ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม [穿书后,我成了三个反派的娘] – บทที่ 54 อดีตของเหยาเฉา

ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม [穿书后,我成了三个反派的娘]

บทที่ 54 อดีตของเหยาเฉา

หากเหยาเฟิงมีความรักต่อลูกชายของเขาแล้วแสดงออกด้วยความเข้มงวด เหยาเฉาดูเหมือนจะตรงกันข้ามกับเหยาเฟิงโดยสิ้นเชิง เขามักพาลูกชายของเขาขึ้นไปล่าสัตว์ และจับปลาในบ่อตั้งแต่เด็ก ซึ่งสองพ่อลูกตระกูลเหยาอย่างพวกเขาไปกันจนครบทุกที่ในหมู่บ้านแล้ว

“ฝีมือของพ่อข้าดีมาก ยิงเพียงแค่ครั้งเดียวอีกทั้งยังแม่นยำ! ดูที่ต้นพุทราที่หน้าบ้านของท่านยายหูสิ ฤดูหนาวที่แล้วมีนกตัวใหม่มาสร้างรัง เมื่อพ่อข้ากลับมาพวกเราจะจัดการมัน แล้วก็เอามาย่างกิน!”

เหยาซูรีบเอ่ยขึ้นว่า “อย่านะ! รังนกที่ประตูบ้านท่านยายหูเป็นรังนกกางเขน หากไปตีลงมา นางคงไม่ปล่อยเจ้าแน่!”

นกกางเขนเป็นนกที่ในฤดูหนาวจะไม่อพยพไปไหน แต่เมื่อมาถึงฤดูใบไม้ผลิก็จะวางไข่ตรงจุดที่มันอยู่ หลายวันมานี้ป้าหูดีใจกับนกกางเขนตัวนี้มาก กล่าวว่าปีนี้ที่บ้านจะต้องมีงานมงคลแน่นอน

หากปล่อยให้เอ้อหลางตีลงมา มีหวังได้โดนป้าหูอาละวาดเป็นแน่

เหยาซูปวดหัว “ข้าเห็นว่าลุงใหญ่ของเจ้าให้เขียนตัวอักษรยี่สิบคำ ข้าจึงคิดว่าจะไปบอกให้เขียนเพิ่มเป็นห้าสิบคำ ดูซิว่าเจ้ายังจะมีแรงกระโดดโลดเต้นอยู่อีกหรือไม่..”

เอ้อหลางกลับไม่ใส่ใจ ใบหน้าปรากฏรอยยิ้มคล้ายบิดาของเขากล่าวคำออดอ้อนเหยาซูว่า “ ท่านอา ข้าผิดไปแล้ว! หากให้เขียนห้าสิบคํา ข้าคงจะขาดใจตาย ทุกครั้งที่ท่านลุงตรวจสอบการอ่านและการเขียนของข้าล้วนทำให้ข้ารู้สึกราวกับว่าท้องฟ้าเป็นสีเทา!”

เมื่อรู้ว่าเด็กชายไม่คิดที่จะทำ เหยาซูก็ไม่พูดอะไรอีก

เด็กทุกคนมีนิสัยเป็นของตัวเอง เหมือนกับต้าหลางที่จริงจังกับงาน อาจื้อที่แม้จะยังเยาว์วัยแต่ก็มีความคิดมากมาย ส่วนเอ้อหลางนั้นนอกจากจะซนเป็นพิเศษแล้วก็ถือว่าเป็นคนที่มีคุณธรรมคนหนึ่ง

นางยิ้มและกล่าวปลอบใจ “ในเมื่อเอ้อหลางไม่ชอบอ่านหนังสือ วันหน้าก็ทำอย่างอื่นได้”

ดวงตาของเอ้อหลางเป็นประกายแล้วกล่าวด้วยความกล้าหาญว่า “ข้าจะเป็นเหมือนท่านอาเขยที่เป็นแม่ทัพใหญ่!”

เหยาซูเคร่งขรึมและกล่าวว่า “อืม ช่างเป็นความฝันที่ดี แต่ก่อนที่จะทำในสิ่งที่เจ้ารัก การอ่านและการเขียนก็ต้องทำให้ดีเช่นกัน!”

พูดจบนางก็เดินเข้าไปในห้องไม่สนใจเสียงตะโกนซ้ำแล้วซ้ำเล่า “ข้าไม่ชอบอ่านหนังสือ ข้าไม่ชอบอ่านหนังสือ”

ลูกหมีก็คือลูกหมี! รอให้พ่อแม่หมีกลับมาจัดการเถอะ!

เหยาซูพูดกับพ่อเฒ่าเหยาและแม่เฒ่าเหยาที่บ้าน หลินเหราก็ใช้โอกาสนี้กลับไปยังตระกูลหลิน แม้ว่าเขาจะพูดไม่เก่งแต่เขาก็เข้าใจความคิดของคนอื่น เหยาซูและเด็ก ๆ ต่างแสดงท่าทีต่อต้านและรังเกียจตระกูลหลิน

โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่เขาออกไปรบ การกระทำของแม่หวังที่ไม่ให้ความหวังในการมีชีวิตรอดแก่พวกเขาล้วนทำให้ทุกคนโกรธเคือง

หลินเหราอยากจะจัดการตระกูลหลินให้เร็วที่สุดเพื่อเป็นการเริ่มต้นใหม่สำหรับภรรยาและลูก ๆ ของเขา

เขาเพิ่งก้าวเข้าไปในอาณาเขตของหมู่บ้านตระกูลหลินและได้เห็นผู้ใต้บังคับบัญชาที่ติดตามเขาในสนามรบมาตลอด ในมือของเขาจูงม้าสีดำตัวหนึ่งกำลังมองซ้ายมองขวาอย่างกระวนกระวายใจ

เมื่อเห็นร่างของหลินเหรา เขาก็ดีใจและรีบเข้ามา “นายกองหลิน! ท่านไปไหนมา! เมื่อครู่ท่านแม่ทัพส่งข้าให้มาหาท่าน แต่มารดาของท่านบอกว่าท่านไม่อยู่บ้าน… ครั้งนี้พวกเรารอดกลับมาหลายคน ท่านได้สร้างผลงานมากที่สุด ท่านแม่ทัพจึงบอกว่าจะมอบรางวัลให้ท่าน!”

ผู้ชายคนนี้ชื่อหลินตง เป็นคนของตระกูลหลิน

เนื่องจากครอบครัวของเขายากจนมาก เขาไม่สามารถจ่ายเงินได้ในวันที่เกณฑ์ทหาร ดังนั้นเขาจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากไปออกรบ ในปีที่ผ่านมาหลินเหราดูแลเขาเป็นอย่างดีและได้ช่วยชีวิตเขาในสนามรบ หลินตงจึงนับถือหลินเหราเป็นเหมือนพี่ชายแท้ ๆ ของเขา

หลินเหราค่อย ๆ ขมวดคิ้ว เขาเพิ่งได้พบภรรยาและบรรดาลูกของตน เขาจึงไม่อยากจากไปไหน

“ไม่ใช่ว่าพวกเราสามารถพักอยู่ที่บ้านได้หนึ่งเดือนแล้วค่อยวางแผนอื่นหรอกหรือ?”

หลินตงพูดอย่างร้อนรน “โอ้ พี่ชาย! วันนี้ท่านแม่ทัพได้เลี้ยงอาหารกลางวันที่จวนผู้ตรวจการแผ่นดิน แถมยังชมเชยท่านไม่หยุด ด้านผู้ตรวจการแผ่นดินจึงบอกว่าอยากพบท่าน เรื่องดี ๆ เช่นนี้เหตุใดถึงยังปฏิเสธอีก?! หากวันหน้าได้เข้ารับราชการที่จวนผู้ตรวจการก็ไม่จำเป็นต้องอยู่ไกลบ้านนัก…..”

เขาพูดด้วยความประหลาดใจและถามว่า “ม้าของท่านอยู่ที่ไหนหรือ?”

หลินเหรากล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “ในหมู่บ้านตระกูลเหยา”

หมู่บ้านตระกูลหลินและหมู่บ้านตระกูลเหยาอยู่ไม่ไกลกันนัก ต่อให้เดินไปอย่างรวดเร็วทว่าก็ยังต้องใช้เวลานาน

หลินตงกลับพูดอย่างร้อนรนว่า “ขี่ม้าของข้าไปสิ นี่คือม้าในจวนของผู้ตรวจการ แม้จะสู้ม้าที่ท่านแม่ทัพให้ท่านไม่ได้ แต่ยามนี้ไม่อาจที่จะจัดการอะไรได้มากนัก! รีบไปเถอะ หากไปสายเกรงว่าท่านแม่ทัพจะเสียหน้า!”

หลินตงส่งบังเหียนให้กับหลินเหรา เมื่อเห็นท่าทางไม่รีบร้อนของอีกฝ่าย หลินตงก็แทบอยากจะอุ้มเขาขึ้นหลังม้า

หลินเหราได้ยินดังนั้นก็พยักหน้าขอบคุณหลินตง “ขอบคุณที่มาบอก ข้าจะไปเดี๋ยวนี้!”

“เกรงใจอะไรอีก ท่านรีบไปเถิด!”

เขากระโดดขึ้นม้า ประสานมือให้กับหลินตงและหันหลังจากไป

หลินตงมองท่าทีที่เด็ดขาดและองอาจของเขา พลางส่ายหัวแล้วเอ่ยพึมพำว่า “ดูเหมือนว่าม้าในจวนผู้ตรวจการยังไม่ดีพอ…แต่ก็ช่างมันเถิด ตราบใดที่นายกองหลินขี่มัน ก็เหมือนกับได้ยกระดับมันขึ้นในทันใด”

หลินเหรามาถึงจวนผู้ตรวจการและถามผู้คุมประตูที่กำลังวุ่นวายอยู่กับทหารคนอื่นที่กลับมา

หลังจากนั้นเมื่อมาถึงคราวของเขา ผู้คุมประตูถามชื่อเขาและรีบเอ่ยคำทักทายทันที “โอ้ คารวะนายกองหลิน ท่านผู้ตรวจการได้กำชับว่าหากท่านมาถึงให้เชิญเข้าไปได้ทันทีขอรับ”

หลินเหรารู้สึกสงสัยเล็กน้อยแต่เขาก็พยักหน้า ไม่ได้เอ่ยอะไร

ในจวนผู้ตรวจการไม่ใหญ่นัก ทหารประจำจวนได้พาหลินเหราไปยังห้องโถงใหญ่ ปากยังชมไม่หยุด “นายกองหลิน ช่างเป็นอัจฉริยะจริง ๆ ไม่แปลกใจเลยที่ท่านแม่ทัพบอกผู้ตรวจการว่าท่านคือมือขวาของเขา! ท่านได้เป็นนายกองตั้งแต่อายุยังน้อย คิดว่าในสนามรบคงได้สร้างคุณประโยชน์มากมาย”

หลินเหราไม่ชอบพูด ใบหน้าของเขายังคงเรียบเฉย กล่าวขึ้นอย่างสุภาพว่า “พี่ชายชมเกินไปแล้ว”

ถ้าคนอื่นเห็นท่าทางของเขาเกรงว่าจะคิดว่าหลินเหรานั้นดูเด็กและไร้น้ำใจ แต่ชายผู้นี้กลับมีร่างกายสูงใหญ่และดูอารมณ์ดี เมื่อรู้ว่าหลินเหรานั้นมีความสามารถจริง ๆ เขาหัวเราะเสียงดัง

“ฮ่า ๆ ๆ นายกองหลินไม่ต้องเกรงใจ ท่านเป็นน้องเขยของพี่เหยา พวกเราเป็นครอบครัวเดียวกัน! วันหน้าหากต้องการสิ่งใดก็มาหาข้าที่จวนได้ เพียงแค่บอกว่าเป็นพี่น้องของเจิ้งอัน!”

เจิ้งอันอยู่ในจวนผู้ตรวจการมาหลายปีแล้ว เขาเป็นคนสนิทของใต้เท้าผู้ตรวจการ การมองคนจึงแม่นยำมาก เขามองไปยังหลินเหราที่แม้ว่ายังเยาว์วัย แต่แววตาและอารมณ์ของเขากลับสงบนิ่งและสง่างาม

อายุยังน้อยแต่ก็ดูน่าเกรงขามเพียงนี้ ไม่ใช่คนไร้ประโยชน์อย่างแน่นอน

หลินเหราเห็นเจิ้งอันกล่าวถึงคนตระกูลเหยาก็อึ้งไปเล็กน้อยพลันถามว่า “ตอนนี้พี่รองก็อยู่ในจวนผู้ตรวจการอย่างนั้นหรอ?”

เจิ้งอันเผยรอยยิ้มร่าเริงออกมาแล้วพูดว่า “ พี่เหยาเฉาไม่ได้ทำงานอย่างเป็นทางการ แต่ใคร ๆ ก็นับถือเขาให้เป็นพี่รองของทหารทั้งหมดในจวนของพวกเรา”

ไม่รอให้หลินเหราถามอย่างสงสัย เจิ้งอันก็อธิบายอย่างละเอียดว่า “นายกองหลินเองก็รู้ว่าเมืองชิงถงของพวกเรานั้นไม่ใช่เพียงแค่ด่านสำคัญของราชสำนักเท่านั้น มันยังเป็นพื้นที่ทางทหารที่มีแต่คนต้องการแย่งชิง และไม่ใช่ดินแดนที่สงบสุขนักอีกด้วย

ทางทิศตะวันออกของเมืองที่อยู่ห่างจากเมืองหลวงเพียงแค่วันเดียว แต่บนภูเขาก็ยังต้องเผชิญกับโจรภูเขา พยัคฆ์ขาว และเสือดำ มีโจรภูเขาอยู่ไม่ขาดสายทำให้ชาวบ้านทุกข์ร้อนโดยถ้วนทั่ว”

หลินเหราพยักหน้าแล้วพูดด้วยเสียงทุ้มต่ำ “จริง”

ตลอดทางมีทหารจากจวนผู้ตรวจการสัญจรไปมามากมาย ทักเจิ้งอันและเอ่ยว่า “พี่ใหญ่เจิ้ง” พลางมองไปที่หลินเหราด้วยความอยากรู้อยากเห็น แต่เนื่องจากรังสีเย็นชาของเขาจึงไม่มีใครกล้าพูดกับเขาสักคน

เจิ้งอันกล่าวต่อ “หลายปีมานี้ราชสำนักสงบสุข ชาวบ้านล้วนอยู่กันอย่างสุขสบาย มีน้อยคนนักที่จะผันตัวเองไปเป็นโจรภูเขา ด้วยคนกลุ่มนั้นส่วนใหญ่เป็นโจรที่โหดเหี้ยมและยากจะต่อกรได้ ใต้เท้าผู้ตรวจการจึงขอทหารสามพันนายมาจากราชสำนักเพื่อคอยคุ้มกันด่านผ่านทางของเมืองชิงถง ทหารเหล่านี้ไม่อาจเคลื่อนย้ายได้ง่าย ๆ หลายปีมานี้พวกโจรภูเขาก็ไม่พอใจมักจะออกปล้นหมู่บ้าน เมื่ออาทิตย์ที่แล้วก็ยังออกปล้นหมู่บ้าน ซ้ำร้ายยังเข่นฆ่าผู้คนและจุดไฟเผาอีกด้วย…”

“ท่านผู้ตรวจการทนดูไม่ไหวจึงพาทหารไปปราบโจร”

เมื่อได้ยินเช่นนี้หลินเหราก็ขมวดคิ้วแล้วพูดอย่างไม่เห็นด้วย “ข้าว่าในจวนผู้ตรวจการมีทหารไม่มากพอ แล้วจะปราบโจรได้อย่างไร”

เจิ้งอันส่ายหน้า “เป็นจริงอย่างเจ้าว่า ในจวนมีทหารเพียงสามร้อยนายเท่านั้น และไม่ใช่ทหารที่ฝึกฝนอย่างเข้มงวดทุกวัน แต่ท่านผู้ตรวจการไม่มีทางเลือก ในใจคิดว่าต่อให้ปราบโจรไม่ได้แต่พวกมันก็คงจะตื่นกลัวบ้าง เนื่องจากกำลังคนมีน้อยเกินไปจึงทำให้มีการเกณฑ์ทหารอาสาชั่วคราว และตอนนั้นพี่เหยาก็แจ้งชื่อเข้ามา”

หลินเหรายังคงส่ายหน้า “ชาวนาไม่รู้เรื่องการทหาร ดังนั้นปกติพวกเขาจะไม่มีพลังต่อสู้และถ้าถูกพวกโจรฆ่าจะมีใครอีกที่ยินดีอาสามาเป็นทหาร?”

เมื่อได้เห็นว่าหลินเหราเข้าใจในจุดนี้ เจิ้งอันก็อดไม่ได้ที่จะดวงตาเป็นประกายและกล่าวยกย่อง “นายกองหลิน พูดได้ถูกต้อง สมกับที่ได้รับคำชมเชยของแม่ทัพจริง ๆ! มีความรู้มากมายนัก สถานการณ์ในวันนั้นเป็นเช่นนั้นจริง และไม่ว่ากำลังรบจะเป็นอย่างไร พวกเราก็ได้ประกาศสมัครทหารเป็นเวลาสามวัน นอกจากหมู่บ้านที่โดนโจรทำลาย ไม่มีหมู่บ้านอื่นสักคนที่มาสมัคร…”

หลินเหราได้คาดการณ์ไว้แล้วว่าผลลัพธ์จะออกมาเป็นเช่นนี้ หากเขาเป็นทหารลาดตระเวนเกรงว่าคงได้แต่ยืมทหารมาเพื่อเพิ่มจำนวนเท่านั้น

เจิ้งอันอธิบายต่อไปว่า “เมื่อถึงวันที่สี่ พี่เหยาเฉาก็มาที่จวน”

หลินเหราอึ้งอยู่ครู่หนึ่ง “พี่รอง…เขา”

ในความทรงจำของหลินเหรานั้น เหยาเฉาเป็นบัณฑิตที่ไม่มีแม้แต่แรงจะเชือดไก่ ถ้าให้พูดก็คือต่อให้เขาทำงานดี แต่ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวโยงกับการปราบโจรเลย

………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

เหยาเฉาอาจจะรบเก่งก็ได้นะ รบแบบไม่ต้องใช้กำลังแต่วางกลอุบายน่ะ

ไหหม่า(海馬)

ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม [穿书后,我成了三个反派的娘]

ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม [穿书后,我成了三个反派的娘]

Status: Ongoing
เหยาซูเสียชีวิตเนื่องจากเครื่องบินตก ตื่นขึ้นมาอีกทีก็พบว่าตนเองได้มาอยู่ในร่างตัวละครหนึ่งในนิยายที่ตัวเองกำลังอ่าน!หญิงสาวเสียชีวิตจากอุบัติเหตุเครื่องบินตกและมาเกิดใหม่ในนิยายยุคโบราณที่ตนเองกำลังอ่าน หลังฟื้นขึ้นมาจึงพบว่าตนเองอยู่ในร่างของ เหยาซู มารดาของวายร้ายทั้งสามในเรื่อง กลายเป็นแม่ม่ายลูกติดโฉมสะคราญที่ผู้คนต่างชี้หน้าบอกว่าเป็นตัวซวยทำให้สามีต้องตาย เมื่อได้ทราบว่าชีวิตของลูก ๆ ต้องเผชิญกับการดูถูก นางจึงทนไม่ไหวเก็บข้าวของหอบลูกกลับบ้านเก่า เริ่มต้นชีวิตใหม่กับลูกและครอบครัวทางแม่ของตน ด้วยคิดว่าหากสั่งสอนลูกดี ๆ พวกเขาคงไม่กลายเป็นตัวร้าย จนกระทั่งวันหนึ่งสามีของนางได้กลับมา พวกเขาจึงได้ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขอีกครั้ง แต่แล้วนางก็นึกขึ้นมาได้ว่าตามนิยายต้นฉบับสามีของตนจะตกหลุมรักสตรีอื่น จึงคิดหาวิธีที่จะหย่าขาดกับเขาอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท