พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า – บทที่ 1665 ถูกจับได้อีกแล้ว

บทที่ 1665 ถูกจับได้อีกแล้ว

ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์แปดล้านคัน…หยางชิ่งจิตใจปั่นป่วนทันที จบการติดต่อกับเหมียวอี้ในขณะที่กำลังเลอะเลือน

รอจนกระทั่งค่อยๆ ดึงสติกลับมาแล้ว เขาก็ส่ายหน้ายิ้มขมขื่นอยู่ในตึกศาลาไม่หยุด นึกถึงภาพตอนตัวเองเพิ่งได้ข่าวเรื่องออกล่าที่น้ำพุวังเวงแล้วลำบากลำบนเกลี้ยกล่อมเหมียวอี้ พอจะจำได้รางๆ ถึงสิ่งที่เหมียวอี้เคยบอกไว้ “ครั้งนี้ข้าต้องการใช้กำลังปะทะเพื่อทำลายพวกเขา เจ้าวางใจเถอะ ข้าอาจจะไม่ต้องลงมือเองก็ได้!”

ในตอนนั้นเขายังนึกว่าใช้กำลังปะทะหมายถึงการปล้นฆ่า หรือไม่ก็หายอดฝีมือมาเข่นฆ่ากัน แล้วก็สู้กันสุดชีวิต

วางแผนกันนานขนาดนี้ ที่แท้สิ่งที่เรียกว่าใช้กำลังปะทะก็หมายความอย่างนี้นี่เอง ไม่น่าเชื่อว่าจะรวบรวมทัพใหญ่จากแดนอเวจีไปล้อมปราบ ไม่สนหรอกว่าเจ้าจะวางกับดักมั้ย ใช้ทัพใหญ่บดอัดเข้าไปเสียเลยก็สิ้นเรื่อง

ความเผด็จการดื้อรั้นนี้ทำให้เขาด่าไม่ถูกเลย ไม่น่าเชื่อว่าจะกล้าใช้วิธีการแบบนี้สู้กับตระกูลอิ๋ง ล้อเล่นอะไรกัน!

เขาไม่รู้ว่าตัวเองรู้สึกไปเองหรือเปล่า เขารู้สึกรางๆ ว่าหลังจากกลับมาจากแดนสุขาวดี เหมียวอี้ก็เหมือนมีความเปลี่ยนแปลงบางอย่าง เหมือนจะมีความมั่นใจอะไรสักอย่างแล้ว ขนาดรู้อยู่แจ่มแจ้งว่าเผชิญสภาพแวดล้อมเลวร้ายขนาดนั้น แต่ก็ดันใช้วิธีการที่เรียบง่าย มุทะลุและตรงไปตรงมา เขาไม่รู้ว่าเหมียวอี้ประสบพบเจออะไรที่แดนสุขาวดี แต่เดาออกแล้วว่าต้องเจอกับเรื่องบางอย่างที่ทำให้จิตใจของเหมียวอี้เปลี่ยนไปแน่นอน

การกระทำของสำนักหลัวช่าทำให้เขาคิดไม่ตกมาตลอด เขาอดไม่ได้ที่จะนึกเชื่อมโยงกับสำนักหลัวช่า สภาพจิตใจที่เปลี่ยนแปลงของเหมียวอี้เกี่ยวข้องกับสำนักหลัวช่าหรือเปล่า?

ครุ่นคิดอยู่ตั้งนานแต่ก็คิดไม่ตก ถ้าเป็นเรื่องที่เหมียวอี้กำหนดทิศทางใหญ่ๆ ไว้แล้ว เขาก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลงได้เลย มีแต่ต้องปฏิบัติตาม ติดต่อคนของหกลัทธิมาประชุมกัน

ใช้เวลาไม่นาน คนตำแหน่งสำคัญของหกลัทธิก็มากันครบแล้ว รวมทั้งจินม่านและหกปราชญ์ด้วย

ประมุขขุนพลลัทธิมารเย่ซิงคง ประมุขขุนพลลัทธิเซียนจ่างซุนจู ประมุขขุนพลลัทธิปีศาจลวี่เกอ ประมุขขุนพลลัทธิพุทธซิงหลัว ประมุขขุนพลลัทธิผีหลีเซิง ประมุขขุนพลลัทธิอู๋เลี่ยงจินม่านกลายเป็นประมุขปราชญ์ไปแล้ว ส่วนประมุขขุนพลเดิมทีก็เป็นผู้ที่ถูกผลักดันให้มาควบคุมทุกคนอยู่แล้ว ตอนนี้จินม่านกลายเป็นประมุขปราชญ์ กลายเป็นผู้ที่ควบคุมลัทธิอู๋เลี่ยงอย่างเป็นทางการ ลัทธิอู๋เลี่ยงก็ไม่จำเป็นต้องแต่งตั้งประมุขขุนพลอีกแล้ว

หยางชิ่งอธิบายถึงความคิดของเหมียวอี้อย่างตรงไปตรงมา อธิบายสถานการณ์ชัดเจน เพียงแต่ไม่ได้บอกว่าจะไปน้ำพุวังเวง และไม่ได้บอกว่าจะสู้กับใคร บอกเพียงว่าต้องออกจากแดนอเวจีไปทำศึก

เมื่อได้ยินว่าจะต้องออกไปข้างนอก บุคคลระดับสูงของหกลัทธิก็ฮือฮาทันที บางคนก็ตื่นเต้นจนตาลุกวาว บางคนก็ฮึกเหิมจนหน้าแดง อย่างไรเสียก็ถูกขังในแดนอเวจีมาหลายปีแล้ว หลายครั้งที่ฝันอยากจะออกไปข้างนอก นึกไม่ถึงว่าโอกาสจะมาอย่างกระทันหัน

หยางชิ่งชำเลืองมองปฏิกิริยาของทุกคน แล้วเอ่ยสิ่งที่ทำให้พวกเขาเหมือนถูกน้ำเย็นสาดดับฝัน “ยังต้องมีคนคุมอยู่ที่แดนอเวจีด้วย เรื่องเล็กๆ ไม่จำเป็นต้องรบกวนแรงของพวกท่าน หลังจากออกไปแล้ว กำลังพลของหกลัทธิจะถูกส่งต่อให้ขุนพลใหญ่หกลัทธิที่ออกไปล่วงหน้าชั่วคราว หลังจากจบเรื่อง กำลังพลก็จะกลับมาทันที”

เหมียวอี้สามารถโยนงานได้ สามารถไม่รับผิดชอบอะไรเหมือนฆ่าเสร็จแต่ไม่ฝังได้ แต่เขามิอาจไม่วางแผน ไม่อย่างนั้นเหมียวอี้จะเก็บหยางชิ่งไว้ทำประโยชน์อะไร?

ประมุขขุนพลเย่ซิงคงแห่งลัทธิมารเลิกคิ้ว ทำเสียงฮึดฮัดแล้วถามว่า “หรือว่าไม่เชื่อมั่นในตัวพวกเรา?”

กลุ่มคนนั่งอยู่สองฝั่ง หยางชิ่งยืนอยู่กลางตำหนักใหญ่ หันตัวช้าๆ มองไปนอกประตู แล้วกล่าวด้วยสายตาสงบนิ่ง “ถ้าอยากให้คนอื่นเชื่อมั่น อันดับแรกตัวเองก็ต้องแสดงท่าทีให้คนอื่นเชื่อมั่น! คำพูดไร้สาระ พูดมากไปก็ไร้ประโยชน์ ข้าเลือกพูดแต่สิ่งสำคัญ ราชาปราชญ์บอกแล้ว ว่าหลังจากจบเรื่อง หกลัทธิจะได้ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ฝ่ายละห้าแสนคัน” พูดจบก็กวาดสายตามองกลุ่มคนที่กำลังตกตะลึง “ราชาปราชญ์ใจกว้างพอมั้ยล่ะ?”

คนทีเหลือมองหน้ากันเลิกลั่ก ฝ่ายละห้าแสนคัน หกลัทธิก็เป็นสามล้านคัน กำลังพลเดิมของหกลัทธิในแดนอเวจีมีทั้งหมดแปดล้านกว่า หลังจากจบเรื่องแล้ว ก็เท่ากับว่าคนเกือบครึ่งจะมีธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์แล้ว แบบนี้ก็แทบจะใกล้เคียงกับอาวุธของกองทัพองครักษ์ฝ่ายโจรกบฏแล้ว

ตอนแรกตื่นเต้นดีใจ จากนั้นก็เหมือนถูกสาดน้ำเย็นดับฝัน แล้วตอนนี้ก็ถูกผลประโยชน์ก้อนใหญ่หล่นทับอีก ทุกคนกลับสู่ความสงบเยือกเย็นเย็นเร็วมาก ไม่เพ้อฝันเรื่องที่เป็นไปไม่ได้อีก ทุกคนตกอยู่ในความเงียบแล้ว

หยางชิ่งไม่ได้พูดะอะไรมากอีก เพียงสังเกตปฏิกิริยาของทุกคนเงียบๆ ผลลัพธ์ก็สามารถคาดเดาได้ เรียบง่ายมาก ทำอย่างไรมีประโยชน์ต่อพวกเขา ทำอย่างไรไม่มีประโยชน์ต่อพวกเขา คนพวกนี้ไม่ถึงขั้นตัดสินพิจารณาเองไม่ได้

“พาคนออกไปนั้นง่าย แต่จะพาคนกลับมายังไง พวกเราคงต้องปรึกษากันให้ดีสักหน่อย” จ่างซุนจูกล่าวอย่างลังเล

หลีเซิงพยักหน้าเงียบๆ “จะให้คนที่ออกไปข้างนอกพกแผนที่ดาวไม่ได้ ส่วนมาตรการกำกับดูแล ก็เพื่อป้องกันไม่ให้มีคนไปขอพึ่งพิงฝ่ายโจรกบฏ อยู่ที่แดนอเวจีมาหลายปี พวกเราเราชำนาญเรื่องนี้นานแล้ว…”

ประเด็นสนทนาเปลี่ยนทันที คนกลุ่มนี้เริ่มถกเถียงเถียงกันเสียงดังวุ่นวาย

หยางชิ่งไม่พูดสอดแทรก แต่แอบถอนหายใจยาว ทัพใหญ่หนึ่งล้านของหกลัทธิหมายความว่าอะไรล่ะ? ล้วนเป็นคนที่สู้สุดชีวิตจนรอดพ้นเคราะห์ใหญ่ในปีนั้นมา ทั้งยังรอดชีวิตจากการกวาดล้างของตำหนักสวรรค์มาหลายครั้ง กอปรกับมีธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์แล้วด้วย ถ้าพวกเขาบ้าระห่ำขึ้นมา ก็จะเกิดฉากคลุ้งคาวเลือดแน่นอน

หยางชิ่งรู้สึกว่านำคนออกไปแค่แสนเดียวก็พอแล้ว เพราะต่อให้ตระกูลอิ๋งจะวางกับดักอย่างไร แต่ก็ไม่มีทางวางกับดักใหญ่โตเพื่อเหมียวอี้ที่ต่ำต้อยคนเดียว อย่างมากก็แค่ใช้ยอดฝีมือเยอะหน่อยเพื่อป้องกันความผิดพลาด แต่เหมียวอี้ต้องการระดมทัพใหญ่หนึ่งล้าน สงสัยคิดจะสังหารคนที่วางกับดักให้สิ้นซากจริงๆ เจ้าเวรนั่นบ้าไปแล้ว!

“นายท่าน…”

ในโรงเตี๊ยม หรูเสวี่ยที่เปิดประตูออกมาต้อนรับเพิ่งจะกล่าวทักทาย สวีถังหรานที่เพิ่งเข้ามาก็อุดปากนางทันที โถมทับลงบนเตียงแล้วถอดเสื้อผ้าทำงานเสียเลย

นายท่านสวีคนนี้รู้เรื่องราวเบื้องลึกแล้ว รู้ว่าในไม่ช้าก็เร็วทั้งสองจะต้องฉีกหน้ากัน จึงเกิดความคิดแบบคนต่ำทราม อยากจะฉวยโอกาสนี้หาความสำราญให้ได้ยิ่งมากเท่าไหร่ก็ยิ่งดี

หลังจากเมฆสลายฝนสงบ จนกระทั่งทำอะไรไม่ไหวแล้ว สวีถังหรานถึงได้หยุด พยายามทำตัวกระปรี้กระเปร่า ทำท่าราวกับว่าเห็นหรูเสวี่ยเป็นดั่งยอดดวงใจ

หรูเสวี่ยแอบอิงพลางบ่นว่า “นายท่านทิ้งข้าไว้หลายวันแล้วนะ”

“ก็ข้ามีงานต้องทำไงล่ะ จะวิ่งมาที่นี่ทุกวันได้ยังไง” สวีถังหรานกล่าวกลั้วหัวเราะ

“ข้ากับนายท่านล้วนอยู่ที่ตลาดผี ใช้เวลาเดินทางไม่เท่าไหร่เอง งานยุ่งอะไรนักหนาคะ?” หรูเสวี่ยถาม

สวีถังหรานตบแผ่นหลังนางเบาๆ แล้วถลึงตาบอกว่า “อย่าถามสิ่งที่ไม่ควรถามสิ”

หรูเสวี่ยกล่าวอย่างน้อยใจทันที “ข้าผิดเองค่ะ ข้าก็เป็นแค่ผู้หญิงจากหอนางโลมคนหนึ่ง ไม่ควรพูดมาก”

มารดาเจ้าเถอะ! ถ้าไม่ได้เสแสร้งแล้วจะตายหรือไง? สวีถังหรานด่าแม่ในใจ แต่ปากกลับพูดจาหวานหู ปะเหลาะนางว่า “ไม่ปากมากหรอก ไม่ปากมาก ที่จริงก็ไม่มีอะไรหรอก ท่านแม่ทัพภาคกำลังเก็บตัวฝึกวิชา ข้ากับหยางเจาชิงย่อมต้องรับหน้าที่เป็นผู้ช่วยแม่ทัพภาคอยู่แล้ว จะออกมาข้างนอกบ่อยๆ ได้ยังไง…”

หรูเสวี่ยหาที่ซุกหน้าอยู่ตรงหน้าอกเขาตั้งใจฟัง…

ยอดเขาโอนเอน บนปากปล่องภูเขาไฟหลายลูกมีควันดำพุ่งขึ้นฟ้าเรากับเสา

ระหว่างหุบเขาที่แคบและมืดครึ้มลูกหนึ่ง เยี่ยนเป่ยหงกับเหยียนซิวกำลังยืนอยู่ด้วยกัน กำลังเบิกตากว้างจ้องมอง ‘เหยียนซิว’ ที่ยืนอยู่ตรงข้าม

เยี่ยนเป่ยหงมองดูเหยียนซิวที่อยู่ข้างกาย แล้วก็มองคนที่อยู่ตรงกันข้ามอีก รู้สึกงงงวย นึกไม่ถึงว่าคนที่เหมียวอี้สั่งให้มาเจอจะมีสภาพเป็นแบบนี้ นอกจากลักษณะท่าทางที่ต่างกัน หน้าตาก็เหมือนกันมากจริงๆ มองไม่ออกเลยว่าอีกฝ่ายกำลังปลอมตัว นี่เรื่องจริงหรือล้อเล่น?

“เจ้ามีพี่น้องฝาแฝดด้วยเหรอ?” เยี่ยนเป่ยหงอดไม่ได้ที่จะเอียงหน้าถาม

เหยียนซิวเหลืแบมองเขาแวบหนึ่ง แววตาเหมือนเลื่อนลอยไร้ความรู้สึก

เยี่ยนเป่ยหงย่อมเอามือตบหน้าผากเพราเข้าใจอย่างฉับพลัน เขานึกออกแลว ก่อนหน้านี้เหยียนซิวไม่ได้หน้าตาอย่างนี้ เป็นไปไม่ได้ที่พี่น้องฝาแฝดจะเติบโตพร้อมกันอย่างนี้ เขาจึงตะโกนถาม ‘เหยียนซิว’ “เจ้าเป็นใคร?”

เหยียนซิวตัวปลอมแสยะยิ้มเหยีดหยาม “ข้าก็นึกว่าใคร ที่แท้ก็เจ้านี่เอง”

“เจ้ารู้จักข้าเหรอ?” เยี่ยนเป่ยหงแปลกใจ

“พอแผลหายแล้วลืมความเจ็บปวดเหรอ ตอนแรกนับว่าเจ้าดวงแข็งนะ!” เสียงของเหยียนซิวพลันเปลี่ยนเป็นเสียงผู้หญิง ขณะเดียวกันร่างกายก็เลื้อยขยุกขยิก ชั่วพริบตาเดียวก็กลายเป็นร่างเดิมของไป๋เฟิ่งหวงแล้ว

เยี่ยนเป่ยหงเบิกตากว้างพลางตะคอกอย่างโมโห “เป็นเจ้าเองเหรอ!” ตอนแรกเขาถูกไป๋เฟิ่งหวงทำร้ายจนสาหัสมาก มีหรือที่จะลืมได้

“ทำไมล่ะ? ยังคิดจะลงมือกับข้าอีกเหรอ?” ไป๋เฟิ่งหวงดูถูก

ชวิ้ง! เยี่ยนเป่ยหงพลันพลิกมือถือดาบ แม้จะรู้ถึงวรยุทธ์ของอีกฝ่ายอย่างชัดเจน แต่นึกไม่ถึงว่ายังคิดจะพุ่งเข้าไปสู้กัน ไม่รู้ว่าเป็นเพราะกล้าหาญ หรือมีความมั่นใจว่าจะสู้ไหว

โชคดีที่เหยียนซิวคว้าข้อมือเขาไว้ได้ทันเวลา แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “อย่าทำงานนายท่านเสีย”

เมื่อได้ยินแบบนี้ เยี่ยนเป่ยหงถึงได้เก็บดาบด้วยสีหน้าตึงแข็ง

ดาบโลหิต! ดาบนี้ก็คือดาบเดิบตอนใช้ที่พิภพเล็ก เหมียวอี้ช่วยขอจากอวิ๋นอ้าวเทียนมาให้เขา

ไป๋เฟิ่งหวงที่ตั้งตารอดูแสยะหัวเราะ แล้วกอดอกถามว่า “ใครล่ะ? คนไหนที่ไปกับข้า?”

เหยียนซิวเอียงหน้าบอกใบ้เยี่ยนเป่ยหง “เรื่องนี้เร่งด่วน”

ไป๋เฟิ่งหวงมองเยี่ยนเป่ยหงศีรษะจดเท้า นางเข้าใจแล้ว ว่าคนที่จะร่วมเดินทางกับนางครั้งนี้ก็คือเขา ร่างกายเลื้อยขยุกขยิก แปลงร่างเป็นเหยียนซิวอีกครั้ง หลังจากปลอมตัวอย่างง่ายๆ ก็สะบัดแขนเสื้อเหาะพุ่งขึ้นฟ้าไป

เยี่ยนเป่ยหงกระทืบเท้า แล้วพุ่งขึ้นฟ้าตามไป

ทั้งสองได้รับคำสั่งจากเหมียวอี้ ให้ไปสำรวจที่น้ำพุวังเวงล่วงหน้า

เหยียนซิวถลันตัวไปบนยอดเขา แล้วเงยหน้ามองตาม…

ส่วนตัวเหมียวอี้ก็ออกไปจากตลาดผีอย่างลับๆ แล้ว ไปยังแดนอเวจี

แต่กลับไม่ได้ไปถึงแดนอเวจีโดยตรง เพราะระหว่างทางแวะพักที่ดาวเคราะห์งดงามดวงหนึ่ง

ข้างเกาะหินแห่งหนึ่งที่โผล่อยู่อย่างโดดเดี่ยวเหนือผิวทะเลอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเรือสินค้าลำหนึ่งกำลังจอดเทียบฝั่ง

เหมียวอี้เหาะลงมาจากฟ้า เหยียบลงบนเรือลำนั้น ขณะกำลังจะร่ายอิทธิฤทธิ์สำรวจ จู่ๆ ประตูเรือก็เปิดออก เงาร่างงดงามที่สวมชุดกระโปรงสีม่วงปรากฏออกมา ใบหน้าที่คุ้นเคยนั่นก็คือหวงฝู่จวินโหรวนั่นเอง

“ทำไมเป็นเจ้าล่ะ?” เหมียวอี้งุนงง

เขาปลอมตัวอยู่ เดิมทีสายตาของหวงฝู่จวินโหรวยังฉายแววระแวงนิดหน่อย แต่พอได้ยินเสียงแล้วแน่ใจว่าเป็นเหมียวอี้ นางก็เบี่ยงตัวเปิดประตูเรือออก แล้วถามด้วยรอยยิ้มว่า “ทำไมจะเป็นข้าไม่ได้ล่ะ? จะยืนโง่อยู่ทำไม ไม่เคยเห็นเหรอ? ยังไม่รีบเข้ามาอีก”

เหมียวอี้ขมวดคิ้วเดินเข้าไป แล้วถามต่อว่า “เจ้ามาได้ยังไง? แม้เจ้าล่ะ?”

เดิมทีเขาติดต่อหวงฝู่จวินโหรวให้ช่วยติดต่อมารดาให้ นัดกันแล้วว่าจะพบกันที่นี่ มีเรื่องจะปรึกษา ไม่เกี่ยวอะไรกับหวงฝู่จวินโหรว นางเป็นเพียงสะพานเชื่อมให้ติดต่อกันเท่านั้น

หวงฝู่จวินโหรวที่ปิดประตูเม้มปากยิ้ม “แม่ข้าไม่ได้มา”

เหมียวอี้พลันหันตัวมา แล้วถามเสียงเข้ม “ล้อเล่นอะไรกัน? เจ้าบอกว่าช่วยนัดให้ข้าแล้วไม่ใช่เหรอ?”

หวงฝู่จวินโหรวเดินเข้าไปประชิดทีละก้าว พร้อมกล่าวด้วยสายตาเจ้าเล่ห์ “นัดไว้แล้ว แต่ข้าบอกแม่ข้าว่าให้เจอกันพรุ่งนี้ ข้าช่วยเลื่อนเวลาให้เจ้าหนึ่งวัน”

เหมียวอี้อึ้งมาก แล้วตำหนิอย่างโมโห “ทำเป็นเล่นไป ข้ามีธุระสำคัญ”

“ไม่มีเวลาอยู่กับข้าสักวันเชียวเหรอ?” หวงฝู่จวินโหรวแกล้งโกรธ

เมื่อเห็นนางเป็นแบบนี้ เหมียวอี้ก็ยิ้มเจื่อน “ข้าไม่ได้หมายความอย่างนั้น…”

ยังไม่ทันพูดจบ หวงฝู่จวินโหรวก็กางแขนโผเข้ามาแล้ว ยังเร่าร้อนดั่งไฟเหมือนเดิม ตอนหลังท่านขุนนางเหมียวพูดอะไรไม่ออกแล้ว…

ในห้องโดยสารเรือกำลังฟาดฟันกันอย่างดุเดือด จู่ๆ เงาคนคนหนึ่งก็เหาะลงมาจากฟ้า สตรีวัยกลางคนหน้านิ่งเหยียบลงบนเรือ นางหันขวับมองไปทางตึกเรือที่มีความเคลื่อนไหวรุนแรง แล้วถลันตัวเข้าไป

คลื่นพลังอิทธิฤทธิ์ค่อนข้างชัดเจน สองคนที่อยู่ในห้องโดยสารเรือตกใจจนทำอะไรไม่ถูก

ปั้ง! ประตูเรือสะเทือนเปิดออก สองคนที่อยู่บนเตียงรีบดึงผ้าห่มมาบังร่างกายตัวเอง เหมียวอี้ถามอย่างโมโหว่า “ใครกัน?”

หวงฝู่จวินโหรวที่ผมยุ่งสยายเห็นรูปร่างของสตรีวัยกลางคนปราดเดียวก็รู้แล้วว่าเป็นใคร เป็นหวงฝู่ตวนหรงมารดาของนางนั่นเอง สองแม่ลูกคุ้นเคยกันดีเกินไป แม่นางแค่ปลอมแปลงใบหน้าเท่านั้นเอง นางรีบดึงแขนเหมียวอี้ที่อยู่ใต้ผ้าห่ม แล้วกล่าวเสียงต่ำอย่างอับอาย “แม่ข้าเอง”

หวงฝู่ตวนหรงก็ตกใจเช่นกัน นางแค่ทำไปเพื่อความปลอดภัย จะมาสำรวจสภาพแวดล้อมล่วงหน้าหนึ่งวัน นึกไม่ถึงว่า…จะจับสุขับตัวผู้กับสุนัขตัวเมียคู่นี้ได้คาหนังคาเขาอีกแล้ว นางฉีกหนังปลอมบนใบหน้าออก แล้วชี้ทั้งสองคน นางพูดไม่ออกแล้วจริงๆ ทนดูต่อไปไม่ได้ด้วย รีบหันหน้าแล้วหนีออกมา

เหมียวอี้ก็ครองสติไม่อยู่แล้วเช่นกัน อับอายจนไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน โดนจับได้อีกแล้ว จะให้เขาทนความรู้สึกนี้ได้อย่างไร!

…………………………

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

เหมียวอี้ เด็กหนุ่มธรรมดาแต่มีโชคชะตาที่ไม่ธรรมดา!

เขาคือเด็กกำพร้าที่ถูกเพื่อนบ้านตราหน้าว่าเป็น ‘ตัวหายนะ’

เพราะพ่อแม่บุญธรรมที่รับเลี้ยงเขาล้วนมีจุดจบอยู่ในกองเพลิงทั้งสิ้น

เขาจึงต้องเติบโตมากับน้องๆ ต่างสายเลือดอีกสองคนตามลำพัง

ไร้เงิน ไร้อำนาจ ไร้ความสามารถ ซ้ำยังเป็นตัวซวย โลกนี้มันช่างอยู่ยากเสียจริง!

หนทางที่จะลบคำครหาของชาวบ้านและก้าวพ้นชีวิตที่ยากไร้ไปได้ก็คือการสำเร็จเป็นเซียน

แม้ความปรารถนาจะอยู่สูงเกินเอื้อม แต่เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่น

ถึงจะลำบากและอันตรายเพียงใด

ก็ขอทะยานไปให้สุดขอบฟ้า!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท