บทที่ 244
ให้องค์ชายแต่งกับหลินรั่วจิ่ง
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้แล้ว หลินซีเหยียนนั้นต้องขอบคุณผู้เฒ่าพิษจริงๆ พูดให้ชัดๆคือเพราะกลวิธีที่ไม่รู้จบที่เขาใช้แกล้ง เทียนเอ๋อนั้น ทำให้เทียนเอ๋อนั้นมีความคิดที่จะสืบทอดวิชาการรักษาของแม่ของเขาขึ้นมา
และมีแรงบันดาลใจที่จะแก้พิษในร่างของผู้เฒ่าพิษทีละพิษไป
แต่ก็พูดได้ว่ามันช่างคลุมเครือจริงๆ! ตั้งแต่ที่นางพบผู้เฒ่าสวี หลินซีเหยียนก็ได้ส่งจดหมายไปหาหลงเยว่เพื่อถามอีกฝ่ายให้ช่วยหาข้อมูลของผู้เฒ่าสวี แต่ก็ไม่ได้ข่าวคราวอะไรจนกระทั่งเมื่อคืนนี้
ชื่อจริงๆของผู้เฒ่าพิษคือสวีโฉว เขานั้นเคยเป็นข้ารับใช้ของราชันยากู่ แต่เขากลับไปหลงรักกับบุตรสาวของนายท่านกู่เข้า จึงได้หนีตามกันแต่ก็ไม่อาจหนีไปได้พ้นและถูกพบโดยราชันยากู่เข้า นายท่านกู่จึงได้มาพาลูกสาวของเขากลับไป
แต่ใครจะไปคิดว่าคุณหนูนั้นจะหลงรักสวีโฉวอย่างฝังรากลึกถึงขนาดนั้น นางเลือกที่จะตายมากกว่าที่จะยอมแพ้ และเลือกที่จะใช้ชีวิตร่วมกับสวีโฉว แต่แล้วราชันยากู่ก็ได้ฉวยโอกาสที่จะฆ่าสวีโฉวเสีย แต่กลับไม่คาดคิดว่าเขาจะพลาดฆ่าลูกสาวของตัวเองในท้ายที่สุด
สวีโฉวก็ได้กระโดดลงหน้าผาและโชคดีพอที่จะรอดมาได้ หลังจากนั้นเขาก็ได้ขยันศึกษาศาสตร์พิษเพื่อที่จะฆ่าราชันยากู่เจ้านายของเขา จนในท้ายที่สุดเขาก็ทำสำเร็จแต่ก็ไม่พบข่าวคราวของเขาอีกเลย
แน่นอนว่านี่เป็นเพียงแค่ข่าวลือเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องจริงหรือเท็จ ก็ขึ้นอยู่กับการดุลยพินิจของหลินซีเหยียน
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ต้องขอบคุณผู้เฒ่าสวีที่ทำให้นางในเวลานี้ได้รู้จักกับวิชาพิษดีๆ แต่หลินซีเหยียนก็ได้ส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้เมื่อดวงตาของนางได้เหลือบมองไปที่เทียนเอ๋อที่กำลังหลับ
“ข้าจ้องมองดูอยู่พักใหญ่แล้ว และก็เห็นเจ้าเอาแต่ง่วงเหงาหาวนอน” หลินซีเหยียนก็ได้หรี่สายตาของนางแล้วจากนั้นก็ได้ใช้มือของนางดึงหูของเทียนเอ๋อ ทำให้เทียนเอ๋อตื่นจากความฝันในทันที
ไม่เพียงแค่นั้น เทียนเอ๋อที่รู้สึกฉุนเฉียวเพราะถูกปลุกนั้นก็ได้หายไปทันทีหลังจากที่มองไปที่ใบหน้าแม่ของเขาที่มืดดำราวกับก้นหม้อ แล้วก็ได้รีบพูดอย่างประจบประแจง “ท่านแม่รู้สึกไม่ค่อยดีเหรอขอรับ?”
หลินซีเหยียนก็ได้มองไปที่เทียนเอ๋อด้วยตาเขียวปั้ด นางไม่ได้พูดอะไรออกไปแต่แกว่งขวดยาในมือของนาง “แม่คิดว่าเจ้าคงจะง่วงมากสินะ อยากจะให้แม่ช่วยปลุกเจ้าสักตุ้บดีไหม?”
เทียนเอ๋อก็ได้รีบลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วรีบวิ่งออกจากห้องไปอย่างรวดเร็วพร้อมหนังสือในมือของเขา ราวกับว่ามีสัตว์ประหลาดอยู่ข้างหลังเขา
ในขณะที่เขาอยู่ในสภาพกลืนไม่เข้าคายไม่ออกอยู่นั้น ก็ได้มีเสียงที่คุ้นๆดังมาจากข้างหลังเขา เมื่อเทียนเอ๋อหันหน้ากลับไปเขาก็พบคุณชายในชุดแดงผู้ที่ชอบมาตอแยกับแม่ของเขา
หลีเจี้ยนเฉินนั้นจำเทียนเอ๋อได้ และรู้ว่าเขานั้นเป็นลูกชายของหมอหลิน จึงได้เข้าหาเขาอย่างใจดี “ทำไมเทียนเอ๋อถึงได้ไม่อยู่ข้างในเหรอ?”
เทียนเอ๋อก็ได้กะพริบตาปริบๆ ด้วยความคิดที่แน่วแน่ของเขาเขารู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายเองก็ชอบแม่ของเขาเช่นกัน ทำให้ท่าทีของเขาจึงไม่ค่อยดีนัก “ข้าจะทำอะไรมันเกี่ยวอะไรกับท่านด้วยเหรอ?”
“มันไม่เกี่ยวกับข้าก็จริงอยู่ แต่ข้านั้นกำลังจะไปที่ร้านรสชาติที่แท้จริง ไม่ทราบว่าเทียนเอ๋อนั้นสนใจที่จะไปด้วยไหม?
สวรรค์ ร้านรสชาติที่แท้จริงนั้นเขาไม่ได้ไปกินที่นั่นนานมากแล้ว เขานั้นยังจำได้ถึงรสชาติที่เอร็ดอร่อยของอาหารร้านนั้นได้อยู่ แต่เทียนเอ๋อก็นึกได้ว่าคนที่อยู่ตรงหน้าเขานั้นคือคู่แข่งทางความรักของท่านอาจารย์ของเขา
สุดท้ายเขาก็ได้กำหมัดแน่นแล้วกล่าวในใจของเขา “เราก็แค่ช่วยท่านอาจารย์ศึกษาศัตรูเท่านั้น ไม่ได้ไปเพราะหวังไปกิน” หลังจากที่เกลี้ยกล่อมตัวเอง เทียนเอ๋อก็ได้มองขึ้นมาด้วยดวงตาที่เล็กและภาคภูมิใจ “ในเมื่อท่านต้องการที่จะให้ข้าไปด้วย ข้าก็จะไปกับท่านให้ก็ได้”
แล้วมหานักบวชที่เดินมาพร้อมกับหลีเจี้ยนเฉินนั้นก็หัวเราะออกมาอย่างอดไม่ได้ “ลูกชายของแม่นางหลินนี่ช่างน่ารักดีจริงๆ”
ด้วยเหตุนี้ ทั้ง 3 คนจึงได้ไปที่ร้านรสชาติที่แท้จริงกัน
ในขณะเดียวกัน ที่พระราชวังรัตติกาล เจียงหวายเย่ก็ได้นั่งอย่างสบายไม่ใส่ใจอยู่ในห้องทำงานพร้อมด้วยหน้ากากหยกบนใบหน้าของเขา ตรงหน้าของเขานั้นมีเจียงซิงชูที่มีความสัมพันธ์อันดีกับเขาเสมอมายืนอยู่ พร้อมด้วยขุนนางมากมายที่มีตำแหน่งไม่น้อยในพระราชสำนัก
ซึ่งในบรรดานั้นมีพระราชครูของเหล่า องค์ชาย=สวีเหวินเยวียน, หัวหน้าราชองครักษ์=เสิงฮว่านจง, หัวหน้าผู้ตรวจการ=ไฉ่ซือหยวน, และแม่ทัพเวยหย่วน=เฉาเวย
“พวกท่านนั้นมาหาเราด้วยเหตุผลอันใดรึ?” ดวงตาของเจียงหวายเย่นั้นเยือกเย็นและเย็นชา อีกทั้งบรรยากาศข่มขู่ที่แผ่ออกมาทำให้ทุกคนที่อยู่ตรงหน้าเขานั้นต้องเหงื่อเต็มแผ่นหลังจนเสื้อเปียก
“องค์ชาย พวกเรามาที่นี่เพื่อเสนอให้ท่านเข้าพบกับฮ่องเต้ และขอให้ฮ่องเต้พระราชทานหลินรั่วจิ่งให้เป็นพระชายาของท่าน” พระราชครูที่เหมือนไม้ใกล้ฝั่ง ที่ยังคงยืนอยู่ได้แต่ตัวก็สั่นไปหมดแล้ว
พระราชครูเองก็เคยเป็นอาจารย์ของเจียงหวายเย่มาก่อนในช่วงที่เขายังหนุ่มกว่านี้ เขาจึงไม่อยากที่จะรุนแรงกับเขามากนัก จึงได้กล่าวอย่างเย็นชา “หาที่นั่งมาให้เขาที”
ทันทีที่สิ้นเสียง อันอี้ก็ได้ถือเก้าอี้ตัวหนึ่งมาแล้วนำมาวางที่ด้านหลังของพระราชครูและจับเขานั่งลง
จากนั้นดวงตาของเขาก็ได้จับจ้องไปที่เจียงซิงชูแล้วกล่าว “น้องสิบเอ็ด เจ้าเองก็ต้องการให้เราแต่งกับหลินรั่วจิ่งเหมือนกันเลย?”
เจียงซิงชูนั้นรู้ดีว่าเจียงหวายเย่นั้นชอบหลินซีเหยียนมากจึงได้รีบส่ายหัวของเขาอย่างรวดเร็ว “ท่านพี่สาม อย่าเพิ่งมองข้าด้วยสายตาแบบนั้นสิ ข้ามาที่นี่ก็เพื่อบอกว่าท่านอย่าได้ไปฟังที่ตาแก่พวกนี้พูดนะ พี่สะใภ้นั้นดีกว่าหลินรั่วจิ่งมากๆเลย”
หลังจากที่ได้ยินคำพูดเหล่านี้ สีหน้าของเจียงหวายเย่ก็ได้ดีขึ้นมาทันที แล้วก็ได้กล่าวออกมาอย่างชมเชย “นับว่าตายังมีแวว”
หลังจากที่พูดเช่นนั้นบทสนทนาก็ได้จบลง แล้วสายตาของเขาก็ได้มองมาที่พระราชครูด้วยความรู้สึกที่หนาวเย็นจนไปถึงกระดูก “เปิ่นหวางนั้นมีความคิดของเปิ่นหวางเองเรื่องคู่แต่งงานของเปิ่นหวาง ถ้าพวกเจ้าไม่มีธุระอะไรก็ขอให้กลับไปด้วย!”
พระราชครูก็ได้ลุกขึ้นยืนทันทีที่ได้ยินเช่นนี้ แล้วใช้ไม้เท้าของเขาเคาะไปที่พื้นอย่างแรง “ขอให้องค์ชายอย่าได้ขลาดเขลากับเรื่องนี้!”
“คนที่ขลาดเขลาคงจะเป็นท่านมากกว่าพระราชครู”
เจียงหวายเย่ก็ได้หรี่สายตาลงและอารมณ์ไม่ดีของเขาที่กักเก็บเอาไว้ในร่างของเขามาอย่างยาวนานนั้นก็ได้ระเบิดออกมาทันที
“ขอให้องค์ชายโปรดระงับอารมณ์โกรธก่อน ที่ท่านพระราชครูว่ามานั้นก็มีเหตุผล ท่านคงจะรู้ดีว่าแม่นางหลินรั่วจิ่งในเวลานี้นั้น ก็เหมือนกับชิ้นปลามันที่ไม่ว่าใครๆต่างก็อยากที่จะคว้ามา แม้แต่ฮ่องเต้หลีเองก็ยังมาเพื่อนาง”
สมแล้วที่เป็นถึงหัวหน้าราชองครักษ์เขานั้นรู้มาไม่น้อยเลย แต่ที่เขายังไม่รู้เท่าเจียงหวายเย่รู้ และยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องของคนที่ปล่อยข่าวและแก้ไขจดหมายที่ส่งมาจากรัฐหลี
มองไปที่เหล่าคนที่ออกมาเตือนเขาที่อยู่ตรงหน้าเขาเหล่านี้แล้ว เจียงหวายเย่ก็ได้รู้สึกหงุดหงิดมากขึ้นมา คนเหล่านี้ไม่มีสมองกันเลยรึยังไงนะ?
หลินรั่วจิ่งนั้นแม้จะร่ำเรียนมาจากเสียนอวิ๋นก็จริง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าอีกฝ่ายนั้นจะล้ำเลิศเช่นเดียวกับเสียนอวิ๋นเสมอไป ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่เสี่ยวเหยียนเอ๋อนั้นดีเลิศที่สุดในสายตาของเขาอยู่แล้วและจะไม่มีใครในสายตาของเขาอีก
มองไปรอบๆ แล้วเจียงหวายเย่ก็ได้กล่าวด้วยท่าทีที่แน่วแน่ของเขา “เปิ่นหวางนั้นได้ตัดสินใจไปแล้ว และเปิ่นหวางก็จะไม่มีวันแต่งกับหลินรั่วจิ่งด้วย ขอให้พวกเจ้าล้มเลิกความคิดนี้เสียทันที”
แล้วขุนนางทั้งสามคนต่างก็มีสีหน้าเสียใจขึ้นมา ราวกับว่าเจียงหวายเย่นั้นได้ทำผิดพลาดครั้งใหญ่ไป แล้วพวกเขาก็ได้พากันลงไปคุกเข่าพร้อมกัน “ขอให้ไตร่ตรองให้ดีด้วยเถิด!”
แล้วเจียงหวายเย่ก็ได้รู้สึกหงุดหงิดคนพวกนี้ขึ้นมา จึงได้กล่าวออกไป “ถ้าหากพวกเจ้านั้นคิดถึงเปิ่นหวางจริงๆ ข้าหวังว่าพวกเจ้าคงจะไม่ได้มาที่พระราชวังนี้อย่างเปิดเผยนะ”
“ขอจงได้โปรดวางใจได้ พวกเราได้ระแวดระวังอย่างมากในตอนที่มา พวกเราไม่มีทางถูกพบแน่” หัวหน้าราชองครักษ์กล่าวด้วยสีหน้าที่ภาคภูมิใจ เขานั้นมั่นใจในแผนการของเขามาก