บทที่ 190
ยินดีต้อนรับท่านตัวประกัน
จงซู่เฟิงก็ได้บิดริมฝีปากของเขา ดวงตาสีดำของเขาก็ได้เปิดกว้างขึ้นมา แต่เขากลับยังคงนิ่งเงียบ แต่แล้วเขาก็ได้จับจ้องไปที่ดวงตาของหลินซีเหยียนแล้วยิ้มและกล่าว “บางทีอาจจะเป็นเพราะช่วงนี้ข้าพักผ่อนไม่เพียงพอก็ได้น่ะ!”
หลังจากที่พูดจบจงซู่เฟิงก็ได้จ้องไปที่หลินซีเหยียนด้วยความรู้สึกหวาดๆในใจกลัวว่าจะถูกนางล่วงรู้เข้า
แต่โชคดีที่ในเวลานี้ในหัวของหลินซีเหยียนนั้นไม่ได้สนใจเขามากนัก นางนั้นกำลังกังวลเรื่องของเช้านี้มากกว่า นางจึงได้กล่าวกับจงซู่เฟิง “เอาไว้หลังจากนี้ข้าจะเอาสูตรยาที่จะช่วยสงบลมปราณของท่าน น่าจะทำให้อาการของท่านดีขึ้นได้”
แล้วทั้งสองคนก็ได้เดินไปตามระเบียงด้วยกันแล้วจากนั้นก็เดินผ่านศาลามา จนกระทั่งทั้งสองคนเดินมาถึงจวนที่มหาเสนาบดีหลินอยู่ เมื่อคิดอะไรบางอย่างได้หลินซีเหยียนก็ได้หยุดเดิน
จงซู่เฟิงที่เดินตามนางอยู่นั้น ก็ได้หยุดเดินเช่นกันโดยไม่ให้ชนหลินซีเหยียน
หลินซีเหยียนก็ได้หันหน้ากลับมาแล้วมองไปที่องค์ชายจง ซึ่งมีสีหน้าซีดเซียวมากขึ้นเรื่อยๆ “คุณชายจงเองก็จะไปหามหาเสนาบดีหลินด้วยอย่างนั้นเหรอ?”
ถึงแม้ว่าเดิมทีที่จงซู่เฟิงตามมาด้วยก็เพราะเกรงว่านางจะถูกทำร้าย แต่เขาจะบอกเช่นนั้นออกไปได้อย่างไร เขาจึงทำได้แค่ผงกหัวแล้วเดินตามหลินซีเหยียนต่อไปโดยที่ไม่ให้หน้าแดงและหัวใจเต้นเร็ว
“ข้าว่าจะไปพบกับท่านมหาเสนาบดีหลินน่ะแต่ก็มีธุระด่วนนิดหน่อยน่ะ หวังว่าข้าคงจะไม่ไปรบกวนเวลาอาหารของท่านมหาเสนาบดีหลินนะ”
เมื่อหลินซีเหยียนได้ยินเช่นนี้ ก็ได้ปรากฏแววตาที่ขบขันขึ้นมา หวังว่าจะไปไม่รบกวนมหาเสนาบดีหลินจนทานไม่ได้งั้นเหรอ?
แล้วในเวลานี้ที่เรือนใหญ่ มหาเสนาบดีหลิน, ฮูหยินอวี้และคนอื่นๆนั้นได้มาประจำที่เรียบร้อยแล้ว แต่เพราะหลินซีเหยียนยังมาไม่ถึงจึงยังไม่ได้เริ่มทานกัน
“ท่านพ่อ หลินซีเหยียนคงจะยังไม่ตื่น ข้าว่าพวกเราอย่าได้มัวแต่รอนางอีกเลย!” คุณหนูสามหลินเสวี่ยเหยียนนั้นยังไม่รู้ว่าหลินซีเหยียนนั้นมีค่ามากกับมหาเสนาบดีหลินนั้น จึงได้กล่าวด้วยรอยยิ้มที่ประจบเอาใจ “ต่อให้พวกเรารอพี่รองต่อไป พวกเราก็ไม่ได้รับการชื่นชมหรอก”
“พวกเราเป็นครอบครัวเดียวกัน มันไม่ดีที่จะคิดเช่นนั้นนะเจ้าคะ”
หลินรั่วจิ่งนั้นเป็นลูกสาวคนโปรดของมหาเสนาบดีหลินและเป็นอีกคนที่รู้เรื่องทั้งหมด ยิ่งไปกว่านั้นเรื่องของการทุจริตของมหาเสนาบดีหลินนั้น เขาก็ได้บอกกับนางเป็นการส่วนตัว เพื่อที่ลูกสาวคนโปรดของเขาจะได้เตรียมใจเอาไว้ก่อน
หลินรั่วจิ่งจึงได้คิดหาวิธีที่จะทำให้หลินซีเหยียนยอมมอบเงินของนางแต่โดยดี
แล้วผู้คนที่โต๊ะใหญ่นั้นต่างก็พากันสงบลง แต่พวกเขาก็ไม่คิดว่าหลินซีเหยียนนั้นจะไม่ได้มาคนเดียว นางนั้นมีจงซู่เฟิง องค์ชายรัฐจงตามมาด้วย
เมื่อมหาเสนาบดีหลินเห็นเขาก็ได้คิ้วขมวดและลุกขึ้นยืน
หลินซีเหยียนก็พบว่าสายตาของเขากำลังจับจ้องมาที่นาง คนคนนั้นคงจะต้องคิดว่านางเป็นคนพาองค์ชายจงมาเองเพื่อให้เขามาช่วยปกป้องเงินของนางเป็นแน่แท้
แต่ทว่านางก็ได้บิดริมฝีปากของนางเล็กน้อยแล้วกล่าว “ท่านมหาเสนาบดีหลิน ข้าบังเอิญได้พบกับองค์ชายจงระหว่างทาง และดูเหมือนเขาจะมีบางอย่างจะพูดคุยกับท่านน่ะ”
แล้วก็มีแววตาสงสัยปรากฏขึ้นในดวงตาของมหาเสนาบดีหลิน หรือว่าเขาจะเดาผิดไป? องค์ชายจงจะไม่ได้ถูกเชิญมาโดยลูกไม่รักดีของเขา
จงซู่เฟิงก็ได้เดินเข้ามาอย่างช้าๆ ด้วยสีหน้าที่ผ่อนคลายและไม่เร่งรีบ จากนั้นเขาก็มองไปที่มหาเสนาบดีหลินด้วยความรู้สึกผิด
“การที่ท่านมหาเสนาบดีมองมาเช่นนี้ หรือว่าจะเป็นเพราะเปิ่นหวางมารบกวนท่านกัน?”
มหาเสนาบดีหลินก็ได้รีบตั้งสติ ถึงแม้ว่าองค์ชายจงที่อยู่ตรงหน้าเขานี้จะเป็นเพียงตัวประกันที่ถูกส่งมาจากรัฐจงเพื่อสงบศึกก็ตามที แต่คนที่มีสายตาการไกลแล้วย่อมรู้ว่าคุณชายคนนี้จะเป็นคนที่ไม่ธรรมดาในอนาคตแน่ๆ มหาเสนาบดีหลินจึงได้คิดที่จะไว้หน้าเขาเอาไว้บ้าง
“คุณชายจงพูดอะไรเช่นนั้นกัน ในเมื่อฮ่องเต้ได้ให้ท่านมาพักรักษาตัวที่จวนมหาเสนาบดี ข้าราชบริพารผู้นี้ก็ย่อมต้องดูแลท่านเป็นอย่างดีแน่นอน” มหาเสนาบดีหลินก็ได้กล่าวด้วยรอยยิ้มแล้วสะบัดแขนเสื้อของเขา “ใครก็ได้ไปนำชามข้าวกับตะเกียบมาให้อีกชุดที”
“เป็นหวางรู้สึกเกรงใจนัก”
แม้ว่าจงซู่เฟิงจะกล่าวเช่นนั้น แต่เขาก็ได้นั่งลงตรงที่นั่งข้างๆหลินซีเหยียนอย่างเป็นธรรมชาติมาก ราวกับว่าไม่ได้เห็นตัวเองเป็นคนนอกเลยแม้แต่น้อย
หลังจากที่นั่งลง จงซู่เฟิงก็พบว่าทุกคนกำลังจับจ้องมาที่เขา สีหน้าของเขาก็ได้เกร็งขึ้นมาเล็กน้อย “ทำไมทุกท่านถึงได้จ้องมาที่เปิ่นหวางเช่นนี้มีอะไรติดอยู่ที่หน้าของเปิ่นหวางอย่างนั้นเหรอ?”
แล้วมหาเสนาบดีหลินก็ได้กระแอมแล้วทุกคนก็ได้หลบสายตาทันที
“ในเมื่อมากันพร้อมหน้าแล้ว ก็มารับประทานกันเถอะ!” หลังจากที่มหาเสนาบดีหลินกล่าวจบไม่ทันไร ซึ่งก่อนที่เขาจะได้จับตะเกียบ หลินซีเหยียนก็ได้จับตะเกียบก่อนแล้ว
สำหรับทุกคนแล้วมารยาทบนโต๊ะนั้นเป็นเรื่องที่สำคัญมากที่หัวหน้าครอบครัวนั้นยังไม่ได้ขยับตะเกียบ ผู้เยาว์จะขยับตะเกียบได้อย่างไร? ในขณะที่มหาเสนาบดีหลินกำลังจะเปิดปากต่อว่าเขา แต่ก็ถูกห้ามโดยฮูหยินอวี้ที่อยู่ข้างๆเขา
มหาเสนาบดีหลินก็ได้มองไปที่ดวงตาของฮูหยินอวี้ แล้วก็พลันนึกได้ถึงความสำคัญของหลินซีเหยียน เขาจึงได้มีสีหน้าที่อ่อนโยนลงแล้วทำเป็นไม่สนใจเรื่องนี้
แต่หลินเฉิงอวี้นั้นกลับไม่พอใจอย่างมากกับเรื่องนี้ เพราะเมื่อไม่กี่วันก่อนเขานั้นรีบร้อนเกินไปหน่อยแล้วขยับตะเกียงก่อนที่ท่านพ่อจะขยับ ซึ่งเมื่อพ่อของเขารู้เรื่องนี้เข้า เขาก็ได้รับบทเรียนที่เจ็บปวด
หลินซีเหยียนเองก็รู้ถึงการเคลื่อนไหวของพวกเขา เมื่อเห็นว่าพวกเขานั้นมีอาการหงุดหงิด หลินซีเหยียนก็ได้ทานอาหารอย่างมีความสุขมากขึ้นเรื่อยๆ
“ท่านพ่อ ท่านจะเอาใจนางมากเกินไปแล้วนะ!” หลินเฉิงอวี้ก็ได้ตบโต๊ะ แล้วเห็นได้ถึงสีหน้าที่อิจฉาของเขาได้อย่างชัดเจน
มหาเสนาบดีหลินก็ได้คิ้วขมวดขึ้นมาแล้วมองไปที่เขา ก่อนที่จะกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ใจเย็น “เจ้าจำที่พ่อสอนแล้วไม่ได้รึไง ว่าเวลากินกับนอนห้ามพูดน่ะ?”
หลินเฉิงอวี้ที่ได้ยินที่มหาเสนาบดีหลินดุด้วยความโกรธนั้นแต่เขาก็ไม่ได้โกรธเพราะเรื่องนั้น แต่เขาโกรธที่มีคนอื่นทำอะไรที่ไร้มารยาทและละเมิดกฎเช่นนี้ต่อหน้าท่านพ่อแล้ว ถือเป็นการดูถูกเขาอย่างมาก
หลินรั่วจิ่งที่นั่งอยู่ข้างๆหลินเฉิงอวี้นั้น เมื่อเห็นว่าสถานการณ์ดูท่าจะไม่ดีแล้ว นางก็ได้ดึงแขนเสื้อของหลินเฉิงอวี้แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม “พี่สี่เอาไว้ค่อยคุยกันทีหลังก็ได้ ตอนนี้เป็นเวลาทานอาหาร ท่านพี่อย่าได้โมโหเลย”
แม้ว่าหลินรั่วจิ่งนั้นจะพูดเตือนเขาอย่างใจดี แต่ หลินเฉิงอวี้กลับไม่สนใจแม้แต่น้อย กลับกันเขาได้สะบัดมือของหลินรั่วจิ่งออกจนไปกระแทกกับขาโต๊ะเข้า
ทำให้หลินรั่วจิ่งต้องร้องออกมาด้วยความเจ็บ
หลังจากที่ได้ยินเสียงร้อง มหาเสนาบดีหลินก็ได้รีบลุกขึ้นยืนแล้วและไปตรวจดู อย่างไรเสียหลินรั่วจิ่งนั้นถือเป็นลูกสาวคนสำคัญของเขา แล้วมองไปที่แขนที่เรียวยาวและขาวตรงหน้าเขาเป็นรอยม่วงแล้ว เขาก็ได้รู้สึกเดือดดาลขึ้นมาทันทีแล้วเตรียมยกมือที่จะสั่งสอนหลินเฉิงอวี้ลูกชายไร้ค่าของเขา
“ท่านพี่ เห็นแก่แขกที่ยังอยู่ที่นี่ ช่วยละเว้นโทษให้อวี้เอ๋อ คราวนี้ด้วยเถอะเจ้าค่ะ!” ฮูหยินอวี้ก็ได้เข้ามาปกป้องหลินเฉิงอวี้ที่อยู่ด้านหลังนาง ราวกับแม่ไก่ที่คอยปกป้องลูกเจี๊ยบ
ดวงตาที่สวยงามของหลินซีเหยียนก็ได้มองเหตุการณ์นี้อย่างเย็นชา และในใจของนางก็ได้รู้สึกเจ็บเล็กน้อย หากไม่ใช่เพราะแต่เดิมฮูหยินใหญ่นั้นคือแม่ของนาง และความใจแคบของฮูหยินอวี้แล้ว
บางทีหลินซีเหยียนก็คงจะมีครอบครัวที่แสนสุขไปแล้ว
อาจเพราะการเตือนของฮูหยินอวี้ได้ผล ทำให้มหาเสนาบดีหลินจำต้องกัดฟันแล้วกลืนความโกรธของตัวเองลงไป แล้วกล่าวด้วยใบหน้าที่มืดดำ “พาตัวเขาออกไป”
ฮูหยินอวี้ก็ได้รีบตกปากรับคำแล้วพาหลินเฉิงอวี้ที่ก่อเรื่องออกไป
มหาเสนาบดีหลินก็ได้สูดลมหายใจเข้าลึกๆก่อนที่จะกลับมานั่งประจำที่ของตัวเอง แล้วก็กลับมามีรอยยิ้มที่อารีบนใบหน้าของเขา “ขอให้องค์ชายจงอย่าได้คิดมาก เด็กๆก็ซุกซนเช่นนี้แหละ!”
“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก” สีหน้าของจงซู่เฟิงนั้นยังคงอบอุ่นราวกับสายลม ทำให้ผู้คนนั้นอยากที่จะใกล้ชิดหากได้เห็นเข้า