พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า – บทที่ 1764 นางตัวแสบ อย่าหนีนะ!

บทที่ 1764 นางตัวแสบ อย่าหนีนะ!

อวี้หลัวช่าแค้นจนกัดฟันกรอด ยามยอดฝีมือสำแดงฤทธิ์ผู้สง่าน่าเกรงขามเผชิญหน้ากับนักพรตบงกชรุ้งต่ำต้อยคนหนึ่ง ก็ยังไม่เคยไร้ความสามารถเช่นนี้มาก่อน นางหันหน้าหนีไม่มองเขา ระบายความเดือดดาลในใจลงในผลไม้ ออกแรงกัดเคี้ยวคำแล้วคำเล่า

เหมียวอี้รู้สึกบันเทิงแล้ว กำลังเดาว่าในใจอีกฝ่ายคงกำลังเดือดแค้น กำลังรอให้ถึงวันที่เขาตกอยู่ในมือนาง แต่เขาไม่ให้โอกาสนั้นกับนางหรอก

นำกระบอกกระดูกสะพายไว้ข้างหลังเหมือนเดิม เหมียวอี้ไม่กล้านอนหลับเช่นกัน กลัวว่าผู้หญิงคนนี้จะลอบโจมตี เขาเริ่มสังเกตและจดจำดวงดาวบนท้องฟ้าเงียบๆ ด้วยความระมัดระวัง ถ้าหลงทางเมื่อไร การเรียงตัวของดวงดาวบนท้องฟ้าก็ยังทำให้แยกแยะทิศทางได้

ทั้งสองนั่งอยู่ข้างกองไฟอย่างนี้ทั้งคืน

วันต่อมาเมื่อท้องฟ้าเริ่มสว่างสลัวๆ เหมียวอี้ก็ปีนขึ้นไปบนยอดเขาและยืนยันตำแหน่งอีกครั้ง แล้วก็เดินลงเขาไปข้างหน้าต่ออีกครั้ง อวี้หลัวช่าเดินไปข้างหน้าต่อ ทั้งสองไม่ได้หลับตาเลยทั้งคืน เพราะกลัวว่าฝ่ายตรงข้ามจะลอบโจมตี

ฝั่งนี้ของภูเขาเป็นป่ารกร้าง พอเดินผ่านป่ารกร้างมาถึงหุบผาชันแห่งหนึ่ง ก็จะพบว่าหินผาที่แหลมราวกับโดนมีดตัดในหุบผาชันนั้นไร้ต้นไม้ใบหญ้า ทุกที่มีแต่หินผาที่แหลมคม เวลาเดินก็ถึงขั้นทำให้ย่ำเท้าลำบากนิดหน่อย อวี้หลัวช่ายังคงตามเหมียวอี้ไปตลอดทาง

เหมียวอี้ใช้กระบี่เคาะหินผาแหลมคมหุบผาชันสองสามที ไม่น่าเชื่อว่าจะคล้ายเสียงโลหะ “แกร๊งๆ” แข็งแรงทนทานมาก

หลังจากเดินออกจากหุบผาชัน ด้านหน้าก็ยังเป็นป่ารกร้าง เหมียวอี้หันกลับมามองแวบหนึ่ง แต่ไม่เห็นอวี้หลัวช่าตามออกมา

ตอนแรกเหมียวอี้ก็ไม่ได้สนใจอะไร จึงใช้สายตาคาดคะเนทิศทางอีกครั้ง จากนั้นเดินลงไปที่เนินเขาที่เป็นทางออกของหุบผาชัน แต่พอหันกลับมามองอีกครั้งก็ยังไม่เห็นอวี้หลัวช่าออกมา

เหมียวอี้แปลกใจทันที ตามหลักแล้วไม่น่าจะเป็นแบบนี้ เพราะอวี้หลัวช่าไม่รู้ถึงสถานการณ์ของดาวเคราะห์ดวงนี้เลย ไม่รู้ว่าทุกหนึ่งพันปีจะสามารถหนีออกไปได้หนึ่งครั้ง จะเป็นไปได้อย่างไรที่นางจะไม่ตามตนมา?

บางทีอวี้หลัวช่าอาจไม่รู้ ที่จริงเหมียวอี้ก็ต้องการให้นางตามเขาไปเช่นกัน เพราตอนนี้เขาฆ่านางไม่ได้ มีแต่ต้องล่อให้ตามไปตลอดทางจนเจอโอกาสเหมาะถึงจะลงมือได้ เขาไม่เชื่อหรอกว่าความสามารถของกายหยาบตัวเองจะเอาชนะผู้หญิงคนหนึ่งไม่ได้ เดี๋ยวรอให้อวี้หลัวช่าหมดแรงไปพอสมควร ก็จะถึงโอกาสดีสำหรับลงมือแล้ว

เหมียวอี้ตระหนักได้ถึงความผิดปกติแล้ว รีบกลับไปอีกครั้ง

ตอนที่เข้าใกล้ทางออกของหุบผาชัน เหมียวอี้ก็ผ่อนฝีเท้าให้ช้าลง เฝ้าระแวะระวังในหุบผาชัน กังวลว่าจะมีการซุ่มโจมตี

พอเข้ามาในหุบผาชันอีกครั้งได้ไม่ไกลมาก ก็ได้ยินเสียง “ซาๆๆ” ดังแว่วมาจากข้างใน

นี่มันสถานการณ์อะไรกัน? เหมียวอี้เงี่ยหูฟังครู่หนึ่ง สีหน้าเต็มไปด้วยความไม่เข้าใจ แต่ก็แน่ใจได้ว่าเป็นเสียงความเคลื่อนไหวของอวี้หลัวช่า เพราะก่อนหน้านี้ที่เดินผ่านหุบผาชันมาไม่มีเสียงผิดปกติเลยสักนิด นอกจากนางตัวแสบอวี้หลัวช่านั่นแล้วจะเป็นใครไปได้อีก?

เหมียวอี้เดินย่องเข้าไปใกล้จุดเลี้ยวโค้ง ยื่นศีรษะออกไปตรวจดู ตอนยังไม่เห็นก็ไม่รู้ แต่พอเห็นแล้วตกใจมาก

อวี้หลัวช่าไม่ได้ตามเขามาจริงๆ นางเห็นว่าในหุบผาชันมีหินผาแหลมคมอยู่ทุกที จึงเกิดความคิดบางอย่างขึ้นแล้ว พอมองคล้อยหลังเหมียวอี้ออกจากหุบผาชันไป ตัวเองก็กลับเข้ามาอีก จากนั้นถอดกระเป๋าสัตว์ออกมา นั่งบนโขดหินแล้วใช้สองมือดึงกระเป๋าสัตว์ลับบนหินผาแหลมคม

สำหรับนักพรต ขอเพียงใช้อาวุธแหลมคม ก็จะสามารถทำให้กระเป๋าสัตว์ขาดได้ง่ายมาก แต่ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่ของธรรมดา ยังคงแข็งแกรงทนทานมากสำหรับมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง มิติว่างที่สามารถบรรจุของได้เยอะขนาดนั้นมีหรือที่จะขาดได้ง่ายๆ ไม่อย่างนั้นจะจุของได้อย่างไร

ที่ลำบากลำบนขนาดนี้ อวี้หลัวช่าก็ไม่มีวิธีอื่นแล้วเช่นกัน ไม่สามารถใช้พลังอิทธิฤทธิ์สื่อสารกับงูมังกรในกระเป๋าสัตว์ได้ ก็ไม่สามารถทำให้งูมังกรทำลายกระเป๋าสัตว์แล้วออกมาเองได้ ทำได้เพียงใช้วิธีการโง่ๆ แบบนี้แล้ว

เหมียวอี้ที่แอบดูอยู่เริ่มเบิกตากว้าง ไม่มีทางที่เขาจะไม่รู้ว่าในกระเป๋าสัตว์ของอวี้หลัวช่ามีตัวอะไรอยู่ ถ้าปล่อยให้อวี้หลัวช่าเปิดกระเป๋าสัตว์ได้ ปล่อยสัตว์พาหนะงูมังกรออกมาแล้ว อวี้หลัวช่าก็จะมีวิธีหนีออกจากดาวเคราะห์ดวงนี้

ถึงแม้เขาจะรู้ว่าอวี้หลัวช่าอาศัยกายเนื้อเปิดกระเป๋าสัตว์ให้ขาดได้ยาก แต่ภาพตรงหน้าก็ทำให้เขาหวาดระแวงกลัว ถ้าเกิดสถานการณ์ฝนทั่งให้กลายเป็นเข็มขึ้นมาจะเป็นอย่างไรล่ะ? ในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้วว่าทำไมผู้หญิงคนนี้ยอมทิ้งกำไลเก็บสมบัติที่ใส่ทรัพย์สินเอาไว้ แต่ไม่ยอมมอบกระเป๋าสัตว์ให้เขา สงสัยจะมีแผนการหาทางเปิดกระเป๋าสัตว์ตั้งแต่แรกแล้ว

อวี้หลัวช่าก้มหน้าก้มตาพยามยามอย่างหนักขนาดนั้น

เหมียวอี้ถือกระบี่ขึ้นมาแล้ว เขาย่องมาข้างหลังนางอย่างช้าๆ พยายามไม่ส่งเสียงอะไร เตรียมจะใช้กระบี่ฟันอวี้หลัวช่าเงียบๆ

ทว่าคนที่ไต่เต้าถึงตำแหน่งพุทธะหน้าหยกได้ก็ไม่ใช่ไก่อ่อน เป็นไปไม่ได้ที่นางจะลับกระเป๋าสัตว์อยู่ตรงนี้อย่างใจจดใจจ่อ นางคอยระแวดระวังรอบข้างเป็นระยะ

ผลปรากฏว่าพอเงยหน้าขึ้น ก็สบตากับเหมียวอี้ทันที

เหมียวอี้ที่ถือกระบี่เดินย่องเข้าไปตัวแข็งทื่ออยู่กับที่แล้ว ส่วนอวี้หลัวช่าก็ทำสีหน้างุนงง

อวี้หลัวช่าค่อนข้างนึกไม่ถึงว่าเหมียวอี้จะกลับมา ตามความเห็นของนาง เหมียวอี้น่าจะอยากรีบสลัดนางทิ้ง อยากจะให้นางแก่ตายอยู่ที่นี่ ถึงอย่างไรก่อนหน้านี้เหมียวอี้ก็ทำอย่างนี้ และพูดอย่างนี้แล้วด้วย

อึ้งไปชั่วขณะก็ได้สติกลับมา เจ้าเวรนี่มันอยากสลัดตนทิ้งเสียที่ไหนกัน เห็นได้ชัดว่าอยากจะจูงจมูกตนแล้วหาโอกาสเหมาะลงมือทำร้าย ก่อนหน้านี้จงใจพูดและทำอย่างนั้น ชั่วร้ายเกินไปแล้ว!

นางเองก็รู้ว่าเปิดกระเป๋าสัตว์ได้ยาก แต่พอเห็นสภาพแวดล้อมของที่นี่ ทุกที่มีแต่หินแข็งแรงแหลมคม ดังนั้นนางจึงคิดจะลอง ถึงอย่างไรนางก็พอเดาทิศทางคร่าวๆ ที่เหมียวอี้จะไปได้แล้ว นางอยากจะลองดูก่อนว่าได้ผลหรือไม่ ถ้าไม่ได้ผลก็จะตามต่อไป

ใครจะคิดว่าพอลองแล้วจะเกิดปัญหา เหมียวอี้วิ่งกลับมาอีกแล้ว อีกทั้งยังมองเจตนาของนางออกด้วย

ทั้งสองสบตากันอย่างตะลึงงันครู่เดียว

ทันใดนั้น เหมียวอี้ก็พุ่งเข้ามาควงกระบี่ฟันอย่างรวดเร็วดุดัน อวี้หลัวช่ากระโดดหลบแล้วเลี้ยววิ่งหนีทันที

เพื่อที่จะลดภาระบนตัวให้ไล่ตามโจมตีได้สะดวก ของบนตัวที่โยนทิ้งได้เหมียวอี้ก็ทิ้งหมดแล้ว กระบอกกระดูกที่ใส่น้ำ หรือเสบียงอาหารแห้งอะไรก็โยนทิ้งหมด ครั้งนี้เหมียวอี้สู้ตายโดยไม่ยอมปล่อยอวี้หลัวช่าไป ไม่ให้โอกาสอวี้หลัวช่าได้เปิดกระเป๋าสัตว์

อวี้หลัวช่าก็รู้ว่าการกระทำของตัวเองได้ก่อปัญหาแล้ว ทำให้อีกฝ่ายเกิดความคิดจะลงมือฆ่าเต็มที่ รู้ว่าเหมียวอี้ไม่มีทางให้โอกาสนางพลิกสถานการณ์แน่นอน จะต้องฆ่านางให้ได้ ดังนั้นจะทำอย่างไรได้อีกนอกจากหนี?

“นางตัวแสบ อย่าหนีนะ!” เหมียวอี้ที่ไล่ตามอยู่ข้างหลังคำรามอย่างดุดัน

อวี้หลัวช่าไม่หนีก็แปลกแล้ว ภายใต้สถานการณ์อย่างนี้ ฝีมือของตัวเองได้อยู่ในจุดที่ได้เปรียบเลย

ทางในหุบผาชันเดินลำบาก ทุกที่บนพื้นมีก้อนหินแหลมคม ถึงแม้ทั้งสองจะปราดเปรียวว่องไว กระโดดหลบและเลือกวิ่งจุดที่ย่ำเท้าง่ายๆ แต่เวลาที่วิ่งอย่างเอาเป็นเอาตายและมักพลาดบ่อยแบบนี้ ไม่นานก็ทำให้ฝ่าเท้าของทั้งสองมีเลือดไหลแล้ว

เหมียวอี้ยังดีหน่อย เขามีความเคยชินอย่างหนึ่ง นั่นก็คือกินสมุนไพรเซียนซิงหัวเตรียมไว้จำนวนมากก่อนเสี่ยงอันตราย นี่คือความเคยชินที่เกิดจากการออกไปเสี่ยงชีวิตบ่อยๆ ฤทธิ์ของสมุนไพรเซียนซิงหัวในร่างกายของเขายังไม่หมด

สุดท้ายทั้งสองก็พุ่งออกจากหุบผาชันตามๆ กันไป กลับมาบนทุ่งหญ้าผืนนั้นอีกครั้ง วิ่งอยู่บนทุ่งหญ้าอย่างบ้าระห่ำ

วิ่งไปวิ่งมา พอเวลาผ่านไปนานๆ เข้า กายหยาบคนเราก็เริ่มทนไม่ไหวแล้ว ความเร็วเริ่มลดลงทีละนิด แต่ทั้งสองรักษาระยะห่างระหว่างกันพอสมควร ไม่ได้ทิ้งห่างจากกันเลย และไม่ได้เข้าใกล้กันด้วย

เดิมทีอวี้หลัวช่ายังได้เปรียบ แต่จนใจที่เท้าโดนขูดจนบาดเจ็บแล้ว เหมียวอี้มีฤทธิ์ของสมุนไพรเซียนซิงหัวคอยเยียวยา แต่กระบี่หนักเกินไป

ทั้งสองล้วนมีภาระ

ทั้งสองเริ่มหอบหายใจแรงเหมือนวัว ตอนแรกไม่ยอมหยุด ตอนหลังไม่ยอมปล่อย เปลืองแรงอยู่อย่างนั้นตลอด ความเร็วก็ยิ่งลดลงเรื่อยๆ

“เจ้าไม่ต้องตามแล้ว” อวี้หลัวช่าที่ทนไม่ไหวหันกลับมาตะโกนบอก

“ส่งกระเป๋าสัตว์มา แล้วข้าจะไม่ตามเจ้าแล้ว” เหมียวอี้ก็ประนีประนอมเช่นกัน เป็นเพราะเหนื่อยเกินทนจริงๆ

ส่งกระเป๋าสัตว์ให้เหรอ? อย่าแม้แต่จะคิด! สำหรับอวี้หลัวช่า ตราบใดที่มีกระเป๋าสัตว์อยู่ในมือ ต่อให้ตัวเองจะเปิดไม่ออก งูมังกรในกระเป๋าสัตว์สามารถอยู่อย่างว่านอนสอนง่ายได้นานสุดพันสองพันปี ถ้าโดนขังนานแล้วไม่ถูกเติมพลังงาน มันก็จะทำลายกระเป๋าสัตว์ออกมาแองเช่นกัน และนางก็ไม่รู้สถานการณ์ของที่นี่เลย นางเองก็ไม่ฝากความหวังทั้งหมดไว้กับเหมียวอี้ กระเป๋าสัตว์นี้คือความหวังสุดท้ายของนาง นี่ก็เป็นเหตุผลว่าทำไมก่อนหน้านี้นางจึงยอมสละทรัพย์สินแต่ไม่ยอมมองกระเป๋าสัตว์ให้เหมียวอี้

อวี้หลัวช่ากัดฟัน แข็งใจเดินต่อไปข้างหน้า

เหมียวอี้ที่หอบหายใจแรงเหมือนวัวก็ไม่ยอมเลิกราเช่นกัน ถ้าปล่อยให้อวี้หลัวช่าหนีไป เมื่ออยากจะตามหานางอีกบนดาวเคราะห์ดวงนี้ก็เหมือนงมเข็มในมหาสมุทรแล้ว ต่อให้ตัวเองจะสามารถกลับได้อย่างราบรื่น แต่ถ้าทิ้งอันตรายแฝงเร้นนี้ไว้ ไม่ช้าก็เร็วจะเกิดปัญหาใหญ่ จึงปล่อยนางตัวแสบไปไม่ได้เด็ดขาด ต้องฆ่าทิ้ง!

“เลิกไล่ตามได้แล้ว ข้าให้เจ้า!” จู่ๆ อวี้หลัวช่าก็ตะโกนบอกด้วยเสียงเหนื่อยหอบ นางถอดกระเป๋าสัตว์ตรงเอวออกและโยนออกไป จากนั้นก็วิ่งหนีไปอีกทางหนึ่งอย่างรวดเร็ว

เหมียวอี้อึ้งไปชั่วขณะ ไม่รู้ว่าผู้หญิงคนนี้มีเจตนาอะไร แต่ก็ยังคิดว่าเอากระเป๋าสัตว์มาก่อนสำคัญที่สุด ถ้าได้กระเป๋าสัตว์มาก็เท่ากับตัดทางหนีทีไล่ของผู้หญิงคนนี้แล้ว เดี๋ยวค่อยไล่ตามทีหลังก็ยังไม่สาย

ทว่ายังไม่ทันรอให้วิ่งไปถึงกระเป๋าสัตว์ เขาก็ตระหนักได้ถึงความผิดปกติแล้ว เขารีบหยุดอยู่กับที่ เห็นเพียงพงหญ้าข้างหน้ามีบางอย่างเคลื่อนไหว หลังของสัตว์ที่มีขนปุกปุยโผล่ออกมาตัวแล้วตัวเล่า จนกระทั่งได้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริงชัดเจน ถึงรู้ว่าเป็นฝูงหมาป่า แววตาของแต่ละตัวดูหิวโหยดุร้าย เริ่มมาล้อมเขาไว้เป็นรูปใบพัดแล้ว

อวี้หลัวช่าย้อนกลับมาอีกครั้ง นางวิ่งไปทางหุบผาชัน พร้อมทั้งหันกลับมามองทางนี้เป็นระยะ

เหมียวอี้หันกลับมามองแวบหนึ่งเช่นกัน นับว่ายอมใจผู้หญิงคนนี้แล้ว เขาพบว่าผู้หญิงคนนี้ไม่ได้รับมือยากธรรมดา นางรับมือยากเกินไปจริงๆ

เห็นได้ชัดเจนมาก ว่าก่อนหน้านี้อวี้หลัวช่าเห็นฝูงหมาป่าก่อนแล้ว นางรู้สถานการณ์ของตัวเองในตอนนี้ ว่าถ้าอยากจะสู้กับฝูงหมาป่าด้วยมือเปล่านั้นเป็นไปไม่ได้เลย อีกทั้งร่างกายก็เหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า อาจจะวิ่งไม่ชนะฝูงหมาป่าเช่นกัน ดังนั้นนางจึงโยนกระเป๋าสัตว์ที่ก่อนหน้านี้จะเป็นตายอย่างไรก็ไม่ยอมปล่อยมือออกไป เพื่อให้เหมียวอี้มาล่อฝูงหมาป่าให้ตัวเอง ตัวเองจะได้มีเวลาหนีมากพอ

หลักการก็เรียบง่ายมาก ถ้าแม้แต่ตรงหน้ายังปกป้องชีวิตตัวเองไม่ได้ แล้วเก็บกระเป๋าสัตว์ไว้จะมีประโยชน์อะไรล่ะ?

เหมียวอี้ที่กำลังเผชิญหน้ากับฝูงหมาป่ารู้ว่าตัวเองโดนฝูงหมาป่าล้อมแล้ว จะวิ่งก็วิ่งไม่ชนะพวกมัน เดิมทีก็วิ่งจนเหนื่อยอยู่แล้ว แทบจะวิ่งไม่ไหวแล้ว

ขณะมองหมาป่าหลายสิบตัวที่อยู่รอบๆ เหมียวอี้ก็ถือกระบี่เฉียงไว้ในมือ เริ่มสูดหายใจเฮือกใหญ่ พยายามปรับสภาพร่างกายตัวเองเงียบๆ หลับตาลงช้าๆ พร้อมสัมผัสเสียงลมอ่อนแผ่วบนทุ่งหญ้า

“อะอู๊วว…” น่าฝูงเงยหน้าคำรามขึ้นฟ้า

ในบรรดาฝูงหมาป่าที่ล้อมเหมียวอี้ไว้ จู่ๆ ก็มีสามตัวกระโดดเข้ามาจากสามทิศทาง กระโจนใส่เหมียวอี้แล้ว

เหมียวอี้เปิดร่องตาเล็กน้อย พอเอียงตัวก็หลบหมาป่าตัวหนึ่งที่พุ่งเข้ามาได้ทันที แสงสะท้อนคมกระบี่ในมือวับวาบ เริ่มจากข้างล่างขึ้นข้างบน เขาฟันเอวมันขาดโดยตรง แล้วหมุนตัวกวาดกระบี่ในแนวขวาง เลือดแดงสาดกระจาย หมาป่าอีกสองตัวตกลงพื้นร้องครวญคราง

กลิ่นคาวเลือดโชยออกมาทันที ฝูงหมาป่ากรูกันเข้ามา เหมียวอี้กระโจนตัวหลบ แสงสะท้อนคมกระบี่วับวาบ

รอจนกระทั่งเขาหมุนกระบี่ฟันหัวหมาป่าแล้วยืนขึ้นอย่างรวดเร็ว หมาป่าที่เหลืออีกไม่กี่ตัวก็ตกใจจนหนีกระเจิดกระเจิงไปแล้ว

เหมียวอี้มองหมาป่าไม่กี่ตัวที่หนีไป แล้วก็มองศพหมาป่าเกือบสิบตัวที่อยู่รอบๆ จากนั้นปักกระบี่ยาวลงบนพื้น หอบหายใจเฮือกใหญ่ เดิมทีก็วิ่งจนเหนื่อยแทบทนไม่ไหวอยู่แล้ว ต้องมาเร่งใช้กำลังกับการต่อสู้สนามนี้อีก กายหยาบของเขาทนไม่ไหวแล้วจริงๆ

ทั้งตัวเขาเต็มไปด้วยเลือด ทั้งหมดแทบจะเป็นเลือดของหมาป่า ตัวเองไม่ได้รับบาดเจ็บเลยสักนิด ฝูงหมาป่าทำร้ายเขาไม่ได้เลย

แม้จะขาดพลังอิทธิฤทธิ์จนทำให้การเคลื่อนไหวช้าลงไม่น้อย แต่ความเร็วก็พอๆ กัน ความเร็วในระยะไกลอาจจะแข่งกันไม่ไหว แต่การตอบสนองในระยะใกล้ยามสู้กับหมาป่าไม่กี่ตัวก็ยังไม่มีปัญหา แน่นอนว่ายังอาศัยคมของกระบี่วิเศษในมือ ถ้าไม่มีกระบี่วิเศษ เกรงว่าวันนี้เขาต้องสิ้นชีพภายใต้คมเขี้ยวฝูงหมาป่าแล้ว

………………

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

เหมียวอี้ เด็กหนุ่มธรรมดาแต่มีโชคชะตาที่ไม่ธรรมดา!

เขาคือเด็กกำพร้าที่ถูกเพื่อนบ้านตราหน้าว่าเป็น ‘ตัวหายนะ’

เพราะพ่อแม่บุญธรรมที่รับเลี้ยงเขาล้วนมีจุดจบอยู่ในกองเพลิงทั้งสิ้น

เขาจึงต้องเติบโตมากับน้องๆ ต่างสายเลือดอีกสองคนตามลำพัง

ไร้เงิน ไร้อำนาจ ไร้ความสามารถ ซ้ำยังเป็นตัวซวย โลกนี้มันช่างอยู่ยากเสียจริง!

หนทางที่จะลบคำครหาของชาวบ้านและก้าวพ้นชีวิตที่ยากไร้ไปได้ก็คือการสำเร็จเป็นเซียน

แม้ความปรารถนาจะอยู่สูงเกินเอื้อม แต่เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่น

ถึงจะลำบากและอันตรายเพียงใด

ก็ขอทะยานไปให้สุดขอบฟ้า!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท