พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า – บทที่ 1702 จวนแม่ทัพภาค

บทที่ 1702 จวนแม่ทัพภาค

เรื่องจริงก็ได้พิสูจน์แล้ว ว่าเมื่อมีเฉาหม่านคอยช่วยเหลือ เรื่องการสลับอาณาเขตก็ไม่ใช่ปัญหาเลย หลังจากจวนแม่ทัพภาคตลาดผีรายงานสิ่งที่ต้องการต่อตำหนักนารีสวรรค์ คำตอบที่ได้รับก็ไม่ใช่การปฏิเสธ บอกว่าเพียงต้องพิจารณาสักหน่อย

สำหรับบางคน เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นเรื่องใหญ่ แต่สำหรับคนระดับราชินีสวรรค์ นี่ก็เป็นแค่เรื่องเกี่ยวกับการเปลี่ยนที่พัก ตราบใดที่ฝั่งแดนพุทธไม่มีความเห็นแย้งก็จะไม่มีปัญหา ที่จริงขอเพียงนางเอ่ยปาก ฝั่งแดนพุทธก็ไม่น่าจะหักหน้านาง ก็แค่เรื่องเปลี่ยนที่พักเอง หน้าตาศักดิ์ศรีของราชินีสวรรค์มีค่ากว่าสิ่งนี้ไกลมาก

หลังจากนั้นไม่กี่วัน เหมียวอี้ก็ได้รับข่าวที่ส่งมาจากพระอาจารย์จี้คงวัดพระกษิติครรภ์ บอกว่าสามารถสลับที่อยู่กันได้ ถามเขาว่าสะดวกจะสลับกันเมื่อไร

ยังต้องใช้เวลาอะไรอีก? สลับทันที! สถานที่อันตรายเช่นนี้เขาไม่อยากอยู่ต่อแม้แต่วันเดียว

หลังจากเหลือคนไว้ส่วนหนึ่งเพื่อส่งต่องาน เหมียวอี้ก็เด็ดป้ายจวนแม่ทัพภาคแล้วนำกำลังพลไปที่วัดพระกษิติครรภ์โดยตรง

พระอาจารย์จี้คงที่พบกับเขามีสีหน้าจนใจ แบบนี้มันเรียกว่าเรื่องอะไรกัน แต่ก็ไม่มีทางเลือก เพราะเบื้องบนออกคำสั่งมาแล้ว เก็บของย้ายที่ก็แล้วกัน

“พระอาจารย์ ท่านลืมหยิบของไปด้วย”

จี้คงกำลังนำคนออกจากประตูใหญ่เตรียมจะออกไป แต่ถูกเหมียวอี้ตะโกนเรียกไว้

พระอาจารย์จี้คงหันกลับมามองอย่างงุนงง เหมียวอี้ที่ยืนอยู่ตรงประตูหรี่ตายิ้มพร้อมชี้ป้ายชื่อบนวงกบประตู

พระอาจารย์จี้คงหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออกทันที จากนั้นโบกแขนเสื้อ ร่ายอิทธิฤทธิ์ดูดป้ายชื่อเข้ามาเก็บไว้ จากนั้นประนมมือขอบคุณเหมียวอี้

“แขวนป้ายชื่อ” เหมียวอี้เอียงหน้าบอกสวีถังหราน สวีถังหรานปฏิบัติตามอย่างร่าเริงทันที ส่วนเหมียวอี้กุมหมัดคารวะจี้คง “ขออภัยที่ส่งได้เพียงตรงนี้!”

ขณะมองดูจี้คงเดินจากไป บนใบหน้าเหมียวอี้ก็เริ่มทำสีหน้าประหลาด ไม่รู้ว่าหลังจากจี้คงเห็นสภาพที่พักโกโรโกโสแล้วจะมีปฏิกิริยาอย่างไร

“นายท่าน แขวนเสร็จแล้ว ท่านดูหน่อยว่าเป็นยังไง?” สวีถังหรานขอรายละเอียดอยู่ข้างๆ

เหมียวอี้หันตัวมาเงยหน้ามอง พบว่าตั้งตรงเรียบร้อยมาก เขาจึงพยักหน้า แล้วชี้บนผนังด้านนอก “ติดประกาศว่าย้ายวัดพระกษิติครรภ์ไปแล้ว จะได้ไม่มีศิษย์สำนักพุทธแล้วเข้าประตูผิด”

“ขอรับ! จะไปจัดการเดี๋ยวนี้” สวีถังหรานเอ่ยรับทันที

เหมียวอี้เอามือไขว้หลังเดินเข้าไปข้างใน “ถ่ายทอดคำสั่งลงไป ให้ค้นหาในที่พักให้ละเอียดทุกซอกทุกมุม อย่าให้เหลือลับลมคมในอะไรเอาไว้”

“ขอรับ!” หยางเจาชิงนำคนไปปฏิบัติตามคำสั่งทันที

ส่วนเหมียวอี้ก็เดินขึ้นไปชั้นบนอย่างเนิบช้า มาถึงพระอุโบสถแห่งนั้น เม่ยจีกับอวี้หลัวช่าล้วนเจอเขาที่นี่ คิดไปคิดมาก็รู้สึกทอดถอนใจ เมื่อไม่นานก่อนหน้านี้ยังเป็นแขกอยู่เลย แต่ด้วยความพยายามของตน ชั่วพริบตาเดียวตนก็กลายเป็นเจ้าของที่นี่แล้ว

ส่วนพระพุทธรูปที่หลงเหลืออยู่ที่นี่ เหมียวอี้ก็ไม่ได้คิดจะรื้อทิ้ง ทุกที่ในนี้ล้วนมีร่องรอยของสำนักพุทธ ถ้าจะจัดการก็ยุ่งยากเช่นกัน

เพียงแต่ถ้าพูดโดยภาพรวมแล้ว ปัจจัยของที่นี่ก็เหนือกว่าที่อาณาเขตเดิมเยอะมาก ถึงแม้ที่อาณาเขตเดิมจะไม่นับว่าแย่ก็ตาม

ส่วนพระอาจารย์จี้คงที่เข้าพักในจวนแม่ทัพภากลับงงเป็นไก่ตาแตก ตะลึงงันกับสิ่งที่เห็น กวาดสายตามองครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างเนิบช้าเหม่อลอย นึกว่าตัวเองตาฝาดไป หรือว่านี่จะเป็นภาพลวงตาที่เกิดจากวิชาอะไรบางอย่าง?

มองดูจากภายนอกก็ยังพอไหว แต่พอเข้ามาข้างในทำไมกลายเป็นอย่างนี้ล่ะ ก่อนหน้านี้ก็เคยมา แต่ก็ไม่ใช่แบบนี้นี่นา ผนังนั่น เสานั่น ขื่อนั่น ทำไมดูเหมือนเสี่ยงจะถล่มลงมาได้ทุกเมื่อ คนที่มาที่นี่เป็นครั้งแรกเดินแล้วไม่กล้าส่งเสียงดังเลย น่าตกใจมาก ทำไมกลายเป็นอย่างนี้ไปได้?

ศิษย์สำนักพุทธคนอื่นที่เตรียมตัวเข้าพักเรียบร้อยแล้ว แต่ละคนทำสีหน้าตกใจ ไม่ค่อยกล้าเชื่อสิ่งที่ตัวเองได้เห็น

ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่ทุกคนที่มีโอกาสมาที่จวนแม่ทัพภาคบ่อยๆ คนที่ได้เห็นสถานการณ์ในจวนแม่ทัพภาคมีไม่เยอะ ในดวงตาพวกเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกเหลือเชื่อ ที่แท้คนในจวนแม่ทัพภาคก็พักอยู่ในสถานที่อันตรายอย่างนี้นี่เอง ไม่แปลกใจที่อยากจะแลกสถานที่กับพวกเรา

พระอาจารย์จี้คงเอามือลูบเสาที่บอบบางเหมือนแขวนอยู่บนเส้นด้าย หลังจากแน่ใจแล้วว่าไม่ใช่วิชาพรางตา ใบหน้าก็เดี๋ยวแดงเดี๋ยวซีด ค่อยๆ เผยสีหน้าโกรธเคืองออกมา ชั่วขณะนั้นอยากจะไปขอคำชี้แจงจากเหมียวอี้ ทว่าสุดท้ายก็ยังข่มอารมณ์ไว้ พยายามทำใจให้สงบ เกลี้ยกล่อมตัวเองว่าอย่าวู่วาม

ประการแรก หนิวโหย่วเต๋อเป็นนักรบที่โด่งดัง เป็นแม่ทัพผู้เหี้ยมหาญที่มีผลงานการรบดีมาก เชี่ยวชาญการรบที่สุด ลูกน้องของเขาก็ล้วนเป็นกำลังพลชั้นดีของตระกูลโค่ว ถ้าต่อสู้กันขึ้นมา ฝ่ายนี้ก็อาจจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของหนิวโหย่วเต๋อเลยจริงๆ ประการต่อมา หนิวโหย่วเต๋อขึ้นชื่อว่าเป็นพวกไม่ใช้สมอง มีเรื่องอะไรบ้างที่ทำไม่ได้? ต่อให้ตนไม่อยากจะสู้ ต่อให้แค่จะไปคุยกันด้วยเหตุผล แต่เจ้าหนุ่มนั่นก็อาจไม่แน่ นอกจากนี้ก็ยังสงสัยด้วยว่าหนิวโหย่วเต๋อกำลังจงใจล้างแค้นตน เดิมทีก็จงใจหาเรื่องอยู่แล้ว หลังจากหลอกเขาสองครั้งติดต่อกัน เขาก็ประกาศแล้วว่าจะรื้อวัดพระกษิติครรภ์ของตน ใครจะคิดว่าท่าไม้ตายสำรองจะอยู่ที่นี่ ไม่น่าเชื่อว่าจะรื้อที่นี่ ความคิดแบบนี้ชั่วร้ายเกินไปแล้ว!

ที่สำคัญที่สุดก็คือ ตัวเองเป็นฝ่ายไปหาก่อน ถ้าทำให้แดนพุทธกับตำหนักสวรรค์เกิดข้อพิพาทขึ้นมา ตนก็รับผิดชอบไม่ไหวเลยจริงๆ

แต่ความโกรธนี้…พอหันตัวมองดูสภาพโดยรอยแล้วข่มอารมณ์ไม่ไหวจริงๆ แบบนี้จะอยู่กันอย่างไรล่ะ! ถ้าอยู่ไปสองวันแล้วถล่มลงมาจะทำอย่างไร?

ดังนั้นเขาจึงหยิบระฆังดาราออกมา จะต้องร้องเรียนเรื่องนี้ให้ได้!

หลังจากแดนพุทธได้ข่าวจากจี้คง ทีแรกก็ไม่ค่อยเชื่อเท่าไร ต่อให้หนิวโหย่วเต๋อจะสารเลวแค่ไหนแต่ก็ไม่ถึงขั้นทำเรื่องแบบนี้หรอกมั้ง? ทว่าหลังจากตรวจสอบยืนยันซ้ำ ก็พบว่าข่าวไม่ผิด หนิวโหย่วเต๋อทำอย่างนี้แล้วจริงๆ

แน่นอน พวกเขาไม่อาจแตกคอกับตำหนักสวรรค์เพราะเรื่องเล็กน้อยแค่นี้ แต่ก็จะทำเหมือนฝั่งนี้เป็นคนโง่ไม่ได้ ยังต้องเตือนฝั่งราชินีสวรรค์สักหน่อย ว่าถ้าครั้งหน้าเกิดเรื่องแบบนี้อีกจะไม่ยอมแล้ว!

หลังจากตำหนักนารีสวรรค์ได้ข่าวจากแดนสุขาวดี ทีแรกก็ไม่กล้าเชื่อเหมือนกัน แต่ก็ไม่ได้ถามเหมียวอี้ ไปถามทางตึกศาลาสัตยพรตแทนว่าคิดอย่างไร รู้เรื่องล่วงหน้าแล้วเตรียมแผนอื่นไว้แล้วหรือเปล่า? เหตุใดจึงไม่บอกล่วงหน้า วุ่นวายจนทางนี้ไม่รู้จะตอบแดนพุทธอย่างไร

ส่วนราชินีสวรรค์เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ก็คิดว่าเฉาหม่านคงมีแผนอะไรอีกอย่างหนึ่ง ไม่อย่างนั้นคงไม่ช่วยบอกกับทางนั้นให้หนิวโหย่วเต๋อหรอก ที่จริงมีหลายเรื่องมากที่ตระกูลเซี่ยโห้วแอบทำโดยไม่บอกนาง นางก็รู้เช่นกัน แต่ก็จนใจที่ทำอะไรไม่ได้ จึงทำได้เพียงแสดงออกต่อเฉาหม่านอย่างอ้อมๆ ว่าไม่พอใจ

หลังจากได้รับข่าว เฉาหม่านก็ยังไม่กล้าเชื่อเช่นเดียวกัน เป็นไปไม่ได้หรอกมั้ง? แต่เขาก็ไม่รู้สถานการณ์เบื้องลึกจริงๆ ที่สำคัญคือหลังจากกำลังพลในจวนแม่ทัพภาคตลาดผีย้ายออกไปแล้ว ก็เปลี่ยนกำลังพลใหม่เป็นคนของตระกูลโค่วทั้งหมด คนนอกจึงไม่รู้ว่าสถานการณ์ข้างในเป็นอย่างไร

ดังนั้นเรื่องเล็กน้อยนี้จึงสะเทือนไปถึงเถ้าแก่เฉาหม่านแห่งตึกศาลาสัตยพรตให้ต้องออกโรงเอง เฉาหม่านนำคนไปที่ ‘วัดพระกษิติครรภ์ใหม่’ ด้วยตัวเอง โดยใช้ข้ออ้างที่ฟังดูดีว่ามาเยี่ยมเยียน ที่จริงจะมาตรวจสอบว่าเรื่องราวเป็นอย่างไรกันแน่

พระอาจารย์จี้คงย่อมรู้ถึงสถานะของเฉาหม่านที่ตลาดผี นับเป็นผู้ที่มีอำนาจในตลาดผีอย่างแท้จริง ดังนั้นจึงออกมาต้อนรับด้วยตนเอง

“เถ้าแก่เฉามาเยือนด้วยตนเอง นับเป็นเกียรติของวัดเล็กๆ แห่งนี้” จี้คงประนมมืออย่างสุภาพ แล้วหันตัวเชิญ

ภายนอกดูไม่เลว ไม่เหมือนมีปัญหาอะไร!

เฉาหม่านที่ยืนอยู่ตรงประตูเหลียวซ้ายแลขวา พยักหน้าเล็กน้อย แล้วเอามือไขว้หลังเดินเข้าไปข้างใน

หลังจากมาถึงข้างในแล้ว เห็นสภาพเรือนพักที่โอนเอนใกล้จะล้ม เฉาหม่านและผู้ติดตามก็เดินเบาๆ โดยจิตใต้สำนึก พวกเขาสบตากันอย่างพูดไม่ออก เงยหน้ามองบนเพดาน ไม่รู้เลยจริงๆ ว่ามันจะถล่มลงมาเมื่อไร นี่มันใช่ที่อยู่อาศัยของคนเหรอ?

เมื่อได้เห็นกับตาตัวเองแล้ว เฉาหม่านก็นับว่าเชื่อว่าหนิวโหย่วเต๋อทำเกินไป ขนาดเรื่องไร้คุณธรรมที่เกิดผลเสียต่อตัวเองแบบนี้ก็ยังกล้าทำ ขนาดไม่ได้ประโยชน์อะไรก็ยังล่วงเกินคนเขาไปทั่ว ช่างเป็นคนบ้าจริงๆ! เขาจึงกล่าวว่า “ไต้ซือเตรียมจะแลกกลับหรือเปล่า?” เขาเฝ้ารอที่จะเห็นเหมียวอี้โดนกรรมตามสนองมาก

เฉาเฟิ่งฉือที่ตามมาด้วยเรียกได้ว่าหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก กาเข้าฝูงกา หงส์เข้าฝูงหงส์ สมกับเป็นสหายเพียงคนเดียวของพี่ใหญ่ตอนยังมีชีวิตอยู่ ทำไมมีสันดานเดียวกันซะได้

จี้คงถอนหายใจแล้วบอกว่า “ทางสำนักส่งข่าวมา ว่าให้เห็นแก่หน้าราชินีสวรรค์แล้วปล่อยผ่าน ให้พวกอาตมาซ่อมบำรุงสักหน่อย แต่แน่นอน หากเถ้าแก่เฉายินดีจะให้วัดพระกษิติครรภ์ขุดสร้างวัดใหม่ที่ริมตลาดผี อาตมาก็ย่อมซาบซึ้งใจไม่รู้สิ้น”

“เหอะๆ!” เฉาหม่านเอามือลูบจมูก แล้วกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “ถ้าทิ้งบริเวณใจกลางตลาดผีไปก็น่าเสียดาย ต่อเติมที่นี่ให้มั่นคงแข็งแรงดีกว่า” นี่ไม่ใช่คำโกหก ที่นี่กำลังจะถล่มแล้วจริงๆ ต้องสิ้นเปลืองอีกแล้ว ที่พักที่จุคนจำนวนมากขนาดนี้ ต้องกินพื้นที่มากขนาดไหนกัน!

เขาเองก็แค่มาดูนิดหน่อย ดูว่าเป็นเรื่องจริงหรือเปล่า ไม่ได้เตรียมจะอยู่ที่นี่นาน

หลังจากออกจากวัดพระกษิติครรภ์แล้ว เฉาหม่านก็นำคนตรงไปยังจวนแม่ทัพภาคแห่งใหม่ ต้องการจะไปคิดบัญชีกับเหมียวอี้ เพราะบังอาจมาหลอกใช้เขา ทำให้เขาชี้แจงกับราชินีสวรรค์ไม่ได้ แต่พอไปได้ครึ่งทาง ก็เลี้ยวกลับมาที่ตึกศาลาสัตยพรตอีก ถ้าไปหาถึงที่จริงๆ แล้วจะทำอะไรเหมียวอี้ได้ล่ะ สั่งสอนสักยกเหรอ? ถ้ากลับไปตอนนี้ก็ยังต้องแกล้งโง่อีก ถ้าไปหาถึงที่ก็ต้องให้เหมียวอี้ให้คำชี้แจ้งจริงๆ!

“สลับจวนแม่ทัพภาคแล้ว?”

ในจวนอ๋องสวรรค์โค่วชั่วคราว โค่วหลิงซวีที่ได้รับข่าวรู้สึกงงนิดหน่อน

เรื่องนี้ปิดบังเขาไม่ได้ เพราะตระกูลโค่วยังไม่ได้ถอนกำลังกลับมาจากตลาดผี

“ข้าก็แปลกใจเหมือนกัน ข้าเห็นกับตาว่าสภาพจวนแม่ทัพภาคเสียหายจนกลายเป็นแบบไหน วัดพระกษิติครรภ์ตอบตกลงให้สลับกันได้ยังไง?” โค่วเจิงถาม

หลังจากนั้นไม่กี่วัน ทางนี้ก็ได้รับรข่าวจากฝั่งแดนพุทธแล้ว ทางนั้นบอกว่าจะช่วยปิดบังเรื่องที่ หนิวโหย่วเต๋อวางกับดักวัดพระกษิติครรภ์

ตระกูลโค่วได้ยินข่าวแล้วพูดไม่ออก ก่อนหน้านี้ยังนึกว่าเหมียวอี้ใช้วิธีการอะไรเจรจากับแดนพุทธให้ตอบตกลงได้ สงสัยจะเป็นการหลอกลวงขูดรีด!

โค่วหลิงซวีได้ยินข่าวแล้วเงียบไปพักหนึ่ง สุดท้ายก็ถอนหายใจเบาๆ “เจ้าหนุ่มนี่ช่างอยู่ไม่สุขจริงๆ! หวังว่าเขาจะรับสิ่งที่ตัวเองทำได้ก็แล้วกัน!”

ขนาดฝั่งนี้ยังรู้ข่าวแล้ว ทางวังสวรรค์ก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึง

ประมุขชิงที่ได้ทราบข่าวตั้งใจไปที่ตำหนักนารีสวรรค์ ไปเยี่ยมราชินีสวรรค์ที่กำลังตั้งครรภ์ แน่นอนว่าต้องถือโอกาสถามเรื่องจวนแม่ทัพภาคตลาดผีด้วย

หลังจากออกจากตำหนักนารีสวรรค์ ประมุขชิงก็ชำเลืองซ่างกวนชิงที่เดินตามเข้ามา อดไม่ได้ที่จะส่ายหน้า แล้วกล่าวอย่างรู้สึกขำ “พอพูดถึงเรื่องนี้ เฉิงอวี่ก็เหมือนจะโมโหนิดหน่อย! สลับอาณาเขตกัน สมแล้วที่เจ้าลูกลิงนั่นคิดได้ ใจกล้าไม่เบา ตัวอยู่ที่ตลาดผีแต่กล้าล่วงเกินตระกูลเซี่ยโห้ว แต่ก็น่าสนุกทีเดียว ไม่น่าเชื่อว่าพอรื้อจนจวนแม่ทัพภาคโอนเอนแล้ว ชั่วพริบตาเดียวก็หาคนมาสลับที่กันได้เรียบร้อย ทั้งยังมีคนโง่มารับช่วงต่อจริงๆ การแลกเปลี่ยนนี้ทำแล้วไม่ขาดทุน” พูดจบก็หัวเราะเบาๆ อีกอย่างอดไม่ได้ แปลกจัง พอรู้ว่าแม้แต่เหมียวอี้ก็ยังหลอกต้มตระกูลเซี่ยโห้วได้ ไม่น่าเชื่อว่าตัวเองจะรู้สึกสะใจ

ซ่างกวนชิงยิ้มบางๆ แต่ก็ทำท่าอึกอัก เหมือนมีอะไรบางอย่างจะพูด

ประมุขชิงเหล่ตามองแวบหนึ่ง เดาว่าคงมีคำพูดบางอย่างที่ทำให้ตนไม่ปลื้ม จึงไม่สะดวกจะพูดออกมา จึงทำเสียงฮึดฮัดแล้วบอกว่า “มีอะไรก็พูดมาได้เลย”

ซ่างกวนชิงก้มหน้าตอบ “ได้รับข่าวมา ว่าทางสี่อ๋องสวรรค์ถ่ายทอดคำสั่งลงไปแล้ว สั่งแต่ละหน่วยของตัวเองว่าไม่ว่าในอดีตจะเคยมีความแค้นอะไรกับหนิวโหย่วเต๋อ ต่อไปนี้ก็ห้ามไปหาเรื่องหนิวโหย่วเต๋ออีก”

…………………………

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

เหมียวอี้ เด็กหนุ่มธรรมดาแต่มีโชคชะตาที่ไม่ธรรมดา!

เขาคือเด็กกำพร้าที่ถูกเพื่อนบ้านตราหน้าว่าเป็น ‘ตัวหายนะ’

เพราะพ่อแม่บุญธรรมที่รับเลี้ยงเขาล้วนมีจุดจบอยู่ในกองเพลิงทั้งสิ้น

เขาจึงต้องเติบโตมากับน้องๆ ต่างสายเลือดอีกสองคนตามลำพัง

ไร้เงิน ไร้อำนาจ ไร้ความสามารถ ซ้ำยังเป็นตัวซวย โลกนี้มันช่างอยู่ยากเสียจริง!

หนทางที่จะลบคำครหาของชาวบ้านและก้าวพ้นชีวิตที่ยากไร้ไปได้ก็คือการสำเร็จเป็นเซียน

แม้ความปรารถนาจะอยู่สูงเกินเอื้อม แต่เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่น

ถึงจะลำบากและอันตรายเพียงใด

ก็ขอทะยานไปให้สุดขอบฟ้า!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท