บทที่ 212
กระบี่เล่มนี้มีวิญญาณ
ไม่มีใครเลยในที่แห่งนี้ที่รู้ความคิดของหน่อเขียว พวกเขารู้สึกได้แค่ว่ากระบี่ยมโลกนั้นเหมือนจะเป็นศัตรูกับอวี่ชา แล้วเสียงของกระบี่ก็ได้ดังมากขึ้นเรื่อยๆดังก้องไปทั่วทั้งบริเวณนั้น
เจียงหวายเย่ที่เห็นเช่นนั้นก็รู้สึกลังเลไปชั่วขณะหนึ่ง จากนั้นเขาก็นึกถึงคำที่เสี่ยวเหยียนเอ๋อพูด “กระบี่เล่มนี้มีวิญญาณอยู่, ให้ท่านง่ายๆเช่นนี้ ท่านน่าจะขอบคุณข้านะ”
ดูเหมือนว่าเสี่ยวเหยียนเอ๋อคงจะรู้เรื่องนี้อยู่แล้วแน่ๆ
เพราะมีกระบี่ยมโลกอยู่ใกล้ๆทำให้อวี่ชาก็ไม่สามารถลงมือได้ชั่วขณะหนึ่ง แต่อย่างไรก็ดีพลังที่อยู่ในกระบี่ยมโลกนั้นมีจำกัด หลังจากที่ผ่านไปสักพักกระบี่ยมโลกก็ได้หมดพลัง
เจียงหวายเย่ก็ได้หยิบกระบี่ยมโลกที่ตกลงกับพื้นขึ้นมา แล้วก็พบว่ากระบี่เล่มนั้นสั่นราวกับไม่ยอมให้เขาจับ พอเห็นดังนั้นที่มุมปากของเจียงหวายเย่ก็ได้ยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย วิญญาณในกระบี่เล่มนี้ช่างคล้ายกับเสี่ยวเหยียนเอ๋อจริงๆ
เขาจึงได้กล่าวปลอบกระบี่ยมโลก “อย่าโมโหเลยน่า ตอนนี้เจ้านายของเจ้าเป็นข้าแล้ว”
“เจ้าไม่ใช่เจ้านายของข้า” หน่อเขียวก็ได้ประท้วงอย่างไม่พอใจ แต่เจียงหวายเย่นั้นเชื่อว่ากระบี่นั้นตอบตกลงโดยฟังจากเสียงของกระบี่ที่ดังขึ้นมา
อวี่ชาก็ได้ยิ้มขึ้นมาเมื่อได้ยินคำพูดของเจียงหวายเย่ “เป็นประมุขหอแบบไหนกันที่ไม่มีพลังจะควบคุมอาวุธของตัวเองได้ แล้วจะไปทำการใหญ่อะไรได้เนี่ย? ช่างน่าขันเสียจริง”
หลังจากที่พูดจบ นางก็ได้ขว้างมีดขนนกออกมา โดยมีเป้าหมายพุ่งไปที่เจียงหวายเย่
ในชั่วพริบตาที่มีดขนนกกำลังจะพุ่งเข้ามาแทงร่างของเจียงหวายเย่นั้นก็ถูกขัดขวางเสียก่อน เชียนจิ่วที่ไม่เคยปรากฏตัวต่อหน้าใครมาก่อนเลยนั้นก็ได้ปรากฏตัวเป็นครั้งแรก
ชื่อของหน่วยพันกลนั้นไม่ได้บ่งบอกถึงความสามารถของพวกเขา ตั้งแต่เชียนอี้(หนึ่ง)จนถึงเชียนฉี(สิบ) เชียนจิ่ว(เก้า)เป็นคนที่เป็นเลิศที่สุดในด้านวรยุทธ์และการซ่อนตัว
การโจมตีครั้งเดียวคงไม่เพียงพอจริงๆ อวี่ชาที่เริ่มหมดความอดทน ก็ได้มองมาอย่างเยือกเย็นโดยยังไม่ละทิ้งคำพูดที่รุนแรง “ไม่นึกเลยว่าประมุขหอพันกลจะอ่อนแอจนต้องหลบอยู่ข้างหลังให้คนอื่นคอยปกป้องเช่นนี้”
เจียงหวายเย่ก็ได้จัดแต่งเสื้อผ้าให้เข้าที่เข้าทาง แต่แทนที่เขาจะพูดอย่างไม่พอใจ กลับพูดออกมาอย่างภูมิใจแทน “เผอิญว่าประมุขหอคนนี้ชอบที่จะนั่งดูและสนุกไปกับเรื่องแบบนี้มากกว่าน่ะ ไม่รู้ว่าเจ้าจะทำให้ข้ารู้สึกเพลิดเพลินได้ไหม?”
คำพูดเช่นนี้ไม่เพียงแต่จะทำให้อวี่ชาโมโหแล้ว แต่ยังทำให้คนของหน่วยพันกลต้องตกใจไปด้วย
นี่เจ้านายของพวกเขากำลังพูดอะไรออกมาน่ะ?
หรือว่าเจ้านายของพวกเขานั้นจะเล่นอะไรแผลงๆโดยที่พวกเขาไม่รู้เรื่องอีกแล้ว?
เชียนจิ่วที่รับหน้าที่คอยปกป้องประมุขหออยู่ตลอดนั้น จู่ๆก็รู้สึกได้ถึงความรับผิดชอบใหญ่หลวงที่ตกลงมายังบ่าของเขา โดยเฉพาะในขณะที่เขากำลังสู้อยู่กับอวี่ชาเช่นนี้แล้ว เจียงหวานเย่ก็ได้พูดขึ้นมา “เชียนจิ่วเอาชนะนางให้ได้นะ อย่าได้ทำให้ประมุขหอผู้นี้ต้องเสียหน้าล่ะ”
เชียนจิ่วนั้นแม้จะยังไร้สีหน้า แต่ก็ได้แอบบ่นในใจของเขา “นี่นายท่านจะอยู่เฉยๆไม่ได้หรือยังไงนะ?”
แล้วการต่อสู้ระหว่างอวี่กับเชียนจิ่วนั้นก็ได้มีทั้งสุขเศร้าเคล้าน้ำตาปนกันไป โดยเฉพาะมีดขนนกของอวี่ชาก็ได้สะท้อนเข้ากับแสงอาทิตย์เป็นสีขาว อย่างที่รู้กันว่าอวี่ชานั้นได้ทำมีดขนนกมาจากเงิน
ไม่ใช่แค่สวยงามอย่างเดียว แต่ยังเหมือนดอกไม้เงินอีกด้วย! หลังจากนี้เขาจะต้องเก็บเอากลับไปฝากเสี่ยวเหยียนเอ๋อเสียหน่อย นางจะต้องยินดีมากแน่ๆ
อวี่ชานั้นยากลำบากอย่างมากที่จะต้านทานการโจมตีของเชียนจิ่ว แล้วนางก็ได้เหลือบมองไปที่เจียงหวายเย่ที่กำลังเหม่อด้วยหางตาของนาง ทำให้นางรู้สึกโมโหมากขึ้นในใจของนาง ไม่เคยมีใครที่ทำให้นางโมโหได้มากขนาดนี้อีกแล้ว!
ส่วนเจียงหวายเย่ที่กำลังใช้ความคิดอยู่นั้น ไม่ได้รู้สึกถึงสายตาที่ดุดันมาทางเขาเลย มัวแต่คิดอยู่ว่าเสี่ยวเหยียนเอ๋อนั้นกำลังทำอะไรอยู่ในเวลานี้กันนะ?
อวี่ชานั้นถือเป็นนักฆ่ามือดีของหอนักฆ่าแต่คนอื่นนั้นไม่ใช่ และเพราะการปรากฏตัวของเชียนจิ่ว ทำให้หน่วยพันกลคนอื่นๆไม่ต้องรู้สึกกังวลเรื่องของความปลอดภัยของท่านประมุขอีก แล้วเหล่าคนชุดดำต่างก็เริ่มพากันถอย
สุดท้ายแล้วพวกเขาก็ไม่มีทางเลือกนอกจากต้องถอย
เมื่อเห็นว่าเหล่าคนชุดดำได้เริ่มพากันถอยกันอย่างกล้าหาญแล้วนั้น ก็ได้ปรากฏแสงขึ้นมาในดวงตาสีดำไร้ก้นของ เจียงหวายเย่ ในคราวนี้เขารู้แล้วว่าดอกบัวทองคำนั้นเป็นเรื่องที่ใครบางคนกุขึ้นมา เพื่อล่อให้เขามาติดกับดัก
แต่เพื่ออะไรกันล่ะ เมื่อใดกันที่เจียงหวายเย่รู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาเช่นนี้?
ในเวลานี้ที่จวนมหาเสนาบดีนั้นกำลังเข้าสู่ความวุ่นวาย เพราะว่ามหาเสนาบดีหลินนั้นพบว่าข้อตกลงของหลินซีเหยียนนั้นคือพาหลินหนานเฟิงกลับจวนมหาเสนาบดี
แน่นอนว่าฮูหยินอวี้นั้นไม่เห็นด้วยอย่างหนักแน่นกับเรื่องนี้ เพราะอันตรายตัวจ้อยนั้นเพิ่งจะถูกกำจัดไปได้ จะให้มีตัวอันตรายตัวใหม่โผล่มาอีกไม่ได้เด็ดขาด
“คุณหนูรอง หลินหนานเฟิงนั้นเกิดมาจากสาวใช้ชั้นต่ำ แล้วก็หายตัวไปนานแล้วด้วยแต่จู่ๆก็กลับมาเช่นนี้ จะให้ข้ายืนยันได้อย่างไรว่าเป็นตัวจริงไม่ใช่แอบอ้างน่ะ
หลินซีเหยียนก็ได้ยักคิ้วราวกับเห็นด้วยกับฮูหยินอวี้แล้วกล่าว “ถ้าฮูหยินไม่มั่นใจ จะใช้วิธียืนยันด้วยเลือดก็ได้นะ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ป้าเฉินคอยดูแลเขาด้วยแล้ว ยิ่งไม่น่าผิดพลาดไปได้”
ท่าทีของฮูหยินอวี้นั้นปฏิเสธอย่างชัดแจ้ง ส่วนมหาเสนาบดีหลินนั้นยังลังเลอยู่ เพราะในเวลานี้เขานั้นอยากที่จะได้ลูกชายมาคอยช่วยงานของเขา แต่ลูกสี่นั้นทั้งโง่เขลาและพึ่งพาไม่ได้ เมื่อได้ยินเรื่องของหนานเฟิงแล้วก็ทำให้มีท่าทีใจอ่อนขึ้นมา ฮูหยินอวี้จึงได้รีบกล่าว “ท่านพี่ ท่านนั้นทิ้งหลินหนานเฟิงไปตั้งนานหลายปี เขาคงจะเกลียดชังท่านมากอย่างแน่นอน แล้วจะให้พาเขากลับมาที่จวนมหาเสนาบดีในเวลานี้มันจะไปได้เรื่องอะไร?”
มหาเสนาบดีหลินก็ได้รู้สึกลังเล เขานั้นรู้ดีว่าเขาได้ทำอะไรลงไปกับเด็กคนนั้นบ้าง จึงใคร่ครวญกับคำพูดของฮูหยินอวี้
หลินซีเหยียนก็ได้แอบประชดประชันในใจ เมื่อหลายปีก่อนหนึ่งในสองคนนี้ได้ปฏิเสธที่จะรับเขาเป็นลูกเพราะว่าเขาต้องการที่จะแต่งกับแม่ของนาง ในขณะที่อีกคนก็มีความสุขกับการทำร้ายเด็กคนหนึ่งเพื่อระบายความไม่พอใจของตัวเอง
แล้วพวกเขาจะมาคิดสำนึกตอนนี้งั้นเหรอ?
แต่ไม่ว่าทั้งคู่จะคิดอะไรอยู่ หลินซีเหยียนก็ยังคิดจะให้หลินหนานเฟิงเข้าบ้านมหาเสนาบดีอย่างเปิดเผยอยู่ดี นางจึงได้กล่าวด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล “จะไปเกลียดชังได้เช่นไร เลือดย่อมข้นกว่าน้ำอยู่แล้ว ขอเพียงท่านมหาเสนาบดีหลินยินดีที่จะชดเชยให้กับเขาแล้ว พี่ใหญ่หลินจะไม่ถือโทษโกรธท่านอย่างแน่นอน”
“ดูเหมือนว่าคุณหนูรองจะมีความสัมพันธ์อันดีกับพวกชนชั้นต่ำเหลือเกินนะ!” ดวงตาของฮูหยินอวี้ก็ได้มืดดำลง นางนั้นรับรู้ได้ถึงแผนของหลินซีเหยียนรางๆแต่นางไม่อาจที่จะบอกเหตุผลออกมาได้ นางจึงได้พยายามที่จะห้ามมหาเสนาบดีหลินให้ได้
“ในเวลานี้พี่ใหญ่หลินนั้นเป็นเลิศมาก เขานั้นชำนาญทั้งบุ๋นและบู๊ และยังปรารถนาที่จะเรียกรู้เพิ่มเติมอีกด้วย”
หลินซีเหยียนนั้นไม่ได้ตอบเรื่องของความสัมพันธ์ของนางกับหลินซีเหยียน เพราะนางนั้นรู้อยู่แล้วว่ามหาเสนาบดีหลินนั้นเป็นคนเช่นไร หลังจากที่พูดไปเช่นนั้นแล้ว นางก็ได้หันหน้ามาหามหาเสนาบดีหลินแล้วกล่าว “ในเวลานี้พี่ใหญ่หลินนั้นยังอาศัยอยู่ในโรงเตี๊ยมในเมืองหลวง และอาจจะออกไปเมื่อไรก็ได้ ท่านมหาเสนาบดีหลินจะต้องรีบตัดสินใจ”
หลังจากที่ขัดแย้งกันอย่างดุเดือดในหัว มหาเสนาบดีหลินก็ได้กัดฟันและตัดสินใจ “ในเมื่อเขาเป็นทายาทของข้า ข้าก็จะไม่ปล่อยให้เขาร่อนเร่อีก ข้าเสียใจที่จะต้องบอกว่าพรุ่งนี้เจ้าไปพาพี่ใหญ่ของเจ้ากลับมาที่จวนได้!”
ฮูหยินอวี้ก็แทบจะตาเหลือกเมื่อได้ยินคำพูดนี้ ในวันนี้มีเรื่องแย่ๆเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ราวกับว่านางนั้นกำลังถูกเทพยาจกเข้าสิงยังไงอย่างงั้น
ทำให้นางนั้นคิดว่าควรที่จะไปเข้าวัดเข้าวาเสียบ้างเพื่อขับไล่โชคร้ายออกไป แต่แล้วนางก็รู้สึกได้ถึงสายตาขบขันของหลินซีเหยียน “ฮูหยินอวี้ ดูเหมือนว่าท่านจะไม่อยากให้ท่านพี่ใหญ่กลับมาเหลือเกินนะ?”
คำพูดของหลินซีเหยียนนั้นได้ทำให้มหาเสนาบดีหลินเกิดความสนใจขึ้นมา ทำให้ฮูหยินอวี้นั้นทำได้แค่กัดฟันและฝืนปั้นหน้ายิ้มเอาไว้ “จะเป็นไปได้อย่างไรกัน? อย่างไรเสียหนานเฟิงนั้นก็เป็นลูกชายของท่านมหาเสนาบดีทั้งคนนะ”
“ถ้าเช่นนั้นก็ดี” หลินซีเหยียนก็ได้พูดทิ้งท้ายเอาไว้ก่อนที่จะกลับไป