จะไม่สนใจได้เหรอ? เหมียวอี้ถามใจตัวเองเช่นกัน แน่นอนว่าคำตอบคือไม่มีทาง เพราะมีเหตุผลเยอะเกินไปแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นที่นี่ก็ยังมีคนใหม่จำนวนมากให้หกลัทธิเลี้ยง นี่ไม่ใช่เล่ห์เพทุบายแล้ว แต่เป็นเล่ห์เพทุบายที่โจ่งแจ้งสง่าผ่าเผย!
เขาแอบทอดถอนใจ การที่นำหยางชิ่งเข้ามาในแดนอเวจี ก็ได้ทำลายความสงบของหกลัทธิที่ถูกขังอยู่ในแดนอเวจีมาหลายปีแล้วจริงๆ ตอนนี้หกลัทธิได้สนุกแน่
“อืม!” เหมียวอี้พยักหน้า ถือว่าตอบตกลงแล้ว
ทั้งสองปรึกษารายละเอียดกันอีกรอบ และไม่นานก็เรียกคนของหกลัทธิมา ในตำหนักประชุมงาน เหมียวอี้ได้อธิบายเจตนาไว้อย่างชัดเจนแล้ว
บุคคลระดับสูงของหกลัทธิมองหน้ากันเลิกลั่ก เรียกได้ว่าทั้งตกใจทั้งดีใจ ชั่วขณะนั้นไม่รู้ว่าจะตอบตกลงหรือไม่ตอบตกลงดี พวกเขาพากันบอกว่าจะกลับไปขอความเห็นจากนายท่านก่อน ที่จริงแล้วต้องขอเวลาพิจารณาสักหน่อย
เหมียวอี้ไม่อยากให้พวกเขาชักช้า จึงกดดันพวกเขานิดหน่อย “พรุ่งนี้ก็จะออกเดินทางแล้ว หวังว่าทุกคนจะให้คำตอบกับข้าอย่างเร็วที่สุด”
คำตอบก็เป็นอย่างที่หยางชิ่งคาดไว้ ไม่นานหกลัทธิก็ร่างรายชื่อสมาชิกที่จะออกไปออกมาแล้ว
ลัทธิผีส่งเหลิ่งจัวฉุนหัวหน้ากลุ่ม ลัทธิพุทธส่งกุยอู๋มาเป็นหัวหน้ากลุ่ม ลัทธิมารส่งตานฉิงมาเป็นหัวหน้ากลุ่ม ลัทธิมารส่งจ่างหงมาเป็นหัวหน้ากลุ่ม ลัทธิ้ซียนส่งเมิ่งหรูมาเป็นหัวหน้ากลุ่ม ลัทธิอู๋เลี่ยงส่งอ๋าวเถี่ยเป็นหัวหน้ากลุ่ม
ถึงแม้จะร่างรายชื่อออกมาแล้ว แต่บางคนก็ไม่ได้รู้สึกสงบใจ มู่ฝานจวินเชิญประมุขขุนพลจ่างซุนจูมาดื่มน้ำชาด้วยกันแล้ว
ทั้งสองคุยเรื่องส่งสมาชิกออกไปรับช่วงต่ออำนาจข้างนอกอย่างเลี่ยงไม่ได้ จ่างซุนจูก่าวอย่างสะเทือนอารมณ์ว่า “โดนขังมาหลายปีขนาดนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่จะมีคนของหกลัทธิออกไปจากที่นี่”
มู่ฝานจวินเตือนด้วยรอยยิ้มบางๆ “ที่จริงขอเพียงเต็มใจ ไม่แน่ว่าอาจจะได้ออกไปทุกคนก็ได้นะ”
“หืม หมายความว่ายังไงขอรับ?” จ่างซุนจูแปลกใจ
มู่ฝานจวินยกถ้วยสุราจ่อตรงปาก แล้วกล่าวอย่างใจเย็น “ทำให้เหมียวอี้ยอมบอกเส้นทางเข้าออกก็พอแล้ว”
จ่างซุนจูส่ายหน้า “ท่านคิดว่าเขาจะส่งมาให้เหรอ?”
“ขอเพียงทุกคนมีใจเป็นหนึ่งเดียวกัน ก็ต้องมีวิธีการกดดันให้เขาบอกอยู่แล้ว” มู่ฝานจวินกล่าว
“กดดัน?” จ่างซุนจูขมวดคิ้วเล็กน้อย “เรื่องบางเรื่องไม่ได้ง่ายอย่างที่ประมุขปราชญ์คิด ถ้าสามารถกดดันได้จริงๆ เกรงว่าคงจะกดดันไปนานแล้ว แล้วถ้าเรากดดันเขา ก็เกรงว่าคงจะไม่มีใครได้ออกจากแดนอเวจีเลย คนที่หนุนหลังเหมียวอี้ไม่ได้ธรรมดาขนาดนั้น”
“ไม่ธรรมดายังไง?” มู่ฝานจวินวางถ้วยน้ำชาลง แล้วก้มหน้าลงเล็กน้อย “ใช่ประมุขไป๋รึเปล่า?”
จ่างซุนจูตกใจทันที “ประมุขปราชญ์ทราบด้วยเหรอ?”
มู่ฝานจวินยิ้มมุมปากหยอกล้อ “สงสัยข้าจะเดาไม่ผิด! ข้าก็แค่ไม่เข้าใจ ว่าคนคนหนึ่งที่แม้กระทั้งหน้ายังไม่โผล่มา แต่กลับจับคนกลุ่มใหญ่อย่างพวกเรามาเป็นหมากได้แบบนี้ ประมุขขุนพลจะยอมจริงๆ เหรอ?”
จ่างซุนจูเงียบไป สุดท้ายก็ส่ายหน้าบอกว่า “ถึงแม้ประมุขปราชญ์จะเดาออกแล้ว แต่เกรงว่าคงจะไม่รู้ถึงความน่ากลัวของประมุขไป๋น่ะสิ”
“น่ากลัวขนาดไหน? ข้ายินดีจะฟัง!” มู่ฝานจวินกล่าวอย่างสนใจ
จ่างซุนจูส่ายหน้าอีกครั้ง “เรื่องบางเรื่องไม่สะดวกจะพูด เพราะว่าในปีนั้นได้สาบานไว้แล้ว ถ้าประมุขปราชญ์ยังความจำดีอยู่ ก็น่าจะจำได้ถึงเหตุการณ์ที่ห้าปราชญ์กลั่นแกล้งเหมียวอี้ครั้งก่อน ประมุขปราชญ์รู้หรือเปล่าว่าทำไมพวกเราถึงหยุดยั้งไม่ให้ห้าปราชญ์กลั่นแกล้งต่อไปได้ทันเวลา?”
มู่ฝานจวินตอบว่า “นี่ก็คือสุดที่ข้าสงสัยพอดี น่าเสียดายที่ก่อนหน้านี้ประมุขขุนพลไม่ยอมบอกเลย หรือว่าวันนี้จะยอมบอกแล้วล่ะ”
จ่างซุนจูจ้องตานางพร้อมกล่าวช้าๆ ว่า “ตอนที่ห้าปราชญ์เพิ่งจะกลั่นแกล้งเหมียวอี้ คนของประมุขไป๋ก็มาเตือนพวกเราทันที ถามว่าพวกเราอยากรนหาที่ตายเหรอ!”
มู่ฝานจวินเบิกตาโตขึ้นหลายเท่า นางตกใจไม่เบา
จ่างซุนจูพูดต่อไปว่า “ประมุขปราชญ์ลองคิดถึงเรื่องที่ฐานข้างนอกโดนกวาดล้างอีกครั้งสิ ฐานลับสิบแห่งถูกกวาดล้างพร้อมกัน ไม่ให้แม้กระทั่งเวลาบอกข่าว คงไม่ต้องให้ข้าพูดมากว่าหมายความว่ายังไง อย่างน้อยก็มีอยู่จุดหนึ่งที่สามารถพิสูจน์ได้ นั่นก็คือทั้งข้างในและข้างนอกของหกลัทธิถูกประมุขไป๋ควบคุมไว้เข้มงวดมาก ถ้ากดดันให้เหมียวอี้บอกทางเข้าออกแล้วยังไงล่ะ ทุกคนจะรอดชีวิตออกจากแดนอเวจีได้รึเปล่ายังเป็นปัญหาเลย”
เห็นได้ชัดว่ามู่ฝานจวินยังไม่ยอมแพ้ “พวกเรามีพรมแดนธรรมชาติที่อันตราย แม้แต่โจรกบฏตำหนักสวรรค์ยังทำอะไรพวกเราไม่ได้เลย ยังจะกลัวประมุขไป๋ที่เหลือแต่ชื่อเชียวเหรอ!”
จ่างซุนจูจึงบอกว่า “ไม่ใช่ว่าโจรกบฏตำหนักสวรรค์ทำอะไรพวกเราไม่ได้ ประมุขปราชญ์คิดจริงๆ เหรอว่าหลายปีมานี้ไม่มีใครช่วยเหลือพวกเรา อาศัยแค่พวกเราก็เฝ้าแดนอเวจีได้แล้วงั้นเหรอ? ถ้าไม่มีคนช่วยเหลือ หกลัทธิคงหายไปนานแล้ว! พรมแดนธรรมชาติที่อันตรายนั้นเป็นเรื่องน่าขำ อาศัยที่เหมียวอี้สามารถไปมาแดนอเวจีได้อย่างอิสระ ประมุขปราชญ์ยังไม่เข้าใจอีกเหรอ? มีคนรู้จักแดนอเวจีมากกว่าพวกเรา!”
“เฮอะ…” มู่ฝานจวินแสยะยิ้ม วางถ้วยน้ำชาลงแล้วกำแบชื่นชมนิ้วทั้งห้าซ้ำไปซ้ำมา พลางพึมพำกับตัวเองว่า “หมาก หมาก หมากที่ออกจากกระดานไม่ได้…”
จ่างซุนจูลุกขึ้นยืน ถอนหายใจแล้วบอกว่า “ประมุขปราชญ์ เรื่องบางเรื่องไม่จำเป็นต้องคิดมากแล้ว คิดไปในทางที่ดีหน่อยก็ได้ ประมุขไป๋ต้องการจะทำอะไรก็เข้าใจได้ไม่ยากหรอก ในเมื่อมีผลประโยชน์ร่วมกันนั้นไม่ใช่เรื่องดีหรอกเหรอ? ไม่กลัวว่าพลังของประมุขไป๋จะแข็งแกร่งหรอก กลัวก็แต่พลังของเขาจะแข็งแกร่งไม่พอ ยิ่งเขาแข็งแกร่งมากเท่าไร โอกาสที่พวกเราจะทำสำเร็จก็ยิ่งมีมาก ไม่อย่างนั้นถ้าอาศัยแค่พวกเรา ต่อให้ออกไปข้างนอกแล้วจะทำอะไรได้ล่ะ? อย่างมากก็แค่ก่อกวนโจรกบฏตำหนักสวรรค์ได้นิดหน่อย สร้างผลกระทบอะไรมากไม่ได้ ร่วมงานกับประมุขไป๋ได้ประโยชน์มากกว่าโทษ ทั้งยังปกป้องแดนอเวจีเพื่อให้พวกเรามีโอกาสเติบโตได้ด้วย ดังนั้น…ที่จริงแล้วความคิดบางอย่างก็ไม่จำเป็นเลย เรื่องบางเรื่องทำไปแล้วก็อาจจะไม่ใช่เรื่องดีด้วยซ้ำ ถ้าประมุขปราชญ์ไม่มีอย่างอื่นจะกำชับแล้ว ข้าน้อยขอตัวก่อน!” เมื่อเห็นมู่ฝานจวินไม่ตอบอะไร เขาก็กุมหมัดคารวะเดินออกไปแล้ว
“เชอะ…” มู่ฝานจวินแสยะยิ้มอีกครั้ง จากนั้นหลับตาลงช้าๆ แล้วพึมพำกับตัวเอง “เป็นหมาก…”
จ่างซุนจูที่ออกมาจากตำหนักข้างในหันกลับไปมองประตูตำหนัก ขณะที่เดินก้าวยาวออกมาอีกครั้ง ก็พึมพำว่า “ยายแก่นแก้วนั่นเป็นคนที่ประมุขไป๋ส่งมาแท้ๆ ยังคิดจะมาสืบดูปฏิกิริยาของข้าอีกเหรอ?”
วันต่อมา เหมียวอี้ออกจากแดนอเวจีเพียงลำพังแล้ว
ตอนอยู่ที่พิภพใหญ่ วิ่งเต้นบากบั่นไปทั่วดาราจักรมาหลายปีขนาดนี้ ยังไม่เคยมีครั้งไหนที่มั่นใจเต็มเปี่ยมเหมือนครั้งนี้เลย สาเหตุก็ไม่ใช่เพราะอะไร เพราะในกระเป๋าสัตว์ของเขามีนักพรตระดับพลังอิทธิฤทธิ์อนันตภาพหกสิบกว่าคน ไม่ว่าเจอใครก็กล้าปะทะทั้งนั้น
ทว่าเพิ่งออกจากแดนอเวจีได้ไม่กี่วัน ระหว่างที่อยู่ในดาราจักรก็ได้รับข้อความจากโค่วเจิง บอกว่าจะไปที่จวนแม่ทัพภาคตลาดผีด้วยตัวเองสักรอบ เพราะมีเรื่องจะปรึกษากับเขา
เหมียวอี้ถามว่ามีเรื่องอะไร โค่วเจิงก็บอกว่ารอให้เจอหน้าก่อนแล้วค่อยบอก ทำให้เหมียวอี้พูดไม่ออก ไม่รู้ว่ามีเรื่องอะไรถึงต้องมาหาด้วยตัวเอง
รอจนกระทั่งออกห่างจากแดนอเวจีไกลแล้ว เหมียวอี้ถึงได้หยุดพักบนดาวเคราะห์ที่รกร้างดวงหนึ่ง แล้วเรียกหกสิบกว่าคนนั้นออกมา
คนพวกนี้มองไปรอบๆ แทบจะหยิบแผนที่ดาวออกมาเทียบตำแหน่งพร้อมกัน แล้วไม่นานแต่ละคนก็ทำสีหน้าตื่นเต้นฮึกเหิมแล้ว
“ในที่สุดก็ออกมาแล้ว ฮ่าๆๆๆ…” ตานฉิงกางแขนสองข้างพลางหัวเราะไม่หยุด
เหมียวอี้รอไปสักประเดี๋ยว รอให้คนพวกนี้ระบายอารมณ์ตื่นเต้นดีใจออกมาพอสมควรแล้ว ถึงได้ยิ้มพร้อมบอกว่า “ทุกคน ขออภัยที่ส่งได้แค่ตรงนี้ ทุกคนจะต้องแยกกันตรงนี้แล้ว ระมัดระวังตัวไว้ตลอดทางนะ ข้าไปก่อนล่ะ”
พอคนกลุ่มนี้เรียสติกลับมาจากความตื่นเต้นดีใจ ก็กุมหมัดคารวะพร้อมกัน “ราชาปราชญ์รักษาตัวด้วย!”
เหมียวอี้พยักหน้าเบาๆ แล้วแฉลบขึ้นไปบนดาราจักร เดินทางไปข้างหน้าต่อ
รอจนกระทั่งเหมียวอี้มาถึงจวนแม่ทัพภาคตลาดผี โค่วเจิงก็มาถึงก่อนเขาหลายวันแล้ว พอมาถึงก็ไม่ได้คุยกับคนอื่นมากนัก เขาเดินเข้าไปกุมหมัดคารวะขอโทษโค่วเจิงในห้องโดยตรง “พี่ใหญ่โค่วโปรดอภัย ข้ากลับมาช้าแล้ว”
โค่วเจิงมองไปทางอวิ๋นจือชิวที่เดินเข้ามาพร้อมกันแวบหนึ่ง แล้วขมวดคิ้วถามว่า “เจ้าไปไหนมา แม้แต่น้องเจ็ดก็ไม่รู้ว่าเจ้าไปไหน”
เหมียวอี้ยิ้มแห้ง “ไปเดินเล่นที่ตลาดมืดมาขอรับ”
โค่วเจิงขมวดคิ้วมุ่นยิ่งกว่าเดิม ยื่นมือบอกใบ้ให้สองสามีภรรยานั่งลง หลังจากตัวเองนั่งลงแล้ว ถึงได้บ่นว่า “น้องเขย ข้าไม่ได้จะตำหนิเจ้านะ แต่ต่อไปนี้เจ้าต้องพยายามออกจากจวนแม่ทัพภาคให้น้อยๆ ลงหน่อย นี่ก็คือจุดประสงค์ที่ข้ามาที่นี่”
เหมียวอี้กับอวิ๋นจือชิวสบตากันแวบหนึ่ง ไม่เข้าใจว่าหมายความว่าอะไร อวิ๋นจือชิวจึงลองถามว่า “พี่ใหญ่ ทำไมเหรอคะ?”
โค่วเจิงถอนหายใจแล้วบอกว่า “เดิมทีตระกูลโค่วกับตระกูลเซี่ยโห้วแลกเปลี่ยนผลประโยชน์กัน พวกเขารับประกันความปลอดภัยของเจ้าที่ตลาดผี ที่การประชุมราชสำนักพวกเราผลักดันให้ราชินีสวรรค์มีทายาท แต่ใครจะคิดว่าเรื่องราวจะเกิดการเปลี่ยนแปลงนิดหน่อย เพราะฝ่าบาทตอบตกลงเร็วกว่าที่คาดไว้ ที่การประชุมในหลายวันมานี้ ฝ่าบาทรับปากแล้วว่าจะพยายามมีทายาทกับราชินีสวรรค์ พอเป็นแบบนี้ ถ้าราชินีสวรรค์ตั้งครรภ์ขึ้นมาจริงๆ ตระกูลโค่วก็จะหมดประโยชน์ให้ใช้งานเรื่องนี้แล้ว น้องเขย เจ้ามีเรื่องกับคนไว้เยอะเกินไปแล้ว ผลที่ตามมาจะเป็นยังไงเจ้าคงรู้ชัด!”
เมื่อได้ยินเขาพูดแบบนี้ ความรู้สึกถึงอันตรายใหญ่หลวงก็ถาโถมเข้ามา ทำให้สองสามีภรรยารู้สึกเครียด ถึงแม้จะไม่มีใครกล้าบุ่มบ่ามแตกต้องเขยของตระกูลโค่ว แต่ถ้ามีคนแอบใช้วิธีการสกปรกล่ะ เหมียวอี้ล่วงเกินคนไว้มากมายขนาดนั้น ถ้าจับจุดอ่อนของเขาได้ขึ้นมา เกรงว่าจะตัดสินได้ยากว่าใครกันแน่ที่เป็นผู้ลงมือ
ถ้าพูดจากอีกมุมหนึ่ง อวิ๋นจือชิวยอมรับแล้วว่าการรับอ๋องสวรรค์โค่วเป็นพ่อบุญธรรมได้นำอันตรายมาให้เหมียวอี้มากยิ่งขึ้น ถ้าเหมียวอี้ยังไม่ค่อยมีคนหนุนหลังเหมือนก่อนหน้านี้ อีกฝ่ายก็คงไม่ต้องยกระดับในการลงมือกับเหมียวอี้สูงเท่าไรนัก แต่ตอนนี้ต่างออกไปแล้ว ผลสะท้อนกลับที่เกิดจากการปกป้องของอ๋องสวรรค์โค่วก็มีเยอะพอสมควร เมื่อไปคลุกคลีอยู่กับระดับไหน ก็ย่อมดึงดูดระดับนั้นให้มาสนใจ
บอกได้เพียงว่าต่อให้คาดการณ์มารอบคอบขนาดไหน แต่ก็ยังนึกไม่ถึงว่าประมุขชิงจะจับเหมียวอี้โยนมาที่ตลาดผี ถ้ามาอยู่ที่ทัพเหนือของอ๋องสวรรค์โค่ว ภายใต้กำลังทหารที่คุ้มกันอย่างแน่นหนา ก็ไม่ต้องเกรงกลัวใครทั้งนั้น และครั้งนี้ก็นึกไม่ถึงด้วยว่าประมุขชิงจะตอบตกลงเรื่องทายาทกับราชินีสวรรค์เร็วขนาดนี้ ทำให้การปกป้องจากตึกศาลาสัตยพรตสั่นคลอน
โค่วเจิงเปลี่ยนประเด็นสนทนา “พวกเจ้าก็ไม่ต้องกังวลมากจนเกินไปนัก ถึงยังไงตลาดผีก็เป็นอาณาเขตของตระกูลเซี่ยโห้ว ตึกศาลาสัตยพรตปกป้องตลาดผีก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลอยู่แล้ว ถึงยังไงจวนแม่ทัพภาคก็เฝ้าอาณาเขตให้ตำหนักสวรรค์แต่ในนาม ตึกศาลาสัตยพรตไม่มีทางปล่อยให้คนมาก่อเรื่องได้ตามอำเภอใจ ต่อให้มีคนจงใจจะทำอย่างนั้น แต่ก็ไม่มีทางปล่อยให้จุดอ่อนตกอยู่ในมือตึกศาลาสัตยพรตง่ายๆ แต่ก็พยายามอย่าออกไปข้างนอก ถ้าจำเป็นต้องออกไปข้างนอกจริงๆ ก็ให้ติดต่อกับตระกูลโค่วก่อน เดี๋ยวที่บ้านจะส่งยอดฝีมือมาคุ้มกัน”
เหมียวอี้รู้สึกเซ็ง ไม่ใช่ว่าตัวเองโดนตระกูลโค่วจับตาดูตั้งแต่ตอนออกไปแล้วหรอกเหรอ
อวิ๋นจือชิวแววตาวูบไหว แล้วบอกพร้อมรอยยิ้มว่า “เรื่องแบบนี้พี่ใหญ่แค่ส่งข่าวมาบอกก็พอแล้ว จะกล้าให้พี่ใหญ่ลำบากมาด้วยตัวเองได้ยังไงกัน”
โค่วเจิงมองนางพร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “นี่เป็นประสงค์ของท่านพ่อ เพื่อป้องกันเหตุไม่คาดคิด ท่านพ่อให้ข้ามารับเจ้ากลับไปที่จวนอ๋องสวรรค์ด้วยตัวเองเลย อย่าให้ทั้งสองเสี่ยงอันตรายอยู่ด้วยกัน สามารถหลบหลีกอันตรายได้ส่วนหนึ่งก็ยังดี”
สองสามีภรรยาอึ้งทันที จากนั้นก็สบตากันแวบหนึ่ง เป็นประสงค์ของโค่วหลิงซวี แถมโค่วเจิงยังถ่อมาตั้งไกลด้วยตัวเองอีก ทำให้ทั้งสองปฏิเสธลำบากจริงๆ
“ท่านสามีคิดว่ายังไงคะ?” อวิ๋นจือชิวทำได้เพียงยิ้มพร้อมถามเหมียวอี้
เหมียวอี้เงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบว่า “ที่พี่ใหญ่พูดก็มีเหตุผล เจ้ากลับไปที่จวนอ๋องสวรรค์ก่อนจะดีกว่า”
อวิ๋นจือชิวพยักหน้าเบาๆ “งั้นก็ว่าตามท่านสามีแล้วกัน”
จากนั้นทั้งสองก็ขอตัว บอกว่าต้องขอเวลาเก็บของสักหน่อย โค่วหลิงซวีบอกให้รีบเร่งให้เร็วที่สุด
หลังจากทั้งสองกลับมาที่ห้องตัวเองแล้ว อวิ๋นจือชิวปิดประตูแล้วหันกลับมาถามว่า “โค่วเจิงมารับข้าด้วยตัวเอง ยิ่งใหญ่เกินไปหน่อยรึเปล่า?”
เหมียวอี้หันหน้าเข้าหาภาพที่แขวนอยู่บนผนัง แล้วครุ่นคิดคิดพลางส่ายหน้า “ข้าไม่เข้าใจเลย จะต้องมีสาเหตุอะไรที่พวกเราไม่รู้แน่นอน แค่ตอนนี้โค่วเจิงมาด้วยตัวเอง แล้วก็เอ่ยชื่อโค่วหลิงซวีด้วย อีกฝ่ายสนใจความปลอดภัยของเจ้าขนาดนี้ เจตนาดีแบบนี้จะปฏิเสธยังไงล่ะ?”
…………………………