พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า – บทที่ 1769 จัญไรเหลือเกิน

บทที่ 1769 จัญไรเหลือเกิน

เหมียวอี้หยิบเสื้อผ้าขึ้นมาสะบัดดู มองไม่ผิดหรอก เป็นจีวรสีขาวพระจันทร์ที่ศีลแปดใส่บ่อยนั่นเอง กลายเป็นอย่างนี้แล้ว ไม่มีอะไรต้องพิถีพิถันอีก ใส่แก้ขัดไปก่อนแล้วกัน ก่อนออกจากศาลา ก็ยังไม่ลืมที่จะกำชับว่า “ระวังหน่อย ผู้หญิงคนนี้แผนเยอะมาก”

“รู้แล้วน่า รู้แล้ว ข้าจ้องนางอยู่ ท่านไปเถอะ” ศีลแปดโบกมือหัวเราะร่า

มีศีลแปดจ้องอยู่ เหมียวอี้ก็วางใจแล้วเช่นกัน เขาเดินเลียบฝั่งทะเลสาบไปไกลแล้วถึงได้ถอดเสื้อผ้าอาบน้ำ

ศีลแปดกำลังถือกระบอกไม้ไผ่จิบสุราอย่างเนิบช้า หลังจากแน่ใจแล้วว่าเหมียวอี้ไม่รู้สถานการณ์ทางฝั่งนี้ เขาก็วางกระบอกไม้ไผ่ลง หยิบเสื้อผ้าอีกชุดออกจากห่อผ้าน้ำมัน แล้วเดินออกจากศาลาไปที่ริมทะเลสาบ

อวี้หลัวช่าที่นั่งยองๆ ริมทะเลสาบล้างอาหารป่าไปพอสมควรแล้ว นางหันกลับมามอง

ศีลแปดวางเสื้อผ้าไว้ข้างตัวนาง แล้วกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “ไม่มีเสื้อผ้าของผู้หญิง ล้วนเป็นจีวรของอาตมา สะอาดแล้ว ถ้าไม่รังเกียจก็ไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก็ได้”

อวี้หลัวช่าพยักหน้าหน้าในขณะที่ล้างปลาตัวสุดท้ายเสร็จ แม้แต่กระบี่วิเศษก็เก็บใส่ไว้ในถังไม้ด้วยกัน

ศีลแปดกล่าวด้วยรอยยิ้มอีก “อาหารพวกนี้เดี๋ยวข้าย่างเอง เจ้าไปอาบน้ำเถอะ” พูดจบก็ถือถังไม้เดินออกไป

อวี้หลัวช่าที่นั่งยองๆ อยู่ริมทะเลสาบหันกลับมามองเขาแวบหนึ่ง แล้วก็มองเสื้อผ้าที่วางอยู่ข้างตัวเอง นางเงียบไปพักเดียว แล้วสุดท้ายก็ลุกขึ้นมา นางไม่ได้เดินไปไกลเหมือนเหมียวอี้ แต่ยืนถอดเสื้อผ้าอยู่ที่เดิม ถอดเสื้อผ้าออกจนหมด แล้วเดินเนิบนาบลงไปแช่ในทะเลสาบเย็นสดชื่น

นางไม่รู้ว่าศีลแปดแอบมองนางหรือไม่ จนกระทั่งร่างกายทั้งหมดแช่ลงในน้ำแล้ว ถึงได้พลันหันกลับไปมอง ใช้อุบายลอบจู่โจมยามเผลอ

ผลก็คือพบว่าศีลแปดไม่ได้แอบมองนาง แต่ยืนมองอยู่ตรงนั้นอย่างสง่าผ่าเผย บนใบหน้ายังเผยรอยยิ้มหื่นกระหายอีกด้วย เดี๋ยวก็หัวเราะแห้งๆ เดี๋ยวก็หยุด ราวกับยังมองไม่หนำใจ

คนอะไรกัน! ความบริสุทธิ์ผุดผ่องไร้ราคีก่อนหน้านี้ไปไหนหมดแล้ว? อวี้หลัวช่ากลอกตามองบน แต่กลับผ่อนคลายยิ่งกว่าเดิม ไม่เหมือนสัตว์เลือดเย็นที่ไม่รู้จักเห็นค่าสาวงามอย่างหนิวโหย่วเต๋อ นางหันกลับมา แล้วจู่ๆ ก็กัดริมฝีปากยิ้ม กางแขนสองข้างแก้มัดมวยผมด้วยท่าทางผ่อนคลาย อาบน้ำให้ตัวอย่างอย่างสบายใจอยู่ในทะเลสาบใสเย็น ถึงขั้นร้องเพลงเบาๆ ด้วย

ยามปกตินางมีสีหน้าเย็นชาตลอด น้อยครั้งมากที่จะยิ้มออกมาจากใจอย่างนี้ ขนาดตัวนางเองยังไม่รู้เลยว่าตัวเองเป็นอะไรไป

พอนึกถึงการเดินทางครั้งนี้ อวี้หลัวช่าเองก็ยังรู้สึกเหลือเชื่อ นึกไม่ถึงว่าพุทธะหน้าหยกผู้สง่าภูมิฐานจะเผชิญกับสถานการณ์อย่างนี้ นางรู้สึกตึงเครียดเพราะต้องสู้อย่างเอาเป็นเอาตายกับหนิวโหย่วเต๋อมาตลอดทาง ขนาดเวลานอนยังอยากจะลืมตาข้างหนึ่งเลย พอเห็นพระรูปนี้นางกลับผ่อนคลายแล้ว ทั้งยังผ่อนคลายทั้งตัวและใจอย่างเต็มที่ สภาพจิตใจเกิดความหรรษาเหมือนคนวัยหนุ่มสาวอย่างบอกไม่ถูก เป็นความรู้สึกที่วิเศษมาก

ตอนนี้นางอยากรู้มากว่าพระรูปนี้จะฆ่านางหรือไม่ จะขัดขวางหนิวโหย่วเต๋อไม่ให้ฆ่านางหรือไม่?

ศีลแปดตัดฟืนที่เตรียมไว้ ก่อกองไฟขึ้นมากองหนึ่งแล้วเสียบกองป่าย่างบนกองไฟ ขณะเดียวกันก็เชยชมสาวงามอาบน้ำในทะเลสาบ เขาเองก็รู้สึกมีความสุขมากเช่นกัน เพราะอยู่อย่างน่าเบื่อมาหลายปีแล้ว

อวี้หลัวช่าไม่กล้าอาบน้ำในทะเลสาบนานเกินไป แค่อาบให้สะอาดก็พอแล้ว ไม่อย่างนั้นถ้ารอให้เหมียวอี้กลับมา ตัวนางที่ยังอยู่ในทะเลสาบจะเป็นอะไรบ้างก็ยังไม่รู้

เดินเปลือยกายล่อนจ้อนลงน้ำ แล้วก็เดินเปลือยกายล่อนจ้อนขึ้นฝั่งอีก เผยเรือนร่างอรชรอ่อนช้อยที่ทำให้คนเลือดลมสูบฉีดให้ศีลแปดได้เชยชม ก่อนหน้านี้บนตัวสกปรกมาก จึงปิดบังหลายอย่างเอาไว้ แต่ตอนนี้ผิวกลับขาวเกลี้ยงเกลาดุจหยก ศีลแปดมองจนแทบน้ำลายไหล

นางสังเกตเห็นปฏิกิริยาของศีลแปดแล้ว อวี้หลัวช่าถลึงตาจ้องเขาสองที เขาจึงหัวเราะแห้งๆ แล้วทำงานของตัวเองต่อไป ไม่มีท่าทีละอายใจเลยสักนิด

เมื่อเจอกับคนประเภทนี้ อวี้หลัวช่าก็ทำได้เพียงกลอกตามองบนเช่นกัน หลังจากเช็ดหยดน้ำบนร่างกายแห้งแล้ว ก็หยิบเสื้อผ้าแห้งบนพื้นขึ้นมาใส่ ทุกท่วงท่าเย้ายวนใจคน ทำให้ศีลแปดหัวเราะแห้งหนักกว่าเดิม

จีวรที่สวมใส่บนตัวนางดูค่อนข้างใหญ่โคร่งชัดเจน แต่นางก็ยังรู้ว่าแต่งตัวอย่างไรจึงจะยั่วยวนชายได้ยิ่งกว่านั้น ม้วนผมงามขึ้นเล็กน้อยเหมือนจะหลุดแหล่ไม่หลุดแหล่ ช่วยขับดุนเสน่ห์ที่เหมาะสมกับตัวเองที่สุด

“ไต้ซือ ข้าช่วยท่าน” อวี้หลัวช่าเดินมาข้างกองไฟและเป็นฝ่ายเสนอตัวช่วย

“เหอะๆ!” ศีลแปดพยักหน้า หยิบกระบอกไม้ไผ่ข้างๆ มายื่นให้นาง “สุราที่ลิงในภูเขากลั่นให้ รสชาติไม่เลว ลองชิมดูสิ”

อวี้หลัวช่าเองก็ไม่กังวลว่าจะมีปัญหาอะไรหรือไม่ รับมาแล้วดื่มเลย

ศีลแปดมองนางพร้อมกล่าวชม “นักพรตหญิงแม้แต่ตอนดื่มสุราก็ยังงดงาม”

“อุบ…แค่กๆ” อวี้หลัวช่าพ่นสุราออกมาคำหนึ่งแล้วไอสำลักทันที ไม่ง่ายเลยกว่าอาการจะบรรเทา แล้วสุดท้ายก็ยิ้มตอบ “ขอบคุณไต้ซือที่ชม”

“ดื่มช้าๆ หน่อย ดื่มช้าๆ ไม่ต้องรีบ ยังมีอีก ไม่มีใครแย่งเจ้าหรอก” หลังจากศีลแปดพูดปลอบใจสองสามประโยค แล้วจู่ๆ ก็บอกว่า “ที่จริงจนถึงทุกวันนี้อาตมายังไม่เคยเสียตัวเลย”

“อุบ…แค่กๆ” อวี้หลัวช่าพ่นสุราแล้วไออีก นางมองพระประหลาดตรงหน้าพลางตบหน้าอก หลังจากหายใจคล่องแล้ว ก็ถามว่า “ไต้ซือคิดจะพูดอะไรกันแน่?”

ศีลแปดถอนหายใจ “ได้ยินว่าเจ้าคือพุทธะหน้าหยกแห่งแดนสุขาวดี ค่อนข้างมีความรู้เกี่ยวกับการฝึกฌานเสพสังวาส วิถีทางนี้อาตมาแค่เคยได้ยินเท่านั้น ยังไม่เคยเห็นมาก่อน ไม่รู้ว่าจะมีโอกาสศึกษาวิชาพุทธทางด้านนี้กับนักพรตหญิงหรือไม่?”

“…” อวี้หลัวช่างงไปครู่เดียว จากนั้นก็ถามด้วยอารมณ์ทั้งโมโหทั้งอยากขำ “ไต้ซืออยากจะศึกษาอย่างไร?”

“อาตมาได้ยินว่าหญิงชายของสำนักหลัวช่าไม่ถือสาเรื่องเพศ” ศีลแปดถาม

“สงสัยไต้ซือจะเกิดความรู้สึกเรื่องทางโลก…หนิวโหย่วเต๋อมาแล้ว” อวี้หลัวช่ากล่าว

ศีลแปดที่กำลังจะพยักหน้าหันกลับไปมองแวบหนึ่ง เห็นเหมียวอี้กลับมาแล้วจริงๆ เขาจึงกระแอมหนึ่งที ไม่พูดอะไรอีกแล้ว ทั้งสองสบตากันอย่างเข้าใจ ทำท่าเหมือนถ้ามีโอกาสค่อยศึกษากันต่อ จัญไรเหลือเกิน

เหมียวอี้ที่กลับมาถึงชำเลืองมอง เห็นได้ชัดว่าอวี้หลัวช่าอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่แล้ว พอหันไปเห็นเสื้อผ้าผู้หญิงตรงริมทะเลสาบ เขาก็หน้าดำคร่ำเครียดทันที จ้องอวี้หลัวช่าพร้อมกล่าวเสียงเย็น “เจ้าอาบน้ำตรงหน้าเขาเหรอ?”

อวี้หลัวช่าชักสีหน้าเย็นเยียบตอบ “แล้วจะทำไม?”

เหมียวอี้โบกกระบี่ทันที กล่าวเสียงเข้มว่า “เก็บสำรวมอาการจิ้งจอกร่านที่โดนพันคนขี่หมื่นคนควบของเจ้าเอาไว้” เขาก้าวมาข้างหน้าเตรียมจะลงมือ แต่ใครจะคิดว่าศีลแปดจะรีบก้าวขึ้นมาขวาง “พี่ใหญ่ มีอะไรก็คุยกันดีๆ ข้าไม่เห็นอะไรทั้งนั้น”

“เชื่อเจ้าได้ก็แปลกแล้ว” เหมียวอี้ผลักเขาออก แล้วชี้กระไปที่อวี้หลัวช่า “เจ้ารู้รึเปล่าว่าผู้หญิงนคนนี้มีพื้นเพเป็นยังไง? ชอบยั่วยวนผู้ชาย เจ้าระวังจะตกหลุมพรางนางแล้วไม่รู้ตัวเถอะ”

อวี้หลัวช่าสีหน้าค่อนข้างแย่ จู่ๆ คว้ากระบี่วิเศษข้างกายแล้วยืนขึ้น ตวาดเสียงเข้มว่า “คิดว่าข้ากลัวเจ้ารึไง!”

ศีลแปดหันขวับ ตอนนี้โมโหแล้ว โบกมือชี้นางพลางตะคอก “เจ้าคิดจะทำอะไร? ใครให้เจ้าใช้กระบี่ชี้พี่ใหญ่ของข้า วางลง!”

“เขารังแกกันเกินไป!” อวี้หลัวช่ากล่าวอย่างโมโห

ศีลแปดหันตัวมา แล้วพูดเน้นที่ละคำ “ข้าให้เจ้าวางลง ได้ยินมั้ย?”

อวี้หลัวช่าทำสีหน้าโกรธเคือง แต่ทนสายตาของศีลแปดไม่ได้ สุดท้ายก็โยนกระบี่ในมือทิ้ง เสียงกระบี่ตกพื้นดังแกร๊ง

“เจ้าชักสีหน้าใส่ใคร?” ศีลแปดด่าอีก ความโกรธยังไม่หายไป เดินก้าวยาวเข้าไปโบกมือตบหนึ่งฉาด เพี้ยะ! เสียงดังฟังชัดมาก ตบจนอวี้หลัวช่าโซเซก้าวถอยหลัง บนใบหน้ามีรอยฝ่ามือแดงเถือกทันที มุมปากมีเลือดไหล

อวี้หลัวช่าที่ไม่แม้แต่จะหลบเอามือปิดหน้า นางกัดฟันมองเขา เหมือนจะน้ำตาคลอด้วย จากนั้นหันตัวเดินออกไป เดินเข้าไปในศาลา แล้วนั่งกอดเข่าบนเตียงไม้เงียบๆ

ขณะมองผิวทะเลสาบใสที่มีปลาว่ายน้ำขึ้นมาหายใจจนเกิดคลื่นในบางครั้ง จู่ๆ นางก็ค่อนข้างเหม่อลอย ไม่รู้เป็นอะไรไปแล้ว

นางรู้สึกว่าตัวเองควรจะทนรับความอัปยศเพื่อปกป้องตัวเอง ปกป้องตัวเองเพื่อให้ออกไปจากที่นี่ได้ แต่ทำไมในใจถึงรู้สึกทุกข์ทรมานอย่างนี้? นี่ตัวเองกำลังทุกข์ทรมานเหรอ? รสชาติที่ทรมานแบบนี้ เหมือนนางจะลืมไปนานมากแล้ว…

เหมียวอี้ตกตะลึงอ้าปากค้าง มองศีลแปดราวกับเห็นผี ตกตะลึงกับความเด็ดขาดของศีลแปดแล้ว เขาคิดไม่ตกนิดหน่อย อวี้หลัวช่าที่รับมือยากเมื่ออยู่กับเขา ทำไมเมื่อตกอยู่ในมือศีลแปดแล้วกลายเป็นอย่างนั้นไปได้ สั่งให้ทำงานก็ทำ บทจะด่าก็ด่า บทจะตีก็ตี ไม่แสดงความเจ้าอารมณ์เลยสักนิด นี่ใช่พุทธะหน้าหยกท่านนั้นหรือเปล่า?

คาดว่าต่อให้เขานอนฝันก็นึกไม่ถึง ว่าเจ้ารองบ้านตัวเองเพิ่งจะเจอกับอีกฝ่ายก็เตรียมสมคบกันเสียแล้ว

เขาย่อมนึกไม่ถึงเรื่องตะพาบน้ำมองถั่วเขียว[1] ย่อมนึกไม่ถึงว่าบนโลกนี้ยังมีสิ่งหนึ่งที่ข่มอีกสิ่งหนึ่งได้

“พี่ใหญ่ ท่านอย่าไปถือสานางเลย นางไม่มีค่าพอให้ท่านโมโหหรอก ท่านนั่งสงบอารมณ์ก่อน ใกล้จะย่างเสร็จแล้ว” ศีลแปดหัวเราะร่าพลางกดเหมียวอี้ให้นั่งลง แล้วนำสุราที่เพิ่งให้อวี้หลัวช่าดื่มยื่นให้เหมียวอี้ต่อ

เหมียวอี้หายโมโหแล้ว ศีลแปดตบอวี้หลัวช่าไปหนึ่งฉาดจึงทำให้เขาหายโมโหแล้ว

“ไม่ค่อยปกติ นางว่านอนสอนง่ายเกินไปหรือเปล่า? นางจะมีแผนการอะไรมั้ย?” เหมียวอี้ถามเบาๆ แล้วก็ดื่มสุราอีกคำหนึ่ง ไม่รู้ว่าเป็นกระบอกที่อวี้หลัวช่าเพิ่งดื่มไป

ศีลแปดชำเลืองกระบอกไม้ไผ่ เหมือนจะรู้ตัวแล้ว แต่กลับแสร้งทำเป็นไม่รู้ ถ้าพูดออกไปจะไม่เป็นการหาเรื่องใส่ตัวหรอกหรือ เขาไอแห้งๆ แล้วตอบเสียงต่ำ “เป็นไปได้สูงว่าผู้หญิงคนนี้จะถูกข้าหลอกสำเร็จแล้ว นึกว่าข้าสามารถใช้พลังอิทธิฤทธิ์ได้” เขาปรายตามอง พลางบุ้ยปากไปทางดอกไม้บนพื้น

อ๋อ! เหมียวอี้เข้าใจกระจ่างในฉับพลัน เรื่องหลอกลวงตบตาคือสิ่งที่เจ้ารองถนัดที่สุดจริงๆ ด้วย จึงวางเรื่องนี้ไว้ก่อนชั่วคราว “เดี๋ยวต่อไปพาข้าไปดูที่วัดนั่นหน่อย”

“รอให้เดินไปถึงฟ้าก็มืดแล้ว รอพรุ่งนี้ก่อนแล้วค่อยว่ากัน” ศีลแปดมองสีของท้องฟ้าแล้วหัวเราะแห้ง จากนั้นหยิบเครื่องปรุงในห่อมาทาบนสัตว์ที่ย่าง

ท้องฟ้าสีแดงส้ม อาหารย่างเสร็จแล้ว หลังจากศีลแปดแบ่งอาหารให้เหมียวอี้แล้ว ก็มองอวี้หลัวช่าที่นั่งเหม่ออยู่ในศาลาแวบหนึ่ง จากนั้นถือกระบี่ปาดถาดไม้กลมขึ้นมาอันหนึ่ง นำเนื้อสัตว์แต่ละชนิดใส่ไว้เต็มถาด แล้วลุกขึ้นเดินออกไป

หลังจากเข้ามาในศาลา ศีลแปดก็ส่งอาหารไปตรงหน้าอวี้หลัวช่า แล้วบอกว่า “ย่างแล้ว ชิมรสชาติดูหน่อยว่าเป็นยังไง น่าจะอร่อยกว่าของที่พวกเจ้ากินระหว่างทาง”

อวี้หลัวช่าพ่นเสียงทางจมูก มองเขาด้วยสายตาเคียดแค้น แล้วกล่าวเสียงเย็น “ไม่บังอาจ! รับไว้ไม่ไหวหรอก!”

ศีลแปดหัวเราะคิกคัก “รีบกินตอนร้อนๆ ต้องบำรุงร่างกายให้ดี ถึงจะมาล้างแค้นอาตมาได้ ถูกมั้ยล่ะ?”

อวี้หลัวช่าหันหน้าหนี

ศีลแปดเลื่อนของไปไว้ตรงข้างกายนาง “ไม่กินก็ต้องกิน เจ้าต้องกิน กินอย่าให้เหลือแม้แต่น้อย ถ้ากินไม่หมดแสดงว่าไม่ไว้หน้าอาตมา เชื่อมั้ยว่าอาตมาจะง้างปากเจ้าแล้วยัดเข้าไป? อาตมาพูดจริงทำจริง ไม่เชื่อเจ้าก็ลองดู!”

คำพูดนี้ฟังดูป่าเถื่อน แต่กลับทำให้อวี้หลัวช่าใจสั่น หลายปีแล้วที่ไม่ได้รู้สึกถึงความห่วงใยที่จริงใจแบบนี้ เพิ่งจะตบนางไปแล้วก็มาทำอย่างนี้อีก แบบนี้หมายความว่าอะไร คิดว่านางเป็นเด็กอายุสามขวบหรือไง? นางยิ่งหันหน้าหนีอย่างไม่ใยดี

ศีลแปดโน้มตัวลงหยิบสุรากระบอกไม้ไผ่จากใต้ดิน วางสองกระบอกตรงหน้าอวี้หลัวช่า แล้วกล่าวเสียงต่ำว่า “เจ้าเจ็บใช่มั้ย? สุรา! ขอโทษเรื่องเมื่อครู่นี้ด้วย ข้าเองก็ทำเพื่อปกป้องเจ้า” จากนั้นก็เดินก้าวยาวถือสุราออกไป

อวี้หลัวช่าแทบจะร้องไห้โฮเพราะเขา ต่อให้นางจะแข็งแกร่งสักแค่ไหน แต่ถึงอย่างไรก็ยังเป็นผู้หญิงคนหนึ่ง กัดฟันทนมาจนถึงที่นี่ตลอดทาง สู้กับหนิวโหย่วเต๋อที่ดุร้ายมาตลอดทางก็ยังไม่เคยแสดงความอ่อนแอเลย แต่พอมาเจอกับพระประหลาดท่านนี้กลับทำให้ตัวเองรู้สึกน้อยใจแทบแย่ ตัวเองถึงขั้นไม่รู้จักฉายานามของพระรูปนี้ด้วยซ้ำ ทำไมใช้เวลาสั้นๆ เพียงไม่ถึงครึ่งวันก็ทำให้ตนอยากร้องไห้แล้ว

“ทนไว้! สักวันจะทำให้เจ้าไม่ตายดีแน่!” อวี้หลัวช่าพึมพำสาปแช่ง หยิบถาดข้างกายขึ้นมา แล้วคว้าอาหารยัดเข้าปากโดยตรง กินอย่างตะกละมูมมาม กินอย่างเร่งรีบเกินไป พอสำลักอาหารก็รีบหยิบกระบอกไม้ไผ่ข้างๆ ขึ้นมากรอกสุราเข้าปาก

กรอกไปกรอกมา น้ำสุราไหลอาบแก้ม น้ำตาก็ไหลอาบแก้มอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยเช่นกัน ใบหน้าแดงฉานยังรู้สึกแสบร้อน รสชาตินี้ฝังลึกถึงกระดูก

………………………

[1] ตะพาบน้ำมองถั่วเขียว 王八和绿豆 อุปมาว่าชายหญิงมองเห็นแค่คนที่ตัวเองรัก เหมือนตะพาบน้ำที่มีขนาดตาเท่าเม็ดถั่วเขียว เมื่อนำถั่วเขียวมาวางตรงหน้าก็เห็นแค่เม็ดถั่วเขียว

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

เหมียวอี้ เด็กหนุ่มธรรมดาแต่มีโชคชะตาที่ไม่ธรรมดา!

เขาคือเด็กกำพร้าที่ถูกเพื่อนบ้านตราหน้าว่าเป็น ‘ตัวหายนะ’

เพราะพ่อแม่บุญธรรมที่รับเลี้ยงเขาล้วนมีจุดจบอยู่ในกองเพลิงทั้งสิ้น

เขาจึงต้องเติบโตมากับน้องๆ ต่างสายเลือดอีกสองคนตามลำพัง

ไร้เงิน ไร้อำนาจ ไร้ความสามารถ ซ้ำยังเป็นตัวซวย โลกนี้มันช่างอยู่ยากเสียจริง!

หนทางที่จะลบคำครหาของชาวบ้านและก้าวพ้นชีวิตที่ยากไร้ไปได้ก็คือการสำเร็จเป็นเซียน

แม้ความปรารถนาจะอยู่สูงเกินเอื้อม แต่เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่น

ถึงจะลำบากและอันตรายเพียงใด

ก็ขอทะยานไปให้สุดขอบฟ้า!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท