บทที่ 231
ตัวเย็น
หลินเสวี่ยเหยียนนั้นรู้ว่านางพึ่งพาใครไม่ได้แล้ว นางจึงทำได้แค่ขอร้องและยิ้ม “พี่สาม เอาไว้พวกเราค่อยมาคุยเรื่องนี้ทีหลังกันดีไหม?”
“ต่อให้เป็นพี่น้องกันจริงๆ ก็ควรที่จะสะสางกันให้เรียบร้อยจะดีกว่านะ” หลินซีเหยียนก็ได้ปฏิเสธอย่างชัดเจน “ดูเหมือนว่าน้องสี่คงอยากจะให้ข้าพูดเองสินะ? แต่ว่านะข้านั้นไม่เก่งเรื่องให้พูดแทนเท่าไร ถ้าข้าพูดอะไรผิดไปหวังว่าน้องสามคงจะไม่ตกใจนะ”
“เจ้าขู่ข้างั้นเหรอ?” หลินเสวี่ยเหยียนก็ได้แสดงสีหน้าตำหนิท่าทีที่ไร้ยางอายของหลินซีเหยียน แต่ทว่านางก็ไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากต้องทำตามแล้ว
นางก็ได้มองไปรอบๆแล้วกัดฟันฝืนทน แล้วนางก็ได้พูดออกไป “วันนี้ข้าได้พนันกับท่านพี่เรื่องที่นางไม่สามารถเข้าหอเสียงสัมผัสสมบูรณ์ได้”
“ยังขาดๆไปนะ” หลินซีเหยียนก็ได้มองไปที่ หลินเสวี่ยเหยียนพร้อมกับยิ้มและกล่าว “บอกไปซิว่าพวกเราพนันอะไรกันเอาไว้?”
“ถะ….ถ้าข้าแพ้…จะต้อง…คุกเข่าลงกับพื้นแล้วตะโกนว่าข้ามันคนโง่” หลินเสวี่ยเหยียนก็ก้มหน้าราวกับจะเอาหัวจุ่มพื้น
ในเวลานี้ผู้คนต่างก็รอที่จะได้ดูอะไรสนุกๆ หลินรั่วจิ่งเองก็ได้กระวนกระวายขึ้นมา ถึงแม้ว่านางนั้นจะไม่ได้สนิทอะไรกับหลินเสวี่ยเหยียนมากนัก แต่นางก็ไม่อาจปล่อยให้บุตรีจากบ้านสกุลหลินต้องเสียหน้าต่อหน้าผู้คนได้
“ท่านพี่สาม ครั้งนี้ได้โปรดยกโทษให้พี่สี่ด้วยเถอะ! ถ้าให้นางทำอย่างที่ท่านพี่พูดจริงๆ นางคงได้ถูกหัวเราะเยาะไปตลอดแน่”
หลินรั่วจิ่งมีสีหน้าลำบากใจมาก ราวกับว่านางนั้นลำบากมากที่ต้องออกมาขัดตาทัพให้พี่ๆสองคนนี้
แล้วในห้องโถงนี้ก็มีผู้คนมากมายที่ชื่นชมหลินรั่วจิ่งอยู่ เมื่อเห็นหลินรั่วจิ่งคิ้วขมวด จึงต้องพากันออกหน้าเพื่อปกป้องดอกไม้งาม
“หลินซีเหยียนพวกเจ้าต่างก็เป็นพี่น้องจากตระกูลเดียวกัน ทำไมถึงต้องทำให้อีกฝ่ายลำบากใจด้วย? ฟังที่หลินรั่วจิ่งพูดแล้วปล่อยหลินเสวี่ยเหยียนไปเถอะ!”
หลินซีเหยียนก็ได้ยักคิ้วของนางโดยไม่สนใจเสียงของพวกผู้พิทักษ์ดอกไม้เหล่านั้น กลับกันนางก็ได้มองไปที่หลินรั่วจิ่ง “เกือบทุกวัน น้องสี่นั้นชอบพูดจาเสียๆหายๆใส่ข้า หาว่าข้าโง่บ้างล่ะไร้ความสามารถบ้างล่ะ สองคำนี้ออกมาจากปากของนางบ่อยที่สุดแล้ว ในคราวนี้ข้าแค่อยากจะได้ยินจากปากของนางบ้าง น้องหกคิดว่าข้าโหดร้ายมากเลยเหรอ?”
“เจ้ามันทั้งอวดดีและชอบใช้อำนาจ อย่าง หลินเสวี่ยเหยียนจะกล้าพูดเช่นนั้นกับเจ้าได้อย่างไร?” เหล่าคุณหนูและคุณชายต่างก็ไม่อยากเชื่อ ในสายตาของเขานั้น หลินเสวี่ยเหยียนนั้นเป็นหญิงสาวที่มีชื่อเสียง จะไปพูดคำที่หยาบคายเช่นนั้นตลอดเวลาได้อย่างไร?
หลินเสวี่ยเหยียนก็รู้สึกมีความสุขมากเมื่อได้ยินที่หลายๆคนออกมาปกป้อง นางจึงได้แสร้งทำเป็นอ่อนแอขึ้นมา “พี่สาม ทำไมพี่ถึงได้ให้ร้ายข้าเช่นนี้ด้วย? ข้ารู้ดีว่าในเมื่อพนันแล้วก็ย่อมต้องทำตามที่สัญญาไว้ แต่คำขอของท่านมันมากเกินไปแล้ว”
ในขณะที่นางพูดอยู่นั้น ดวงตาของหลินเสวี่ยเหยียนก็ได้แดงขึ้นมาและเริ่มบีบน้ำตาออกมา ท่าทีที่บอบบางและอ่อนแอของนางทำให้เหล่าๆคุณชายต่างก็พากันรู้สึกถึงความยุติธรรมขึ้นมา
“นางเป็นน้องสาวของเจ้าแท้ๆ ทำไมถึงต้องนางลำบากใจขนาดนี้ด้วย!” แล้วผู้คนรอบๆก็ได้พากันพูดช่วย หลินเสวี่ยเหยียน
หลินเสวี่ยเหยียนก็ได้ก้มหัวแล้วยิ้มออกมาหน่อยๆที่มุมปากของนางในที่ที่คนอื่นไม่เห็น ในเวลานี้หัวใจของนางนั้นเบิกบานมาก
ท่ามกลางการต่อว่าและถากถางของทุกคนเช่นนี้ หลินซีเหยียนก็ทำได้แค่ยิ้มแล้วพูดตอบกลับไป “เงื่อนไขในการพนันนั้นก็ตกลงกันเอาไว้แต่แรกแล้ว ในเมื่อเงื่อนไขนี้มันทำเจ้าลำบากใจนัก แล้วทำไมเจ้าถึงได้ยอมตกลงแต่แรกล่ะ?”
แล้วผู้คนต่างก็ได้พากันสงสัยขึ้นมาอีกครั้ง หลินเสวี่ยเหยียนก็ได้กำหมัดแน่นและอยากที่จะพูดอะไรบางอย่างออกไป แต่นางก็ได้ถูกขัดโดยหลินซีเหยียนเสียก่อน
“น้องสี่คงจะไม่คิดบอกหรอกนะว่าข้านั้นบังคับเจ้าน่ะ!” ดวงตาของหลินซีเหยียนที่เหมือนจะมองทะลุทุกสิ่งได้นั้นก็ได้จ้องไปที่หลินเสวี่ยเหยียนตรงๆ
ดวงตาของหลินเสวี่ยเหยียนก็เหมือนฉายแสงออกมา จากนั้นนางก็ได้แกล้งทำเป็นอ่อนแอแล้วกล่าว “ท่านพี่จะบังคับข้าได้อย่างไร?”
“หลินซีเหยียนจะต้องบังคับให้เจ้าเดิมพันนี้แน่ๆ ข้าไม่เคยเห็นผู้หญิงที่ไหนโหดร้ายเช่นเจ้ามาก่อนเลย” ไฉ่อันเชิงนั้นเป็นคนที่ไม่รู้จักอยู่นิ่งเฉยเสียจริงๆ เขานั้นพร้อมที่จะถากถางหลินซีเหยียนทันทีที่เขาพบช่องว่าง
หลินซีเหยียนก็ได้เล่นนิ้วของนาง แล้วก็พบเข็มเงินเข็มเล็กๆอยู่ในมือของนาง “ท่านควรระวังปากของท่านไว้ด้วย ถ้าเกิดท่านพูดไม่ได้ขึ้นมา จะมาโทษว่าข้าไม่ช่วยท่านไม่ได้นะ”
ไฉ่อันเชิงนั้นรู้ดีถึงความร้ายกาจของเข็มเงินเข็มนั้น ทำให้เขาต้องหุบปากอย่างไม่เต็มใจ แต่ยังคงปรากฏสายตาที่ไม่เต็มใจอย่างแข็งกร้าวในดวงตาของเขา
“ในเมื่อข้าไม่ได้บังคับเจ้า น้องสี่ก็ควรที่จะทำตามที่เดิมพันเอาไว้นะ!” หลินซีเหยียนที่นั่งอยู่ข้างๆก็ได้เฝ้ารออย่างช้าๆ “ข้าไม่มีรีบหรอก ข้านั้นมีเวลาเหลืออีกมากข้ารอเจ้าได้
แล้วหลินเสวี่ยเหยียนก็ได้รวบรวมเอาผลดีผลเสียทั้งหมดมารวมกันแล้วตัดสินใจที่จะแกล้งทำเป็นลมด้วยวิธีนี้นางก็จะสามารถรอดพ้นจากวิกฤตินี้ได้ ถึงแม้ว่านางจะสูญเสียโอกาสที่จะเอาชนะ แต่ก็เป็นหนทางเดียวของนางแล้ว
แต่น่าเสียดายที่นางลืมเรื่องหนึ่งไป นั่นคือหลินซีเหยียนเป็นหมอ!
ท่ามกลางความตกใจของทุกคน หลินเสวี่ยเหยียนก็ได้ล้มลงไปกับพื้นแล้วไม่นานนักเรื่องนี้ก็ได้ตกมาถึงมือของ หลินซีเหยียน
ไป๋รุ่นก็ได้จ้องไปที่หลินเสวี่ยเหยียน ด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความสงสาร แล้วเขาก็ได้กล่าวออกไปด้วยความเรียบร้อย “แม่นางหลิน ข้าทราบมาว่าท่านมีความสามารถด้านการรักษาสูงส่ง ได้โปรดช่วยรีบไปดูนางหน่อย ว่าแม่นางนั้นเป็นอะไรไป?”
หลินซีเหยียนก็รู้สึกพึงพอใจอย่างมากกับคำพูดของไป๋รุ่น แล้วนางก็ได้ลุกขึ้นแล้วเดินไปหาหลิวเสวี่ยเหยียน ใบหน้าของนางก็ได้กล่าวอย่างจริงจังมาก “เถ้าแก่ไป๋ได้โปรดวางใจ นางเป็นน้องสาวของข้า ข้าจะต้องช่วยนางอย่างเต็มที่แน่นอน”
แม้ว่าหลินเสวี่ยเหยียนนั้นจะไม่ชอบใจ แต่นางก็ไม่มีทางเลือกนอกจากรอเป็นหมูถูกเชือด ไม่อย่างนั้นผู้คนจะรู้ว่านางนั้นแกล้งทำเป็นสลบและรุมประณามนางเป็นแน่
หลินซีเหยียนก็ได้ตรวจชีพจรของหลินเสวี่ยเหยียนอย่างจริงจัง แล้วจากนั้นก็ได้กล่าวด้วยสีหน้าตกใจ “น้องสาวของข้ามีอาการตัวเย็นร้ายแรงมาก วันนี้นางรีบออกมาแต่เช้าตรู่จึงได้ต้องลมหนาว แล้วทำให้นางหมดสติไปเช่นนี้”
หลินเสวี่ยเหยียนก็เกือบจะสะดุ้งตื่นเมื่อนางได้ยินเช่นนี้ นางนั้นรู้ดีว่าตัวนางนั้นสลบอยู่จะพูดอะไรไม่ได้ แต่เจ้าจะพูดอะไรเหลวไหลเช่นนั้นไม่ได้นะ โดยเฉพาะเรื่องที่นางตัวเย็น
หากเรื่องนี้แพร่ออกไปล่ะก็ อย่างที่รู้กันดีว่า เป็นเรื่องต้องห้ามสำหรับหญิงสาวที่ยังไม่ได้ออกเรือนว่าจะถูกวินิจฉัยจากหมอว่าตัวเย็นไม่ได้เด็ดขาด
แล้วหญิงสาวคนหนึ่งก็ได้ถามออกไป “แล้วมีวิธีรักษาหรือไม่?”
หลินซีเหยียนก็ได้ผงกหัว ทำราวกับว่ากำลังทำงานจริงจังอยู่ “มีอยู่ แต่ในกรณีของน้องสาวข้า เกรงว่าอาจจะไม่ไหว”
จากนั้นหลินซีเหยียนก็ได้มีสีหน้าเสียใจมากขึ้นมา
แล้วผู้คนโดยรอบก็ได้เริ่มพากันเห็นอกเห็นใจ หลินเสวี่ยเหยียน ในขณะเดียวกัน พวกเขาต่างก็รู้สึกว่า หลินซีเหยียนนั้นก็ยังเป็นคนดีอยู่ ถ้าไม่ใช่เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อสักครู่
นิ้วทั้งห้าของหลินเสวี่ยเหยียนก็ได้กำแน่น และมองเห็นสีของเลือดได้อย่างรางๆ
หากมีอาการตัวเย็นก็หมายความว่านางนั้นจะไม่สามารถมีบุตรได้ ถ้าไม่สามารถมีบุตรได้ก็จะไม่มีใครแต่งงานกับนาง เรื่องนี้ถือเป็นเรื่องที่สำคัญมาก นางนั้นไม่อาจที่จะปล่อยให้หลินซีเหยียนพูดไร้สาระต่อได้แล้ว
“อืมมม~” ด้วยอาการคราง หลินเสวี่ยเหยียนก็ได้แกล้งทำเป็นตื่นขึ้นมา แล้วจากนั้นนางก็ได้ถามอย่างอ่อนแรง “พี่ นี่มันอะไรกัน?”
หลินเสวี่ยเหยียนที่รอให้หลินซีเหยียนพูดคำเดียวกับที่นางเพิ่งพูดอีกครั้ง และฉวยโอกาสนั้นอธิบายเพื่อที่จะได้แก้ความเข้าใจผิดนี้
แต่หลินซีเหยียนก็ได้ยิ้มและกล่าว “น้องรัก ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอก ก็แค่ไข้หวัดเท่านั้น”
ในสายตาของทุกคนนั้น พวกเขาคิดว่าหลินซีเหยียนนั้นกลัวว่าน้องสาวของตัวเองจะเสียใจ นางจึงได้โกหกเช่นนั้นทำให้พวกเขารู้สึกดีต่อหลินซีเหยียนขึ้นมา