืด ขณะที่เหมียวอี้กำลังเตรียมตัวจะออกไป จู่ๆ ข้างนอกก็มีคนมารายงาน บอกว่าน้องสาวของเขามาหาแล้ว

น้องสาวเหรอ? เหมียวอี้งงไปชั่วขณะ จากนั้นก็เข้าใจทันที นึกออกแล้วว่าเป็นใคร จึงโบกมือให้คนพาเข้ามา

เป็นอย่างที่คาดไว้ ผู้ที่มาไม่ใช่ใครที่ไหน เหวินฟางที่สวมชุดกระโปรงสีชมพูเดินก้าวยาวเข้ามาแล้ว เป็นน้องสาวจอมเอาเปรียบของเขาเช่นกัน พอเห็นเหวินฟาง เหมียวอี้ก็อดยิ้มไม่ได้ บนใบหน้าของผู้หญิงคนนี้สดใสมีชีวิตชีวาอยู่เสมอ แต่ความอ่อนเยาว์ของสาววัยแรกแย้มหายไปแล้ว เหมือนจะเป็นผู้ใหญ่ขึ้นเยอะเลย สง่างามละเมียดละไมเหมือนผู้หญิงมากขึ้น

“พี่ใหญ่!” เหวินฟางที่มาตีสนิทตะโกนเรียกอย่างสนิทสนมมาตั้งแต่ไกลๆ ทำให้บ่าวไพร่ที่เดินไปเดินมาอยู่ในลานบ้านหันมอง

เหมียวอี้ไม่ได้รักษามารยาทกับนาง เขาเดินลงบันได แล้วโบกมือบอกใบ้ให้ไปเดินเล่นในสวนด้วยกัน หลังจากได้ยินนางกล่าวแสดงความยินดีแล้ว เหมียวอี้ก็ยิ้มพร้อมถามว่า “ได้ยินว่าเจ้าแต่งงานแล้วเหรอ?”

เรื่องนี้เขาก็เพิ่งได้ยินจากปากอวิ๋นจือชิวในตอนหลังเช่นกัน ตอนนั้นเขาถูกขังอยู่ที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์ อวิ๋นจือชิวให้ฉินเวยเวยไปร่วมแสดงความยินดีด้วยตัวเอง นางไม่ได้แต่งงานกับใครที่ไหน เป็นคนคุ้นเคยของเหมียวอี้เช่นกัน หลัวผิง คนของสมาคมร้านค้าแดนเซียนในปีนั้น เหมียวอี้เคยทำธุรกรรมกับเขาหลายครั้งแล้ว สิ่งนี้ทำให้เหมียวอี้คาดไม่ถึงนิดหน่อย นึกไม่ถึงว่าสุดท้ายเหวินฟางจะได้ลงเอยกับหลัวผิง

“น้องสาวแต่งงานแล้วค่ะ พี่ใหญ่ไม่มาส่งข้าแต่งงานเลย มีพี่ใหญ่แบบนี้เสียที่ไหนกัน?” เหวินฟางบ่นเขา

เหมียวอี้ตอบอย่างกระอักกระอ่วนว่า “ขอโทษนะ ตอนนั้นข้ามีธุระปลีกตัวมาไม่ได้จริงๆ” เขาไม่อยากจะพูดเรื่องที่ตัวเองโดนขังในแดนมรณะดึกดำบรรพ์

แต่ใครจะคิดว่าเหวินฟางจะหลุดขำออกมา “ล้อเล่นน่า ใช่ค่ะ เป็นเรื่องเมื่อสามร้อยปีก่อน”

“หลัวผิงยังดีกับเจ้าอยู่มั้ย?” เหมียวอี้ถามอย่างเป็นห่วง

เหวินฟางตอบว่า “ก็ยังพอไหวมั้ง แต่ก็หลีกเลี่ยงสันดานผู้ชายไม่ได้อยู่แล้ว เขาเริ่มมีความคิดจะรับอนุภรรยาแล้วล่ะ แต่อาศัยรัศมีระดับพี่ใหญ่ ก็ทำให้น้องสาวได้เป็นจิ้งจอกแอบอ้างบารมีเสือได้บ้าง ข้ายืนหยัดไม่อนุญาตให้หลัวผิงรับอนุภรรยา เอาเป็นว่าเขาก็ยังดีกับข้าอยู่ ในปีนั้นน้องสาวไม่ได้เลือกคนผิด ส่วนเรื่องที่เขาแอบออกไปลักกินขโมยกินนิดหน่อย ตราบใดที่ยังไม่ล้ำเส้นที่ข้าขีดไว้ ข้าก็จะปิดตาข้างเดียวแล้วกัน เรื่องแบบนี้ต่อให้อยากจะคุม แต่ก็คุมไม่อยู่หรอก เขาไม่ไปหาใครก่อน มีแต่นางจิ้งจอกที่ชอบเป็นฝ่ายมายั่วเขาเอง ข้าว่าผู้ชายทุกคนก็คงอดใจไม่ไหวทั้งนั้น พี่ใหญ่ว่ามั้ยล่ะ?” นางพูดความรู้สึกที่แท้จริงของตัวเอง อาศัยเส้นสายระดับเหมียวอี้ ชีวิตคู่ของเหวินฟางก็ย่อมไม่แย่อยู่แล้ว หลัวผิงมีเงื่อนไขปัจจัยอย่างนั้น ย่อมดึงดูดผู้หญิงมากมายอยู่แล้ว

ผู้ชายของเจ้าไปหาเศษหาเลยแล้วเกี่ยวอะไรกับข้า มาถามข้าทำไมเหรอ? เหมียวอี้พึมพำในใจ เอามือลูบจมูกอย่างกินปูนร้อนท้อง แล้วพยักหน้ายิ้มบ้างๆ “งั้นก็ดี”

จู่ๆ เหวินฟางก็หัวเราะคิกคัก “ตอนนี้เขาก็ยังดีกับข้า แต่อนาคตก็บอกอะไรชัดเจนไม่ได้ เรื่องพิภพใหญ่อือฮาแล้ว ทั้งครอบครัวหวังว่าจะได้พึ่งพาเส้นสายของพี่ใหญ่เพื่อเสาะหาเส้นทางใหม่ ถ้าทำให้พวกเขาผิดหวัง ในภายหลังเกรงว่าน้องสาวจะไม่ได้ใช้ชีวิตดีๆ แล้ว พี่ใหญ่คงไม่ทิ้งน้องสาวเอาไว้โดยไม่ได้สนใจหรอกใช่มั้ย? ถ้าเป็นอย่างนี้จริงๆ น้องสาวก็จะอาศัยพี่ใหญ่ไปทั้งชีวิตแล้ว ต่อให้ตีให้ตายก็ไม่ไป”

เหมียวอี้หัวเราะเบาๆ คาดว่าพอมีเส้นสายของเขาอยู่ คนของตระกูลหลัวก็ไม่กล้าทำให้นางลำบากเหมือนกัน คงจะต้องเกรงใจนาง เพียงแต่ปากก็พูดไปอย่างนั้นเท่านั้นเอง “ทางพิภพใหญ่ยังคงเป็นหยางชิ่งที่ดูแลงาน เดี๋ยวต่อไปเจ้าไปหาหยางชิ่งแล้วกัน ดูว่าเขาจะเตรียมการยังไง เจ้าแค่บอกไปว่าเป็นประสงค์ของข้า”

เมื่อเขาพูดแบบนี้ก็จัดการง่ายแล้ว เหวินฟางยิ้มอย่างปลาบปลื้ม “ยังเป็นพี่ใหญ่ที่เอ็นดูน้องสาว!” นางดึงแขนเสื้อเหมียวอี้กระโดดโลดเต้น ร้องอุทานอย่างดีใจ ทำเหมือนทั้งสองเป็นพี่น้องกันแท้ๆ

เหมียวอี้ก็ไม่ได้ปฏิเสธเช่นกัน รู้สึกอบอุ่นในหัวใจเล็กน้อย ตามใจนางแล้ว

สำหรับผู้หญิงคนนี้ จะพูดอย่างไรดีล่ะ เอาเป็นว่าเหมียวอี้ค่อนข้างชื่นชม พยายามยืนด้วยลำแข็งตัวเองมาก เขาเองก็เข้าใจว่าผู้หญิงคนนี้ต้องการจะอาศัยเส้นสายกับเขา แต่เขาก็รู้ว่านางรู้จักทำอะไรแบบพอดี ดังนั้นจึงไม่ถือสาในการกระทำของนาง และเฝ้ารอจะเห็นนางได้ในสิ่งที่ต้องการเช่นกัน ถึงอย่างไรทั้งสองก็มีความสัมพันธ์ที่เรียกว่า ‘พี่ชาย’ น้องสาวจริงๆ ถึงแม้ตอนแรกเขาจะไม่เต็มใจ แต่ก็ต้องบอกเลยว่าผู้หญิงคนนี้คว้าโอกาสได้แล้ว ไม่ได้อยากได้ทางลัด แต่เป็นเพราะผู้หญิงคนนี้พยายามช่วงชิงมาจริงๆ จึงได้รับมาอย่างสง่าผ่าเผย ไม่ได้ใช้วิธีการนอกลู่นอกทาง ได้มาด้วยวิธีที่ถูกต้อง จุดแข็งนี้ทำให้เหมียวอี้ชื่นชม ผู้หญิงคนหนึ่งทำได้ถึงจุดนี้ก็ถือว่าไม่ง่ายเลย

“เออใช่ ในเมื่อหลัวผิงแต่งงานกับเจ้าแล้ว แต่ทำไมเขาไม่อยู่กับเจ้าล่ะ?” เหมียวอี้นึกขึ้นได้จึงเอ่ยถาม

พอพูดถึงตรงนี้ เหวินฟางก็ยิ้มเจื่อนส่ายหน้า “ข้าก็ดึงเขามาด้วยกันแล้ว แต่เขารู้สึกว่าเหมือนกำลังเกาะขาคนมีอำนาจมากเกินไป ทนเสียหน้าไม่ไหว บางทีอาจจะเป็นเพราะฐานะของพี่ใหญ่ในตอนนี้ทำให้เขารู้สึกกดดันมาก ข้ายังไม่รู้เลยว่าเขาอยู่ที่สมาคมร้านค้าหลายปีขนาดนั้นแล้วได้ขัดเกลานิสัยยังไงบ้าง ขนาดเสียหน้าเล็กน้อยแค่นี้ยังทำไม่ได้ ช่างเถอะ มีความหยิ่งในศักดิ์ศรีบ้างนิดหน่อยก็ไม่ใช่เรื่องแย่อะไร อย่างน้อยก็ถือเป็นเส้นตายเส้นหนึ่ง ไม่ให้อนาคตเขาทำอะไรกับข้ามากเกินไป”

“เหอะๆ เจ้าก็มองโลกอย่างเข้าใจ!” เหมียวอี้กล่าวพร้อมรอยยิ้ม พบว่าผู้หญิงคนนี้เป็นคนที่อยู่กับความเป็นจริง ไม่เหมือนเขาที่พุ่งเข้าใส่อันตรายต่างๆ นาๆ

ทั้งสองเดินเล่นไปพลางคุยไปพลาง บางครั้งเหวินฟางก็แอบมองเขาเงียบๆ ในใจเรียกได้ว่าปลงอนิจจังไม่หยุด ตัวละครเล็กๆ ในปีนั้นไม่น่าเชื่อว่าจะเดินมาถึงขั้นนี้ได้ ว่ากันตามจริง ใช่ว่านางจะไม่เคยหวั่นไหวกับเหมียวอี้เลย เพียงแต่ยิ่งฐานะของทั้งสองต่างกัน แล้วก็เห็นท่าทีของเหมียวอี้ว่าไม่ได้คิดอะไรกับนาง นางก็มีความหยิ่งในศักดิ์ศรีเหมือนกัน จึงหันกลับไปเผชิญหน้ากับความจริง ยอมรับคนที่ชอบนาง เป็นหลัวผิงที่ทำให้นางมั่นใจได้ ดีกว่าไปรักคนที่เขาไม่รักเราตั้งเยอะ คนบางคนทั้งชีวิตนี้อาจจะทำได้เพียงมองจากที่ไกลๆ

จนกระทั่งฟ้ามืด เหวินฟางถึงได้เป็นฝ่ายขอตัวก่อน ไม่สะดวกจะค้างแรมที่นภาอู๋เลี่ยงเช่นกัน ถึงอย่างไรนางก็แต่งงานแล้ว ต้องระวังผลกระทบด้วย

วันต่อๆ มา ภายใต้การวางแผนของหยางชิ่ง แดนฝึกตนของทั้งพิภพเล็กก็คึกคักไม่ธรรมดา นักพรตจำนวนมากไปรวมตัวกันตามจุดที่กำหนดไว้ของแต่ละแดน มีการสอบถามสถานการณ์ ท่านทูตของแต่ละสายเตรียมติดประกาศแล้ว อธิบายซ้ำไปซ้ำมา เป็นภาพที่เห็นได้ยาก

กำลังพลของทางการ ลูกศิษย์ของสำนักและนักพรตอิสระที่แน่ใจแล้วว่าจะออกเดินทางรีบกลับไปแล้ว กลับไปเตรียมรวบรวมทรัพยากร ต้องการจะนำทรัพย์สินทั้งหมดของตัวเองไปด้วย

ผ่านไปไม่นาน ตามขั้นตอนในแผนการของหยางชิ่ง นักพรตพรตจากแต่ละที่ของพิภพเล็กก็ถูกกำลังพลของทางการควบคุมตัวมาส่ง แบ่งกลุ่มรวมตัวกันอยู่ตรงตีนเขารอบๆ นภาอู๋เลี่ยง เป็นฉากที่อลังการงานสร้างจริงๆ โดยเฉพาะเมื่อถึงตอนกลางคืน เปลวไฟส่องสว่างทอดยาวเหยียด เมื่อทอดสายตามองไปก็เห็นเป็นเหมือนดวงดาวเต็มท้องฟ้า

…………………………

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

เหมียวอี้ เด็กหนุ่มธรรมดาแต่มีโชคชะตาที่ไม่ธรรมดา!

เขาคือเด็กกำพร้าที่ถูกเพื่อนบ้านตราหน้าว่าเป็น ‘ตัวหายนะ’

เพราะพ่อแม่บุญธรรมที่รับเลี้ยงเขาล้วนมีจุดจบอยู่ในกองเพลิงทั้งสิ้น

เขาจึงต้องเติบโตมากับน้องๆ ต่างสายเลือดอีกสองคนตามลำพัง

ไร้เงิน ไร้อำนาจ ไร้ความสามารถ ซ้ำยังเป็นตัวซวย โลกนี้มันช่างอยู่ยากเสียจริง!

หนทางที่จะลบคำครหาของชาวบ้านและก้าวพ้นชีวิตที่ยากไร้ไปได้ก็คือการสำเร็จเป็นเซียน

แม้ความปรารถนาจะอยู่สูงเกินเอื้อม แต่เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่น

ถึงจะลำบากและอันตรายเพียงใด

ก็ขอทะยานไปให้สุดขอบฟ้า!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท