สวีลิ่งอี๋และสืออีเหนียงต่างก็ประหลาดใจ
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าเรียกเจ้าเข้าไปทำอะไรในพระราชวัง” สืออีเหนียงถามบุตรชายด้วยความเป็นห่วง
“บอกว่าจะไปเล่นกายกรรมบนน้ำแข็งที่แม่น้ำซีย่วนอวิ้นเหอขอรับ” จิ่นเกอยิ้มแล้วพูดต่ออีกว่า “แล้วยังให้ข้าเข้าไปชมโคมไฟในพระราชวังวันที่สิบสองอีกด้วย”
พวกเขาสนิทสนมกันเช่นนี้คือเรื่องดีหรือเรื่องร้ายกันแน่?
สืออีเหนียงมองสวีลิ่งอี๋
สวีลิ่งอี๋พูดกับจิ่นเกอ “อย่าเสียมารยาท” เขาตอบตกลงอย่างอ้อมค้อม
เด็กน้อยล้วนแต่ชอบเล่นสนุก ยิ่งไปกว่านั้น ราชวงศ์มีความยิ่งใหญ่ คนทั่วไปเทียบไม่ได้ จิ่นเกอได้ยินว่าจะได้เข้าไปเล่นกายกรรมบนน้ำแข็ง ชมโคมไฟในพระราชวังก็ดีใจ แต่คิดว่าช่วงนี้ท่านพ่อไม่ให้เขาออกไปไหน กลัวท่านพ่อจะไม่พอใจ ตอนนี้เห็นท่านพ่อตอบตกลงเช่นนี้ เขาจึงพูดด้วยความดีใจ “ท่านพ่อไม่ต้องห่วงขอรับ เรื่องที่ไม่ควรพูดข้าไม่มีทางพูดแม้แต่ประโยคเดียวขอรับ”
ถึงแม้จิ่นเกอจะยังเด็ก แต่เขาทำอะไรเหมาะสมมาตลอด เรื่องนี้สวีลิ่งอี๋เชื่อใจเขา
เขาพยักหน้าเบาๆ
จิ่นเกอมีชีวิตชีวาขึ้นมา หันไปพูดกับมารดา “…แม่น้ำซีย่วนอวิ้นเหอกว้างใหญ่มากเลยขอรับ ทะเลสาบที่เล่นกายกรรมบนน้ำแข็งก็ใหญ่กว่าที่จวนของเราเสียอีก ยืนมองออกไปจากริมทะเลสาบ ทุกที่ใสราวกับกระจก สวยงามเป็นอย่างมาก” พูดต่อไปอีกว่า “องค์หญิงใหญ่บอกว่าเทศกาลโคมไฟปีนี้จัดขึ้นที่สวนดอกไม้หน้าพระตำหนักชินอาน กรมราชกิจภายในทำโคมไฟหนึ่งพันดวงตามคำสั่งแล้วขอรับ…”
ตอนที่ไปเป่าติ้งครั้งนั้น สวีลิ่งอี๋วาดภาพวิวทิวทัศน์ให้สืออีเหนียงมากมาย ได้รับอิทธิพลจากบิดา ไม่ว่าจิ่นเกอจะไปที่ไหน เขาก็มักจะกลับมาเล่าสิ่งที่เห็นให้มารดาฟัง
สืออีเหนียงยิ้ม วันต่อมาก็เตรียมชุดที่จะให้จิ่นเกอสวมไปเล่นกายกรรมบนน้ำแข็งกับอาจิน เช้าวันที่หกก็ส่งจิ่นเกอออกไปด้วยความปิติ
จิ่นเกอกลับมาก็ลากสืออีเหนียงออกไปข้างๆ “ท่านแม่ คนที่ถูกองค์หญิงใหญ่เตะลูกหนังใส่วันนั้นคือบุตรชายของผู้บัญชาการทหารรักษาการณ์ฉังหนิง มีนามว่าหวังเสียนขอรับ”
“เจ้ารู้ได้เช่นไร” สืออีเหนียงสนใจเรื่องงานอภิเษกสมรสขององค์หญิงใหญ่มาตลอด หวังว่านางจะได้อภิเษกสมรสกับคนที่ดี “แล้วทำเหตุใดเขาถึงไปที่สวนดอกไม้”
“เดิมทีเขารับตำแหน่งอยู่ที่องครักษ์วังหลวง มารอเฮ่อกงกงที่พระตำหนักชินอานตามคำสั่งของผู้บัญชาการโอวหยาง” จิ่นเกอพูดด้วยรอยยิ้ม “วันนี้เราไปเล่นกายกรรมบนน้ำแข็งเลยบังเอิญเจอเขาอีกครั้ง วันนี้เขาเฝ้ายามอยู่ที่หน้าประตูซีย่วน”
สืออีเหนียงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็พูดอย่างลังเล “พวกเจ้าไม่ได้สั่งให้เขาลากรถน้ำแข็งให้พวกเจ้าใช่หรือไม่”
เมื่อบรรดาองค์ชายและองค์หญิงเล่นกายกรรมบนน้ำแข็งที่แม่น้ำซีย่วนอวิ้นเหอ ขันทีที่ชอบอู้งาน มักจะสั่งให้องครักษ์วังหลวงที่เฝ้าอยู่ที่แม่น้ำซีย่วนอวิ้นเหอลากรถน้ำแข็ง
“ท่านแม่ ท่านเก่งมากเลย ท่านเดาถูกแล้วขอรับ!” จิ่นเกอยิ้มแล้วกอดแขนท่านแม่ “องค์ชายแปดใช้งานหวังเสียน แต่พอเห็นสีหน้าขององค์หญิงใหญ่ไม่ค่อยดีจึงไล่หวังเสียนมาถือธงให้เรา” เมื่อแข่งขันสเก็ตน้ำแข็ง ต้องมีคนโบกธงแสดงเวลาเริ่มอยู่ข้างๆ “ใครจะไปรู้องค์หญิงใหญ่เล่นแค่ประเดี๋ยวเดียวก็ไม่เล่นแล้ว เราจึงไปย่างถั่วปากอ้าทานที่วังฉงหวาตลอดช่วงบ่าย” เขาพูดด้วยท่าทีเบื่อหน่าย
สืออีเหนียงอดหัวเราะไม่ได้
สองวันต่อมา คนของฝ่ายดูแลสุสานของเชื้อพระวงศ์สองคนมาหาจิ่นเกอ
“คนหนึ่งมีนามว่าเซี่ยเหยียน อีกคนนามว่าเว่ยซุ่นเจ้าค่ะ” หู่พั่วพูดเบาๆ “ใต้เท้าเซี่ยคือหลานชายขององค์หญิงหย่งอาน ปีนี้อายุสิบแปดปี ส่วนใต้เท้าเว่ยคือบุตรชายของเจียงตูจวิ้นวู่ ปีนี้อายุสิบหกปี ล้วนแต่รับตำแหน่งผู้บัญชาการพร้อมคุณชายน้อยหกเจ้าค่ะ ฟังจากน้ำเสียงแล้ว วันที่หกก็ไปเล่นกายกรรมบนน้ำแข็งในพระราชวังด้วยกัน” นางพูดด้วยรอยยิ้ม “ใต้เท้าสองท่านมีมารยาท หน้าตาหล่อเหลา แล้วยังนำกล่องของขวัญแปดสีมาอีกด้วยเจ้าค่ะ”
คิดไม่ถึงเลยว่าจิ่นเกอจะมีสหายมาหา!
สืออีเหนียงครุ่นคิดในใจ จากนั้นก็พูดกับหู่พั่ว “เขาไม่ค่อยมีสหายมาหาจะเสียมารยาทไม่ได้ เจ้าไปดูพวกเขาบ่อยๆ หากอยากทานอะไรหรือดื่มอะไรก็บอกให้โรงครัวทำ หักจากเงินของข้า”
หู่พั่วขานรับ “เจ้าค่ะ” แล้วเดินออกไป ผ่านไปไม่นานก็กลับมารายงาน “ฮูหยิน ท่านบอกช้าไปหน่อยเจ้าค่ะ!”
สืออีเหนียงไม่เข้าใจ
หู่พั่วยิ้ม “ตอนที่บ่าวออกไปก็เห็นผู้ดูแลของฝ่ายรายงานกำลังพูดกับบ่าวรับให้ของคุณชายน้อยหก แล้วยังบอกว่าให้โรงครัวต้อนรับพวกเขาให้ดี หักจากเงินของท่านโหวเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงหัวเราะ
ตอนเย็นจิ่นเกอมาคารวะสืออีเหนียง
“ท่านแม่ เว่ยซุ่นเชิญข้าไปชมดอกเหมยที่ชายแดนทางตะวันตกพรุ่งนี้ขอรับ!” เขามองไปที่สืออีเหนียง “แต่ข้าไม่กล้าตอบตกลง!”
“ไม่ต้องมาแสร้งทำตัวน่าสงสารแถวนี้!” สืออีเหนียงยิ้มแล้วบีบจมูกบุตรชาย “รอพ่อของเจ้ากลับมา แล้วข้าจะบอกพ่อของเจ้า”
“มีเรื่องอันใดจะบอกข้า!” พูดถึงโจโฉ โจโฉก็มาพอดี สวีลิ่งอี๋เดินเข้ามา
“ท่านพ่อขอรับ!” จิ่นเกอเล่าให้สวีลิ่งอี๋ฟังราวกับลูกสุนัขที่ตื่นเต้น “สหายของข้าเชิญข้าไปเที่ยว…ที่จริงแล้วข้าก็ไม่อยากไป แต่เขาเชิญข้าครั้งแรก ปฏิเสธคงไม่ดี…แต่หากไม่ปฏิเสธก็กลัวท่านจะโกรธ…ลังเลอยู่นาน ข้าจึงบอกว่าต้องดูก่อนว่าในจวนมีเรื่องอันใดหรือไม่…ท่านพ่อขอรับ เซี่ยเหยียนกับเว่ยซุ่นนิสัยไม่เลวเลยทีเดียว ล้วนเข้ากับข้าได้ดี…”
สวีลิ่งอี๋ทั้งขบขันทั้งโมโห แต่เขาก็รักและเอ็นดูบุตรชายคนนี้ “ไปได้ แต่ต้องพาองครักษ์ไปด้วย ไม่อนุญาตให้ไปไหนเองโดยที่ไม่มีองครักษ์ หากเจ้าทำไม่ได้ ต่อไปก็ไม่ต้องออกไปจากจวนอีก!”
“ทำได้แน่นอนขอรับ” จิ่นเกอรับปาก จากนั้นก็พูดพึมพำ “ข้าไม่เคยไปไหนมาไหนเองโดยที่ไม่มีองครักษ์ติดตามเสียหน่อย”
“องครักษ์ดื่มชาอยู่ที่โรงน้ำชาแต่เจ้ากลับออกไปเดินเล่น” สวีลิ่งอี๋มองจิ่นเกอด้วยสายตาที่เป็นนัย “ถือว่าเจ้าไปไหนเองโดยที่ไม่มีองครักษ์หรือไม่”
จิ่นเกอตกตะลึง
สวีลิ่งอี๋พูดขึ้น “นี่ก็ดึกมากแล้ว ในเมื่อออกไปเที่ยวพรุ่งนี้ เช่นนั้นก็รีบกลับไปพักผ่อนเถิด พรุ่งนี้ออกไปแต่เช้า ฤดูหนาวกลางวันสั้นกว่ากลางคืน”
จิ่นเกอไม่กล้าพูดอะไรต่ออีก เขาโค้งคำนับแล้วขอตัวออกไป วันต่อมาก็นั่งรถม้า ตามด้วยองครักษ์สามสิบกว่าคนเดินทางออกไปที่จุดนัดหมาย เซี่ยเหยียนและเว่ยซุ่นพาองครักษ์มามากกว่าเขาเสียอีก จิ่นเกอถอนหายใจด้วยความโล่งอก จากนั้นก็พากันไปชมดอกเหมยที่ชายแดนตะวันตก
กลับมาถึงจวนก็บอกว่าอีกสองวันจะไปขี่ม้าที่ซีซาน
สืออีเหนียงประหลาดใจ “ปีใหม่เช่นนี้ อากาศหนาวขนาดนี้ จะไปขี่ม้าได้ที่ไหนกัน รอให้ถึงฤดูใบไม้ผลิ อากาศเริ่มอบอุ่นแล้วค่อยไปเที่ยวไม่ดีกว่าหรือ”
“มันคือการพบปะสหายขอรับ” จิ่นเกอยิ้มพร้อมกับพูดว่า “ข้าตอบตกลงไปแล้ว ไม่ไปคงไม่ได้!”
“สหาย?” สืออีเหนียงงุนงง “สหายคนไหน ชื่อแซ่อะไร รู้จักกันได้อย่างไร อายุเท่าไร สกุลของเขาคือใคร”
จิ่นเกอตอบด้วยรอยยิ้ม “รู้จักกันตอนที่ไปชมดอกเหมยชายแดนตะวันตกขอรับ พวกเขาโตกว่าข้าสี่ห้าปี รับตำแหน่งอยู่ที่ค่ายใหญ่ซีซาน บางคนก็เป็นผู้บัญชาการทหาร บางคนก็เป็นรองผู้บัญชาการ ทุกคนพูดจาถูกคอกันเลยชวนกันไปขี่ม้าพรุ่งนี้”
สืออีเหนียงได้ยินดังนั้นก็ไม่อยากให้บุตรชายไป
ค่ายใหญ่ซีซานคือค่ายของราชวงศ์ ผู้บัญชาการทหารและรองผู้บัญชาการที่นั่นล้วนแต่มีตำแหน่งสูงกว่าผู้บัญชาการทหารและรองผู้บัญชาการทั่วไป ซ้ำยังอายุเยอะกว่าจิ่นเกอตั้งสี่ห้าปี เกรงว่าคงไม่ใช่ลูกหลานสกุลขุนนางทั่วไป
จิ่นเกอรีบเดินเข้าไปโอบไหล่สืออีเหนียง “ท่านแม่ขอรับ ข้าเคยขี่ม้าจากเยี่ยนจิงไปถึงด่านหุบเขาจยาอวี้ แล้วยังขี่จากด่านหุบเขาจยาอวี้กลับมาเยี่ยนจิงก็ยังกลับมาอย่างปลอดภัย ยิ่งไปกว่านั้นก็แค่ไปขี่ม้ากับสหาย แค่อยากไปสนุกสนาน หากเอาชนะพวกเขาก็อาจทำให้คนอื่นเหม็นขี้หน้าข้า ท่านไม่ต้องห่วงขอรับ ข้าก็แค่ไปเล่นสนุกกับพวกเขาเท่านั้น” พูดต่ออีกว่า “ท่านพ่อกลัวท่านเป็นห่วง บอกว่าให้ข้าไปได้แต่ต้องให้ท่านแม่เห็นด้วย ท่านแม่…ท่านให้ข้าไปเถิด ไม่เช่นนั้นข้าจะกลายเป็นคนไม่รักษาคำพูด หากเรื่องนี้แพร่กระจายออกไปคงไม่มีใครอยากเป็นสหายกับข้าอีกแล้วกระมัง!”
สืออีเหนียงแค่ไม่อยากให้จิ่นเกอสนิทสนมกับคนของค่ายใหญ่ซีซาน
“ในเมื่อพึ่งรู้จักกัน เจ้าต้องคอยระวัง” นางกำชับว่า “คนที่น่าคบเราก็คบ คนที่ไม่น่าคบเรารู้จักแค่ผิวเผินก็พอแล้ว” แล้วพูดต่ออีก “เซี่ยเหยียนกับเว่ยซุ่นก็ไปด้วยหรือ”
“ไม่ไปขอรับ!” จิ่นเกอพูดด้วยรอยยิ้ม “พวกเขาขี่ม้าไม่เป็น แต่ว่าเว่ยซุ่นเชิญข้าและเซี่ยเหยียนไปชมหิมะที่จวนเขาในวันที่สิบเอ็ด”
ชมหิมะดีกว่าขี่ม้าเสียอีก
สืออีเหนียงยิ้มแล้วพยักหน้า นางหยอกล้อบุตรชาย “งานสังสรรค์ของเจ้าช่างเยอะเสียจริง!”
“แน่นอนขอรับ” จิ่นเกอยืดอกผายไหล่ผึ่ง “องค์ชายเก้าก็เชิญข้าไปเป็นแขกที่จวนอานฮุ่ยอ๋อง แต่ข้ารู้สึกว่าอานฮุ่ยอ๋องแปลกๆ จึงไม่ได้ตอบตกลง”
อานฮุ่ยอ๋องคือโอรสองค์ที่สี่ของฮ่องเต้
“เจ้าเคยเจออานฮุ่ยอ๋องด้วยหรือ” สืออีเหนียงไม่เคยเจอเขามาก่อน “เจอกันตั้งแต่เมื่อไร”
“ตอนที่ไปแสดงความยินดีกับฝ่าบาทวันที่หนึ่ง” จิ่นเกอพูดต่ออีกว่า “เขาหน้าตาละม้ายคล้ายคลึงไท่จื่อมากเลยขอรับ แต่ไม่ค่อยร่าเริงสดใสเหมือนกับไท่จื่อ ดูเหมือนจะอายุเยอะกว่าไท่จื่อสองสามปี…” ระหว่างที่สองแม่ลูกพูดคุยกันก็มีบ่าวรับใช้วิ่งเข้ามารายงาน “คุณชายน้อยหก ขันทีน้อยมาหาท่านขอรับ”
“ขันทีน้อย” จิ่นเกอแปลกใจ “ตอนนี้?”
บ่าวรับใช้พยักหน้า “เขาบอกว่าเป็นคนของยงอ๋อง นำจดหมายมามอบให้คุณชายน้อยหกตามคำสั่งขององค์ชายเก้าขอรับ”
“ท่านแม่ ข้าไปดูประเดี๋ยว!” จิ่นเกอพูด จากนั้นก็ตามบ่าวรับใช้ออกไปลานนอก เวลาผ่านไปประมาณสองก้านธูปเขาก็กลับมา
“องค์ชายเก้าส่งจดหมายมาให้เจ้าทำไมกัน” ไม่รอให้จิ่นเกอพูดอะไร สืออีเหนียงก็ชิงถามเขาก่อน
จิ่นเกอเบะปาก “เขาขอให้ข้าช่วยทูลกับฮองเฮา ให้เชิญเขาและองค์ชายสิบเอ็ดมาที่จวนขอรับ!”
“เช่นนั้นเจ้าตอบไปว่าอย่างไร” สืออีเหนียงพูดอย่างเป็นกังวล
นางกลัวว่าจิ่นเกอจะตอบตกลงไปอย่างบุ่มบ่าม สถานะของสวีลิ่งอี๋อ่อนไหวเกินไป เชิญองค์ชายน้อยสองคนมาที่จวน ไม่รู้ว่ามีคนกี่คนที่คิดเรื่องนี้
“ข้าบอกขันทีน้อยคนนั้นว่า มีใครบ้างที่ไม่รู้ว่าท่านพ่อของข้าเป็นขุนนางซื่อสัตย์ เรื่องที่ไม่ถูกต้องตามกฎเกณฑ์เขาไม่มีทางทำแน่นอน หากเขารู้ว่าข้าเชิญองค์ชายมาที่จวน คงจะโบยข้าให้ตายขอรับ” จิ่นเกอพูดต่ออีกว่า “พรุ่งนี้ข้าจะไปขี่ม้าที่ซีซาน วันมะรืนไปชมหิมะที่จวนของเว่ยซุ่น หากพวกเขาแอบออกมาได้ก็ไปกับข้าได้ แต่หากแอบออกมาไม่ได้ ข้าเองก็ช่วยไม่ได้”
ประโยคที่ว่า ‘เรื่องที่ไม่ถูกต้องตามกฎเกณฑ์เขาไม่มีทางทำแน่นอน’ ทำให้สืออีเหนียงผุดรอยยิ้มบนใบหน้าแล้วกอดบุตรชาย นางชื่นชมเขาแล้วพูดว่า “เจ้าพูดเช่นนี้ องค์ชายเก้าและองค์ชายสิบเอ็ดจะไม่โกรธหรือ ข้าคิดว่าหากเจ้าเข้าไปชมโคมไฟในพระราชวัง เจ้าก็ไปอธิบายให้พวกเขาฟังเถิด”
“ขอรับ!” จิ่นเกอยิ้มแล้วพยักหน้า บอกให้สืออีเหนียงเตรียมของเล่นหยกเหอเถียนให้เขาสองชิ้น “พวกเขาสองคนชอบหยกเหอเถียน ถึงตอนนั้นนำไปให้พวกเขา พวกเขาก็คงหายโกรธ”
สืออีเหนียงหาของเล่นหยกเหอเถียนที่เหมาะสมในห้องเก็บของมาให้จิ่นเกอสองชิ้น แต่จิ่นเกอกลับเที่ยวเล่นอยู่ข้างนอกอย่างมีความสุขสองวัน ไปชมโคมไฟในพระราชวัง อีกทั้งยังจองห้องที่โรงน้ำชาบนถนนตงต้ากับสหายที่ไปขี่ม้าด้วยกัน พวกเขาเชิญจิ่นเกอไปชมโคมไฟในวันที่สิบห้า ถึงวันที่สิบเจ็ด วันสุดท้ายของเทศกาลตรุษจีน ราชบุตรเขยขององค์หญิงซุ่ยผิงก็เหมาชั้นสองของหอชุนซี ส่งเทียบเชิญมาให้จิ่นเกอ จิ่นเกอวันนี้ไปจวนสกุลนี้ พรุ่งนี้ไปจวนสกุลโน้น ตัวเองก็ต้องเลี้ยงพวกเขากลับบ้าง ปรึกษากับสวีลิ่งอี๋ ขอยืมเรือนที่ตรอกจินอวี๋ของสืออีเหนียง เชิญคณะงิ้วสี่คณะที่มีชื่อเสียงในเยี่ยนจิงมาจัด ‘งานเลี้ยงนกขมิ้น’ มีคนได้ยินเช่นนี้ก็นึกสนุกขึ้นมา บอกว่าอีกสองวันจะไปเป็นแขกที่เรือนนอกของเขา…ไปมาหาสู่กันเช่นนี้จนกระทั่งถึงกลางเดือนสองก็ยังไม่แผ่ว ซ้ำยังยิ่งคึกคักมากขึ้นเรื่อยๆ จนถึงขั้นมีคนใช้ทองคำเปลวถูลงบนตัวหมูแล้วจัด ‘งานเลี้ยงทองคำ’ งานเลี้ยงโต๊ะหนึ่งใช้เงินไปหลายร้อยตำลึง ฟุ่มเฟือยเสียจนทำให้ผู้คนต่างก็พูดอะไรไม่ออก