ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม [穿书后,我成了三个反派的娘] – บทที่ 16 ท่านปู่เหยาสามผู้เป็นช่างไม้

ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม [穿书后,我成了三个反派的娘]

บทที่ 16 ท่านปู่เหยาสามผู้เป็นช่างไม้

ก่อนฤดูหนาวอันหนาวเหน็บ เหยาซูถือตะกร้าไปเก็บดอกคำฝอยที่ข้างบ่อน้ำพุร้อนบริเวณภูเขาด้านหลัง เมื่อกลับถึงบ้านนางก็จัดการล้างและตากให้แห้ง จากนั้นก็มอบให้กับต้าเป่าและเอ้อเป่า รวมทั้งหลานชายอีกสองคนมาช่วยกันบดดอกไม้ นอกจากนี้ยังให้มารดาเป็นคนดูแลซานเป่าในช่วงนี้ เพราะพี่สะใภ้ทั้งสองเองก็มีเรื่องที่ทำให้ต้องกลับไปยังตระกูลของตัวเอง ดังนั้นเหยาซูจึงเอ่ยขอให้พี่ใหญ่พานางไปพบช่างไม้แทน

ทว่าในระหว่างทางเหยาซูรู้สึกไม่สบายใจบางอย่างเกี่ยวกับลูก ๆ ของตน

โดยเฉพาะซานเป่า ช่วงนี้อากาศหนาวแล้วยิ่งปล่อยให้อยู่ห่างกายยิ่งทำให้นางเป็นกังวล

เหยาเฟิงเห็นน้องสาวขมวดคิ้ว จึงจงใจหยอกล้อนาง “ได้ยินพี่สะใภ้ของเจ้าบอกว่าเจ้าเป็นคนที่มีความสามารถ นางไม่เคยคิดเลยว่าเจ้าจะวาดรูปกล่องได้สวยงามเช่นนั้น น้องเล็ก เจ้าเรียนรู้การวาดภาพตั้งแต่เมื่อไรกัน?”

เจ้าของร่างเดิมของนางมีความสัมพันธ์ที่ดีกับพี่ชายทั้งสอง เหยาเฟิงเองก็เป็นพี่ชายที่ร่าเริง พี่ชายคนรองของนางก็มีลักษณะสง่างาม ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมาพวกเขาปฏิบัติต่อนางในฐานะพี่ชายแท้ ๆ ได้อย่างดี ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่พวกเขากับนางจะสนิทสนมกัน

“พี่ใหญ่! คนรอบข้างมักบอกว่าพี่รองมีไหวพริบและฉลาด ข้าจะเป็นเช่นนั้นเหมือนเขาบ้างไม่ได้รึ?”

เหยาเฟิงหัวเราะเสียงดัง “เจ้าเป็นคนขี้เกียจมาตั้งแต่ไหนแต่ไร หลายปีก่อนเจ้าเพิ่งจะเรียนอ่านเรียนเขียนเพราะถูกบังคับจากท่านพ่อ พูดง่าย ๆ เจ้าเพิ่งจะเรียนรู้หนังสือ จะฉลาดมีไหวพริบเหมือนน้องรองได้อย่างไร ช่างกล้าพูด!”

เหยาซูพูดขึ้นอย่างโกรธเคือง “พี่ใหญ่!”

ระหว่างทางพี่น้องทั้งสองคนหยอกล้อกันไปมาจนมาถึงทางทิศตะวันตกของหมู่บ้าน

เหยาเฟิงยืนอยู่นอกประตูที่ดูทรุดโทรมแล้วตะโกนว่า “ท่านปู่เหยาสาม! ท่านปู่เหยาสาม! ท่านอยู่บ้านหรือเปล่า?”

พลันใดก็มีเสียงสุนัขเห่ามาจากลานบ้าน ตามมาด้วยเสียงตำหนิของเจ้านาย

เมื่อประตูเปิดออกก็มีชายชราร่างผอมปรากฏตัวขึ้นที่หลังประตู เขาสวมเสื้อผ้าบาง ๆ ทว่าสะอาดสะอ้านและเรียบร้อย

เหยาซูสังเกตเห็นนิ้วมือของเขามีข้อต่อใหญ่มาก มือหยาบกร้านคู่นั้นเต็มไปด้วยรอยขีดข่วนเล็ก ๆ แค่มองก็รู้ว่าเขาเคยชินกับงานช่างไม้มากแค่ไหน

เหยาเฟิงยิ้มและยื่นของในมือพร้อมกับกล่าวว่า “ท่านปู่เหยาสาม วันนี้ข้าพาน้องสาวมาเยี่ยมเยียนท่าน ไม่ทราบว่าท่านสะดวกหรือไม่?”

เหยาซูเอ่ยทักทาย “สวัสดีเจ้าค่ะท่านปู่เหยาสาม”

ชายชรารับเหล้าและไก่ย่างจากมือของเหยาเฟิงอย่างมีความสุข พลันพูดอย่างร่าเริงว่า “สะดวกสิ! นั่นน้องสาวตัวน้อยของเจ้าหรือ? ไม่ได้เจอกันนานหลายปี เติบโตขึ้นมาก รีบเข้ามาด้านในก่อนเถิด!”

หลังจากพูดแล้วทั้งสองก็ได้รับการต้อนรับให้เข้าไปในบ้าน

ปู่เหยาสามอาศัยอยู่ที่บ้านหลังนี้เพียงลำพัง เดิมทีเขามีบุตรชายคนหนึ่งทว่าโชคร้ายตายตกไปเสียก่อน และภรรยาก็เสียชีวิตไปนานแล้ว

เหยาซูได้ยินมาว่าเขาใช้ชีวิตหารายได้ด้วยการเป็นช่างไม้ เมื่อเข้าไปในบ้านของชายชรา ก็พบว่าบ้านของเขายากจนมาก

แม้แต่ประตูและหน้าต่างรวมทั้งผนังต่างมีรอยร้าวทำให้ลมหนาวลอดผ่านเข้ามา

นอกจากโต๊ะ เก้าอี้ไม้และชั้นวางที่สวยงามแล้วยังมีเศษไม้ที่ชำรุดผุพังอยู่ทุกหนทุกแห่งพร้อมกับกบไสไม้ที่อยู่ตรงกำแพง ซึ่งดูเหมือนว่าไม่ได้ขยับเขยื้อนมานานแล้ว

โต๊ะและเก้าอี้ธรรมดา ๆ นั้นชาวบ้านเกือบทุกคนก็สามารถทำของตัวเองได้ เพียงแต่ในวันสำคัญอย่างงานแต่งงาน จะจ้างช่างไม้ทำเครื่องใช้ ดังนั้นในวันธรรมดาเช่นนี้ปู่เหยาสามจึงไม่มีงานทำ

ทั้งสามพูดคุยทักทายกันสักพัก เนื่องจากปู่สามหูไม่ค่อยดี เหยาเฟิงจึงถามเสียงดังว่า “หลายวันมานี้มีงานยุ่งหรือไม่?”

ชายชรามีความสุขมากเมื่อมีคนมาที่บ้าน เขาเรียกให้เหยาเฟิงและเหยาซูสองพี่น้องให้ดื่มน้ำพักผ่อนก่อนพร้อมส่ายหัว และกล่าวว่า “ไม่ยุ่ง ไม่ยุ่งเลย!”

เมื่อเหยาเฟิงและชายชรานั่งลง เหยาเฟิงจึงกล่าวว่า “เมื่อเร็ว ๆ นี้ อาซูได้วาดรูปบางอย่างขึ้นมาเล็กน้อย ข้ารู้ว่าฝีมือการแกะสลักของท่านปู่สามนั้นดีที่สุด เลยต้องการที่จะให้ท่านทำบางอย่างให้น่ะขอรับ”

ปู่เหยาสามหัวเราะ และกล่าวว่า “สาวน้อยต้องการอะไร? ปิ่นปักผมหรือจี้ที่สาว ๆ ชอบหรือ ข้าสามารถแกะสลักให้เจ้าได้”

เหยาซูยื่นกระดาษวาดรูปออกมา “ท่านปู่สาม ไม่ใช่ปิ่นปักผมหรือจี้หรอกเจ้าค่ะ แต่เป็นกล่องใส่ชาดทาหน้า”

เหยาซานเยี๋ยรับกระดาษวาดรูปมาด้วยความสงสัย “กล่องชาดทาหน้าก็ทำแบบธรรมดาได้นี่ เหตุใดยังต้องแกะสลักเพิ่มอีก หืม?”

เขาหัดทำงานเป็นช่างไม้ตั้งแต่เริ่มจำความได้ หลายปีที่ผ่านมานี้แม้สายตาฝ้าฟางลงไปบ้าง แต่ก็ยังพอมีฝีมืออยู่

ภาพวาดของเหยาซูนั้นชัดเจน ลวดลายต่าง ๆ ละเอียดอ่อน รวมกันเป็นกล่องใบเล็กที่งดงามอย่างลงตัว เหมือนกับกล่องนี้ใส่ของล้ำค่า แม้แต่กล่องไม้อื่น ๆ ต่างดูธรรมดาเกินไปเมื่อเทียบกับกล่องไม้ลวดลายนี้

“สาวน้อย เจ้าเป็นคนวาดรูปนี้หรือ?” เขาพลิกกระดาษวาดรูปหลายแผ่นดูอยู่หลายรอบ ดวงตาเป็นประกาย “เจ้าตัวน้อย เจ้าสามารถคิดลวดลายแบบนี้ขึ้นมาได้อย่างไร?”

ชาวบ้านมักจะทำงานไม้ธรรมดา แต่ปู่เหยาสามแตกต่างออกไปโดยเฉพาะ

มันเป็นเรื่องของการแกะสลัก แม้ว่าความพยายามจะเป็นสิ่งสำคัญ แต่ที่สำคัญกว่าคือทักษะและลวดลาย

ปู่เหยาสามถือรูปภาพดอกไม้ นก แมลง และปลาที่เหยาซูวาดขึ้นมาดูอย่างพิจารณาอยู่ครู่หนึ่ง ทั้งยังรู้สึกทึ่งเล็กน้อย

“ดี ๆ! ดอกไม้ นก แมลง ปลา วาดง่ายแต่ยากที่จะแกะสลัก ทักษะการวาดภาพของเจ้าน่าทึ่งมาก เป็นการวาดที่สามารถแกะสลักออกมาได้โดยตรงเลย!”

เหยาซูยิ้ม นางใช้เทคนิคการร่างบางอย่างในภาพวาด ไม่งั้นจะทำให้แลดูเหมือนของจริงขนาดนี้เหรอ?

“ท่านปู่สาม ท่านแกะสลักได้หรือไม่เจ้าคะ?”

ปู่เหยาสามยิ้มอย่างพอใจ และพยักหน้าพร้อมกล่าวว่า “แกะสลักได้แน่นอน ได้แบบเป็นธรรมชาติเลยแหละ!”

เหยาซูถามขึ้นว่า “ในหนึ่งวัน ท่านสามารถแกะสลักกล่องขนาดเท่าฝ่ามือได้กี่กล่องหรือเจ้าคะ?”

ชายชราครุ่นคิดอยู่สักครู่ก่อนจะตอบว่า “การทำกล่องและแกะสลักสี่ห้าอันต่อวันไม่ใช่ปัญหา”

เหยาซูพยักหน้าด้วยความยินดี “ดีเลยเจ้าค่ะ ข้าวาดรูปมาสี่แบบ รบกวนท่านแกะสลักแบบละสิบชิ้น หลังจากนี้อีกสิบวันข้าจะมารับ ข้าจะให้เงินท่านกล่องละ หนึ่งร้อยเหรียญทองแดง รวมเป็นสี่ตำลึงเงินเจ้าค่ะ”

ปู่เหยาสามตกใจ และรีบส่ายหน้า “สี่ตำลึงเงิน? ไม่ได้ ไม่ได้ นั่นมันมากเกินไป!”

เขาอาศัยอยู่ตัวคนเดียว แม้จะไม่ได้ทำไร่ทำนาแต่ก็ซื้ออาหารหรือธัญพืชบางอย่างเท่านั้น และเขาไม่สามารถใช้เงินถึงสี่ตำลึงต่อปีได้!

“นอกจากการแกะสลักแล้วท่านยังต้องขัดเงาและทาสีด้วย ท่านต้องใช้ความพยายามไม่น้อยเลยนะ!”

เหยาซูย้ำพลางส่งสายตาให้พี่ใหญ่ช่วยเกลี้ยกล่อมเขา

สองพี่น้องได้เจรจาต่อรองราคาก่อนที่จะมาถึงแล้ว เมื่อเห็นชายชราส่ายหน้าปฏิเสธอย่างเด็ดขาด เหยาเฟิงจึงคิดหาทางอื่น “ไม่ใช่ว่าท่านปู่สามสอนคนหนุ่มในหมู่บ้านให้ทำงานช่างไม้หรอกหรือขอรับ? ตอนนี้ก็เข้าสู่หน้าหนาวแล้ว พวกเขาล้วนไม่มีไร่นาให้ได้ทำงาน เหตุใดท่านไม่ให้พวกเขามาช่วยท่านเล่า? เมื่อถึงเวลานั้นก็แบ่งเงินบางส่วนให้พวกเขาใช้บ้าง”

เหยาซูย้ำอย่างเห็นด้วย “ใช่แล้วเจ้าค่ะ! นอกจากการแกะสลักกล่องแบบนี้แล้ว กล่องธรรมดาก็ต้องทำเช่นกัน แต่แตกต่างจากกล่องที่ตลาดต้องทาสีเพื่อเพิ่มมูลค่าอย่างน้อยสิบเหรียญทองแดง”

ปู่เหยาสามเป็นคนซื่อสัตย์และไม่ยอมเอาเปรียบคนรุ่นหลัง แต่เมื่อได้ยินเหยาเฟิงและเหยาซูกล่าว เขาก็ถอนหายใจแล้วพูดขึ้นว่า “คนที่มาเรียนทักษะการทำไม้ล้วนมาจากคนที่ฐานะทางบ้านไม่ดี หากพวกเขาสามารถทำงานได้ย่อมเป็นเรื่องดี”

เหยาซูดีใจ “เช่นนั้นท่านปู่ช่วยให้คนเหล่านั้นทำกล่องอีกร้อยกล่องโดยไม่ต้องแกะสลักด้วยนะเจ้าคะ อีกสิบวันข้าจะมาเอา ข้าจะให้เงินแก่ท่านห้าตำลึง”

ชายชราถลึงตาใส่เหยาซู “ทำไมต้องเพิ่มเงินให้อีก กล่องหนึ่งร้อยกล่องเคลือบเงา ให้เงินข้าทั้งหมดสี่ตำลึงก็เพียงพอแล้ว”

สองพี่น้องมองหน้ากันแล้วยิ้ม…

ขนาดเพิ่มกล่องขัดเงาอีกหนึ่งร้อยกล่องก็ต้องเพิ่มคนทำ เห็นได้ชัดว่าชายชรามีทัศนคติที่เด็ดเดี่ยว พวกเขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากยอมรับตามราคาที่ชายชราต้องการและจะตอบแทนเขาในอนาคต

เหยาซูอธิบายรายละเอียดเกี่ยวกับขนาดและรายละเอียดอื่น ๆ ของกล่องชาดทาหน้าอย่างละเอียด ทั้งสามพูดคุยหยอกล้อกันอีกสักพัก สองพี่น้องจึงขอตัวกลับบ้าน

…………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

คิดราคางานถูกจังเลยค่ะ เพิ่มอีกสักนิดก็ได้ท่านปู่

ไหหม่า(海馬)

ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม [穿书后,我成了三个反派的娘]

ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม [穿书后,我成了三个反派的娘]

Status: Ongoing
เหยาซูเสียชีวิตเนื่องจากเครื่องบินตก ตื่นขึ้นมาอีกทีก็พบว่าตนเองได้มาอยู่ในร่างตัวละครหนึ่งในนิยายที่ตัวเองกำลังอ่าน!หญิงสาวเสียชีวิตจากอุบัติเหตุเครื่องบินตกและมาเกิดใหม่ในนิยายยุคโบราณที่ตนเองกำลังอ่าน หลังฟื้นขึ้นมาจึงพบว่าตนเองอยู่ในร่างของ เหยาซู มารดาของวายร้ายทั้งสามในเรื่อง กลายเป็นแม่ม่ายลูกติดโฉมสะคราญที่ผู้คนต่างชี้หน้าบอกว่าเป็นตัวซวยทำให้สามีต้องตาย เมื่อได้ทราบว่าชีวิตของลูก ๆ ต้องเผชิญกับการดูถูก นางจึงทนไม่ไหวเก็บข้าวของหอบลูกกลับบ้านเก่า เริ่มต้นชีวิตใหม่กับลูกและครอบครัวทางแม่ของตน ด้วยคิดว่าหากสั่งสอนลูกดี ๆ พวกเขาคงไม่กลายเป็นตัวร้าย จนกระทั่งวันหนึ่งสามีของนางได้กลับมา พวกเขาจึงได้ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขอีกครั้ง แต่แล้วนางก็นึกขึ้นมาได้ว่าตามนิยายต้นฉบับสามีของตนจะตกหลุมรักสตรีอื่น จึงคิดหาวิธีที่จะหย่าขาดกับเขาอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท