บทที่ 230
รักษาสัญญา
อย่างไรก็ตาม นางที่เป็นถึงลูกศิษย์ของนักปราชญ์ เสียนอวิ๋น ผู้ที่ปราดเปรื่องมากที่สุดในแผ่นดินนี้ และนางที่เป็นลูกศิษย์ของเขากลับพ่ายแพ้หลินซีเหยียนอย่างนั้นเหรอ?
ไม่ว่าจะเป็นหมอผีหรือไป๋รุ่น ทำไมพวกเขาถึงมักเห็นหลินซีเหยียนอยู่ในสายตาของพวกเขาเสมอ?
สูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วหลินรั่วจิ่งก็ได้ปลุกใจตัวเองขึ้นมา หลังจากนี้นางจะพึ่งพาความสามารถของตัวเองเพื่อที่จะเอาชนะและให้ได้การดูแลเช่นเดียวกันกับหลินซีเหยียนให้ได้
หลังจากที่ตั้งมั่นเช่นนี้ หลินรั่วจิ่งก็ได้เข้าไปที่หอเสียงสัมผัสสมบูรณ์พร้อมกับคนอื่นๆ
ในเวลานี้หลินซีเหยียนกับคนอื่นๆก็ได้ไป๋รุ่นเดินนำพาเข้าไปในหอเสียงสัมผัสสมบูรณ์ การตกแต่งภายในหอแห่งนี้นั้นให้ความรู้สึกที่สง่างามแต่แฝงด้วยความซ่อนเร้น ซึ่งไม่ได้ทำให้รู้สึกไม่ดีอะไร โดยเฉพาะดอกไห่ถึงที่บานเต็มสวนนั้นงดงามอย่างมาก
แล้วสายลมก็เหมือนจะนำพากลิ่นหอมของดอกไม้ลอยมา แม้จะเบาบางแต่ก็ทำให้ลุ่มหลง
ไป๋รุ่นนั้นก็ได้เพ่งความสนใจไปที่ท่าทีของหลินซีเหยียน เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายนั้นพึงพอใจอย่างมากแล้ว เขาก็ได้เปิดปากออกมา “เข้าไปที่ห้องส่วนตัวเพื่อดื่มชากันก่อน แล้วจากนั้นค่อยเข้าไปด้านในเพื่อไปร่วมสนุกกัน”
ในเวลานี้หลินซีเหยียนก็ไม่ได้ปฏิเสธอะไร แล้วก็ได้เข้าไปในห้องที่ดูกว้างขวางมากและไร้ซึ่งสายตาของผู้คน ส่วน เจียงหวายเย่ก็ไม่ได้ปิดบังตัวตนใดๆ และนอนเอกเขนกอยู่บนโซฟา
แล้วก็พูดออกมาอย่างติดตลก “ไม่เลว เจ้าอยู่ที่นี่อย่างสุขสบายจริงๆนะ”
ไป๋รุ่นก็ได้ยิ้มและส่ายหัว แล้วเขาก็ได้ชงชาด้วยตัวเองแล้วรินใส่แก้วมาเสิร์ฟให้เจียงหวายเย่ “องค์ชายก็กล่าวชมเกินไป ถ้าข้าไป๋รุุ่นสามารถอยู่อย่างสุขสบายๆได้จริง ก็คงไม่ต้องพึ่งใบบุญองค์ชายหรอก”
แล้วในเวลานี้ดวงตาของหลินซีเหยียนก็ปรากฏแววตาชัดเจนขึ้นมา อย่างที่คิดไว้จริงๆ เจียงหวายเย่นั้นมีทรัพย์สินมากมายและอะไรหลายอย่างที่นางนั้นไม่รู้
เมื่อรู้สึกได้ถึงบรรยากาศไม่พอใจ เจียงหวายเย่ก็ได้รีบลุกขึ้นมานั่ง แล้วมองไปที่หลินซีเหยียนแล้วกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “เสี่ยวเหยียนเอ๋อ เราจะแนะนำเจ้านะ ชื่อของเขาคือไป๋รุ่น เขาเป็นหนึ่งในเพื่อนอันน้อยนิดของเปิ่นหวาง”
หลินซีเหยียนก็ได้กะพริบตา เพราะนางนั้นไม่เคยได้ยินคำว่า “เพื่อน” ออกมาจากปากของเขาตั้งแต่ที่นางรู้จักกับ เจียงหวายเย่มา ไป๋รุ่นนั้นจะต้องเป็นตัวตนที่สำคัญสำหรับ เจียงหวายเย่แน่
ไป๋รุ่นก็ได้หยิบเอาจี้หยกออกมาอีกหนแล้วกล่าวอย่างนุ่มนวล “แม่นางหลิน องค์ชายกับข้านั้นมีความสัมพันธ์กันมานานหลายปีแล้ว แต่ข้ากลับไม่ได้เตรียมอะไรมาไว้เลย จะมีก็แต่ จี้หยกเส้นนี้มอบให้เป็นของขวัญพบหน้าในครั้งนี้ ขอให้แม่นางได้โปรดรับไว้ด้วย”
หลินซีเหยียนก็ได้ลังเลอยู่พักหนึ่งและปฏิเสธไป “ข้าขอรับแค่ความตั้งใจของท่านก็พอ ส่วนหยกชิ้นนี้มันมีค่ามากเกินไป ข้ารับไว้ไม่ได้จริงๆ”
จริงๆแล้ว ในใจของหลินซีเหยียนนั้นอยากได้มาก! อย่างไรเสียนั้นมันจี้หยกที่ประเมินราคาไม่ได้เลยนะ!
แต่มีหรือที่เจียงหวายเย่นั้นจะเดาความคิดของ หลินซีเหยียนไม่ออก เขาจึงได้รีบความจี้หยกอันนั้นเอาไว้แล้วกล่าว “ไม่เป็นไรนะ เสี่ยวเหยียนเอ๋อ เดี๋ยวเปิ่นหวางจะรับสิ่งนี้ไว้ให้เจ้าเอง”
แล้วใบหน้าของหลินซีเหยียนก็ได้แดงขึ้นมา แล้วนางก็ได้หยิกเจียงหวายเย่อย่างแรกในที่ที่ไป๋รุ่นมองไม่เห็น
เจียงหวายเย่ก็ได้ร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดในทันที แต่ก็ยังพูดพอพูดออกมาได้ “เสี่ยวเหยียนเอ๋อไม่ต้องสุภาพกับเขามากนักก็ได้ อย่างไรเสียคนคนนี้ก็ไม่เคยสุภาพกับเปิ่นหวางเลย”
ในเวลานี้สีหน้าของหลินซีเหยียนก็ได้กลับมาเป็นปกติ แล้วนางก็ผงกหัวและกล่าว “งั้นเหรอ ถ้าเช่นนั้นข้าก็ไม่เกรงใจล่ะนะ”
หลังจากที่พูดจบ หลินซีเหยียนก็ได้ฉกเอาจี้หยกนั้นมาจากเจียงหวายเย่ทันที
ไป๋รุ่นก็ได้หัวเราะเบาๆแล้วรู้สึกว่าทั้งสองคนนี้ที่อยู่ตรงหน้าเขานี้ช่างเหมาะสมกันเสียจริงๆ จากนั้นเขาก็ได้นึกถึงภรรยาของเขาที่เสียไปตั้งแต่ยังสาว
และได้ปรากฏความเศร้าจางๆที่คิ้วของเขา
หลังจากที่ดื่มชาเสร็จเรียบร้อย ไป๋รุ่นก็ได้พา หลินซีเหยียนกับเจียงหวายเย่มาที่ห้องโถงใหญ่ ในเวลานี้ที่ห้องโถงนั้นคึกคักอย่างมาก และมีเหล่าสาวงามและหนุ่มหล่อมากมายมารวมกันอยู่ที่แห่งนี้
ทันทีที่พนักงานในหอเสียงสัมผัสสมบูรณ์เห็นไป๋รุ่น ก็ได้ตะโกนขึ้นมาทันที “การแข่งขันใหญ่ของหอเสียงสัมผัสสมบูรณ์จะเริ่มต้นขึ้น ณ บัดนี้”
มีการแข่งขันสองรอบในการแข่งขันใหญ่ของหอเสียงสัมผัสสมบูรณ์
โดยรอบแรกจะเป็นการประชันการแต่งบทกลอนภายในเวลาที่กำหนด
แล้วรอบสองจะเป็นการแข่งแบบเผชิญหน้ากันเป็นคู่
ซึ่งในแต่ละรอบ จะมีการให้ลงคะแนนกัน โดยทุกคนจะมีโอกาสได้ลงคะแนนหมด ผลการแข่งจึงได้ยุติธรรมมาก
ท่ามกลางบรรยากาศที่ร้อนแรงโดยที่เปรียบเปรยไม่ได้นี้ ไป๋รุ่นก็ได้เลือกใช้ดอกไม้เป็นหัวข้อให้ทุกคนใช้นำมาแต่งเป็นกลอน
หลังจากที่ผ่านไปได้ไม่นานนัก ไฉ่อันเชิงก็ได้โผล่มาด้านหน้าแล้วเงยหน้าขึ้นมา แล้วเขาก็ได้ยืดอกและกล่าวด้วยความมั่นใจ “ดอกบัวบานกลางฤดูร้อน วิงวอนช้อนคลื่นออกเป็นวงพลัน ทั้งสองสิ่งล้วนพึ่งพากัน ทำให้เกิดภาพอันน่าอัศจรรย์ให้ได้ชม”
แล้วผู้คนรอบตัวเขาต่างก็ปรบมือแล้วกล่าว “กลอนดี”
ไป๋รุ่นก็ได้คิ้วขมวด กลอนเช่นนี้ก็เรียกได้ว่าธรรมดามาก ตรงไหนกันที่ว่าดีกัน?
หลังจากนั้น ในบรรดาคนทั้งหมดก็ได้มีแต่งกลอนออกมาอย่างบางตา ซึ่งนอกจากกลอน “ดอกโบตั๋น” ของหลินรั่วจิ่งที่ว่าเข้าหูของไป๋รุ่นแล้ว นอกนั้นก็เรียกได้ว่าแพ้หมด
ในเวลานี้ไม่มีบทกลอนไหนส่งเข้ามาในห้องโถงใหญ่นี้อีกเลย จะเหลือก็เพียงคน 3 คนกับเด็กอีก 1 เท่านั้น
แล้วทุกคนก็ล้วนจับจ้องไปที่หลินซีเหยียน แต่ หลินซีเหยียนก็ได้หันไปมองที่เจียงหวายเย่ “ตาท่านแล้ว”
เจียงหวายเย่ก็ได้คิ้วขมวดอย่างลังเลเพราะของที่คนอื่นเสนอมานั้นล้วนหยาบกร้านเหลือเกิน เขาไม่อยากที่จะทำเรื่องเช่นนี้กับคนเหล่านี้เพราะมันจะทำให้เสียตัวตนของเขาไป
แต่เขาก็ดันสัญญากับเสี่ยวเหยียนเอ๋อไปแล้ว เขาจะต้องทำให้ดีที่สุด
เจียงหวายเย่ก็ได้ลุกขึ้นยืนด้วยสีหน้าที่เยือกเย็น แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เย็นยะเยือก “ข้าเข้าร่วมแค่คนเดียว”
“พี่สาม ท่านไม่เข้าร่วมด้วยเหรอ?” หลินเสวี่ยเหยียนนั้นรอให้ช่วงเวลานี้มาถึงอยู่แล้ว นางที่รอดูอย่างสนุกสนานนั้น จะพลาดโอกาสที่จะทำเรื่องร้ายๆเช่นนี้ง่ายๆได้อย่างไร?
หลินซีเหยียนก็ได้ผงกหัวด้วยสีหน้าเฉยเมย ราวกับว่าสิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัวนางนั้นไม่เกี่ยวข้องอะไรกับนางเลย
หลินรั่วจิ่งเองก็อยากที่จะให้หลินซีเหยียนเข้าร่วมเหมือนกัน ไม่อย่างนั้นจะแสดงให้เห็นว่านางนั้นเหนือกว่าได้อย่างไร?
“พี่สาม วันนี้เป็นโอกาสดี ที่ท่านพี่จะได้ขจัดชื่อเสียงที่แย่อย่างคนไร้ความสามารถของท่าน” หลินรั่วจิ่งก็ได้พูดอย่างจริงจังมาก ราวกับว่านางจะพยายามเกลี้ยกล่อมหลินซีเหยียนให้ได้
หลินซีเหยียนก็ได้เงยหน้าแล้วมองไปที่นาง “เป็นไปไม่ได้หรอกที่คนอย่างข้าจะเข้าร่วม เอางี้ถ้าน้องสี่ทำตามที่เดิมพันกับข้าไว้ตอนแรกก่อน แล้วข้าจะยอมเข้าร่วมก็ได้”
เมื่อได้ยินที่กล่าว หลินเสวี่ยเหยียนก็ได้สะดุ้งขึ้นมาทันที นางต้องการให้นางลงไปคุกเข่าต่อหน้าคนมากมายแล้วตะโกนว่า“ข้ามันคนโง่”จริงๆเหรอ?
เป็นไปไม่ได้ที่นางจะทำเช่นนั้นแน่ นางนั้นไม่ใช่คนโง่ อย่างไรก็ดีไม่มีคนนอกอยู่ด้วยในการพนันวันนี้ นางจึงว่าคงไม่เป็นไรแน่ถ้าแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น เมื่อคิดได้เช่นนี้ หลินเสวี่ยเหยียนก็ได้กะพริบตาให้หลินรั่วจิ่ง หวังให้อีกฝ่ายยอมร่วมมือกับนาง
แต่หลินรั่วจิ่งเองก็มีความคิดของนางอยู่ นางจึงได้ก้มหน้าลงแล้วแกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น
“ไม่ทราบว่าแม่นางหลินพอจะบอกเรื่องของการพนันที่พูดถึงได้หรือไม่?” ไป๋รุ่นนั้นดูเหมือนจะใจกว้างมากในวันนี้ ถ้าเป็นแต่ก่อนนั้นการที่ผู้ที่ไม่ได้เข้าร่วมแข่งขันแต่กลับ“เรียกร้อง”ให้คนอื่นมาเข้าร่วมเช่นนี้จะถือว่าผิดกฎ
แต่สำหรับหลินซีเหยียนแล้ว เขานั้นไม่ลืมที่จะสร้างมิตรภาพกับคนที่เขาชื่นชอบ จึงแน่นอนว่าเขาย่อมที่จะปฏิบัติกับคนอื่นต่างกัน ยิ่งไปกว่านั้นเขาเองก็รู้สึกสนใจมากด้วย “ข้าคิดว่าทุกคนที่อยู่ที่ต่างก็อยากที่จะฟังเช่นกัน”
หลินเสวี่ยเหยียนนั้นไม่คิดฝันว่าหลินซีเหยียนนั้นไม่เพียงแต่จะเข้าหอเสียงสัมผัสสมบูรณ์ได้แล้ว แต่นางยังเป็นที่ชื่นชอบของเจ้าของหอไป๋รุ่นด้วย
เรื่องนี้จะให้คนอื่นรู้ไม่ได้เด็ดขาด ไม่อย่างนั้นคนอื่นจะเอาไปพูดได้ว่านางนั้นไม่ใช่คนรักษาสัญญา ถ้ารู้แบบนี้นางไม่น่าไปรับพนันของหลินซีเหยียนเลย หลินเสวี่ยเหยียนก็ได้จ้องไปที่สายตาของทุกคน และรู้สึกผิดอย่างต่อเนื่องในใจของนาง
ดวงตาของหลินซีเหยียนก็ได้ผ่านผู้คนมากมายแล้วจับจ้องไปที่หลินเสวี่ยเหยียน “น้องสี่ เจ้าจะพูดออกมาเองหรือให้ข้าพูดดีล่ะ?”