บทที่ 96 อวี๋จือ
เหยาซูพยายามควบคุมใบหน้าที่แดงก่ำพลางพูดอย่างจริงจังว่า “ก็เล่าเรื่องให้เจ้าฟังผู้เดียวไง คำพูดเหล่านี้! แม้ว่าจะฟังดูไพเราะเสนาะหู แต่มันก็ไม่เคยเป็นความจริง จึงเรียกว่าเป็นคำพูดที่หวานหยดอย่างไรเล่า”
เมื่อหลินเหราเห็นสีหน้าของนางแต่งแต้มไปด้วยความเบิกบานใจอย่างสุดซึ้ง จึงเลิกคิ้วสูงเล็กน้อยและพูดว่า “อาซู ข้าจริงจังนะ”
เมื่อเหยาซูเห็นเขาพูดเช่นนี้ ก็นึกถึงภาพเรื่องราวของหลินเหราอย่างอดไม่ได้ ความหวาดกลัวเมื่อครู่จึงลดฮวบลงทันใด
นางยิ้มพลางส่ายหน้า “ไม่เอาน่า…หากจะให้พูดจริงจังละก็ เสียงของท่านน่าฟังจริง ๆ แต่กลับไม่เหมาะกับการเล่าเรื่อง”
นางเคยได้ข้อสรุปถึงสาเหตุที่หลินเหราดูเย็นชาค่อนข้างมากกับคนภายนอก
ประการแรก เมื่อหลินเหราเผชิญหน้ากับคนภายนอก ใบหน้าจะของเขาจะไม่แสดงความรู้สึกที่มากเกินไป เมื่อคนภายนอกเห็นจึงอยากหลีกหนีไปให้ไกล ประการที่สอง เขาพูดจานับคำได้ อีกทั้งทุกครั้งที่พูดน้ำเสียงและจังหวะล้วนไปในทางเดียวกัน….
สิ่งที่นักเล่าเรื่องต้องมีคือการร้องและการแสดงอันน่าประทับใจ หากหลินเหราอยากเล่าเรื่องจริง ๆ เกรงว่าจะทำได้แค่ต้องพึ่งหน้าตานี้ของเขาดึงดูดผู้ฟังแทน
หลินเหราเห็นนางกล่าวเช่นนี้ พลันเบะปากแต่ไม่คิดจะโต้แย้ง
เหยาซูนึกถึงท่าทางลำบากใจของตนเมื่อถูกเขาหยอกเย้าด้วยประโยคหนึ่งเมื่อครู่ จึงอดพูดด้วยเสียงอึดอัดใจไม่ได้ว่า “ต่อไปท่านก็ไม่ต้องพูดจาน่าฟังหรอก เพราะข้าไม่ชอบ”
แต่ไหนแต่ไรมาหลินเหราไม่ชอบพูดคุยกับผู้อื่น และไม่มีทางพูดจาน่าฟังเช่นนั้นเป็นแน่
เขาเคยพูดมากเมื่อครั้งอยู่ในชายแดนมาหนึ่งปี แต่เกรงว่าคงจะมากสู้คำพูดที่พูดกับเหยาซูในช่วงสองสามวันนี้ไม่ได้
ครั้นเมื่อต้องเผชิญหน้ากับเหยาซู เขากลับอยากคุยกับนางโดยไม่รู้ตัว
“ก็เห็น ๆ อยู่ว่าเจ้าชอบ” น้ำเสียงทุ้มต่ำของฝ่ายชายแฝงไปด้วยความขบขัน “พี่รองเคยกล่าวไว้ สตรีมักจะปากอย่างใจอย่าง บางครั้งก็ไม่สามารถฟังแต่คำพูดที่กล่าวออกมา แต่กลับต้องมองปฏิกิริยาตอบสนองและสีหน้าของสตรีด้วย”
เหยาซูเบิกตากว้างอย่างอดไม่ได้ นางรู้สึกว่าไร้สาระมาก “หมายความว่าอย่างไร? ไม่ใช่สิ…เหตุใดต้องเอ่ยถึงพี่รองตลอดเวลาด้วยเล่า?!”
หลินเหราคงถูกเหยาเฉาชักพาจนเสียคนแล้วละมั้ง? เดิมทีบทบาทที่เขาได้รับควรจะเป็นผู้ชายที่ไม่เข้าใจความรักอันลึกซึ้ง มักพบเจอกับความยากลำบากที่ค่อย ๆ ไต่ระดับสูงขึ้น…แต่ทำไมโครงเรื่องที่เกี่ยวกับความรักน้ำเน่าเหล่านี้ ถึงได้เริ่มเปลี่ยนไปทีละช่วงล่ะ?
หลินเหราพูดอย่างจริงจังว่า “ที่พี่รองพูดก็มีเหตุผล ข้าไม่เคยให้ความสำคัญกับการคบค้าสมาคมกับสตรีมาก่อน บางครั้งคำพูดของข้าก็ทำให้เจ้าขุ่นเคืองโดยไม่รู้ตัว ข้าจึงอยากให้พี่รองช่วยชี้แนะถึงปัญหาในด้านนี้”
เหยาซูนึกขุ่นเคืองอยู่ในใจ คิดไม่ออกว่าถ้าเป็นหลินเหราเบื่อที่จะคุยกับตน หญิงสาวจะมีปฏิกิริยาอย่างไร
นางจึงแสดงปฏิกิริยาต่อต้านอย่างแข็งกร้าวออกมา “ท่านอย่าเลียนแบบเขาสิ! ท่านเป็นเช่นเดิมก็ดีอยู่แล้ว!”
หลินเหราไม่พูดอะไร ได้แต่หัวเราะเสียงทุ้มต่ำ
ชายหนุ่มเหมือนจะพูดอะไรบางอย่าง ทว่ากลับเห็นชายหนุ่มผู้หนึ่งที่แต่งกายด้วยชุดคลุมยาวสีกรมท่าเดินขึ้นมาจากชั้นหนึ่ง มุ่งตรงมาหาพวกเขา
ชายหนุ่มผู้นั้นมีใบหน้างดงามสง่าผ่าเผย อากัปกิริยาดูสุภาพเรียบร้อย เขาเดินมาหน้าโต๊ะของหลินเหราและเหยาซู จากนั้นก็ยื่นมือไปทางพวกเขา “พี่ชาย ฮูหยิน ข้าน้อยขอทักทาย”
ทั้งสองคนกล่าวทักทายชายหนุ่มเช่นกัน เหยาซูสังเกตเห็นว่าเสื้อผ้าบนร่างกายของเขาไม่ถือว่าเบาบางนัก ทว่ากลับเก่าเล็กน้อย
ชายหนุ่มยิ้มพลางถามว่า “ข้าน้อยได้ยินเด็กในร้านพูดว่าแขกชั้นบนเหมือนจะรู้ข่าวคราวทางทิศตะวันออก ไม่ทราบว่าเป็นความจริงหรือไม่? ข้าน้อยอยากเชิญท่านทั้งสองช่วยชี้แนะ”
หลินเหราถามเขาว่า “เจ้าจะออกนอกเมืองหรือ?”
ชายชุดกรมพยักหน้า “ข้าน้อยอวี๋จือตั้งใจจะไปสอบในเมืองหลวงช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิ อีกไม่กี่วันก็ต้องออกเดินทางแล้ว ไม่ทราบว่าพี่ชายนามว่าอะไร?”
หลินเหรากล่าว “แซ่หลิน”
หยูจือเกรงใจอย่างมาก “ที่แท้ก็พี่หลินและฮูหยินหลินนี่เอง”
เหยาซูผู้ซึ่งถูกเรียกว่า ‘ฮูหยินหลิน’ ตัวสั่นเล็กน้อย รับไม่ได้กับท่าทางเกรงใจของบัณฑิตแห่งต้าเหยียนผู้นี้
นางเดาว่าอวี๋จือน่าจะเป็นบัณฑิตซิ่วไฉที่มาหาเงินจากการเป็นนักเล่าเรื่องอยู่ในร้านน้ำชาในช่วงสองสามวันนี้จึงรู้สึกเห็นใจเขาอยู่ในใจ
นางพูดเตือนบัณฑิตน้อยด้วยความหวังดี “หากเจ้าจะไปทิศตะวันออก ทางที่ดีก็ควรมีเพื่อนร่วมเดินทางไปด้วย จะได้ดูแลกันและกัน”
นัยน์ตาของอวี๋จือสะท้อนความไม่สบายใจออกมา “เหตุใดท่านกล่าวเช่นนี้? หรือว่ามีโจรภูเขาจริง ๆ?”
เหยาซูกระทุ้งแขนของหลินเหราส่งสัญญาณให้เขาพูด
หลินเหราอธิบายว่า “เป็นเช่นนั้นจริง โจรกลุ่มนี้ครอบครองพื้นที่ตั้งแต่เหนือจรดใต้ รุกล้ำภูเขาเฮยหู่และไป๋หู่ ถึงตอนนี้ก็เป็นเวลาร่วมเดือนกว่าแล้ว ช่วงนี้จึงมักมีโจรภูเขาออกมาเคลื่อนไหวอยู่บ่อยครั้ง ระหว่างทางน้องชายอวี๋ต้องระวังตัวด้วย”
มองแวบเดียวก็รู้ทันทีว่าอวี๋จือเป็นบัณฑิตที่อ่อนแอเกินกว่าจะมัดไก่[1]ได้ หลินเหราเองก็ไม่อยากให้เขาเป็นอะไรไป ทำได้แค่เตือนเขาอีกครั้ง
บัณฑิตกล่าวอย่างกลุ้มใจว่า “นี่….ข้าอุตส่าห์รวบรวมเงินค่าเดินทางได้แล้ว ตอนนี้ยังต้องมาเจอกับโจรภูเขาที่กำลังออกปล้น แล้วจะเดินทางขึ้นเหนือเพียงลำพังได้อย่างไรกัน ทำไมมันช่างยากเย็นแบบนี้?”
เมื่อเห็นปฏิกิริยาของเขาที่ได้รับการอบรมมาอย่างดี ไม่เหมือนว่าเคยพบเจอกับความยากลำบากมาก่อน เหยาซูก็เดาออกในทันที อวี๋จืออาจจะเป็นลูกหลานจากสำนักบัณฑิตทางทิศใต้ที่ใดสักแห่ง
หญิงสาวอดแปลกใจไม่ได้ “เหตุใดเจ้าถึงขึ้นเหนือมาเพียงลำพัง? เข้ามาสอบในเมืองหลวงก็ต้องมีครอบครัวมาส่งสิ หรือไม่ก็มีเพื่อนร่วมเดินทาง ครอบครัวของเจ้าเล่า? พวกเขาไม่สนใจเจ้าแล้วหรือ?”
เมื่อเอ่ยถึงเรื่องนี้ทีไร อวี๋จือก็มักจะแสดงสีหน้าลำบากใจและกล่าวอย่างเกรงใจว่า “พูดแล้วก็ละอายแก่ใจ ข้ามีพี่น้องด้วยกันสามคน ปีนี้ต้องลงสนามเพียงแต่ทุกคนเพิ่งเคยเข้าเมืองหลวงเป็นครั้งแรก จึงคิดสนุกท้าประลองฝีมือกัน ว่าใครจะมาถึงในเมืองก่อน…”
เขากระแอมเล็กน้อย “สุขภาพร่างกายข้าไม่ค่อยดีนัก โตมาจึงต้องอ่านตำราอุดอู้อยู่แต่ในบ้านนี่คือการออกจากบ้านครั้งแรกของข้า จึงไม่ค่อยคุ้นชินนัก”
เหยาซูขมวดคิ้วแน่นไม่เข้าใจอย่างมาก “สอบขุนนางจัดขึ้นสามปีครั้ง หากพลาดไปแล้วไม่เป็นการถ่วงเวลาไปอีกสามปีหรือ? พวกเจ้าสามพี่น้องคิดว่ามันเป็นเรื่องล้อเล่น เดิมพันสนุกอย่างงั้นหรือไร? ทั้งยังวางใจให้เจ้าผู้ที่ไม่เคยจากบ้านเกิดเมืองนอนขึ้นเหนือเพียงลำพังได้อีกหรือ?”
ใบหน้าของอวี๋จือแสดงสีหน้าฉงนทันใด พลางกล่าวอย่างไม่ได้รับความเป็นธรรมว่า “ข้าก็ไม่รู้! พี่ ๆ ทั้งสองบอกว่าเราทุกคนต้องได้ลงสนามสอบ นับแต่นี้ไปต้องยืนบนลำแข้งของตัวเอง… การสอบในครั้งนี้ ห้ามมีเพื่อนร่วมเดินทาง ดูสิว่าใครจะมาเข้าเมืองได้ก่อน ข้าจึงได้พกเงินติดตัวระหว่างเดินทางด้วย”
ดูว่าใครจะเข้าเมืองก่อนกัน? นี่มันทดสอบบ้าอะไรกัน? มันน่าสนใจตรงไหน…
เหยาซูพยายามอดกลั้น ฟังบัณฑิตเอ่ยกล่าวอย่างโง่เขลา “เดิมทีคิดว่าโชคชะตาของข้านั้นดีมาก เมื่อออกจากบ้านก็เจอกับขบวนรถกลุ่มหนึ่ง จึงบอกไปว่าจะเข้าเมือง… แต่ใครจะไปคิดเล่าว่ารถขนสัตว์ของคนกลุ่มนั้นจะมุ่งหน้าไปยังเมืองซีจิง!”
ซีจิงเป็นเมืองหลวงของต้าเหยียนมาสามยุคสมัยแล้ว ตอนนั้นซีเป่ยเกิดความวุ่นวายไม่สงบ ราชสำนักจึงย้ายเมืองหลวงมายังที่ราบติดกับทิศตะวันออก และยังเก็บไว้เป็นทางหนีทีไล่ลดความรุนแรงให้กับสงครามอีกด้วย
เพียงแต่ซีจิงตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ห่างจากเมืองหลวงหนึ่งแสนแปดพันลี้ หากอวี๋จือตามขบวนรถไปถึงซีจิงจริง ๆ ถึงตอนนั้นจะกลับมาได้อย่างไร ถึงยังไงก็เข้าเมืองก่อนเปิดสนามสอบไม่ทันแน่
เหยาซูกล่าวอย่างสงสัย “คนกลุ่มนั้นไม่รู้หรือว่าเจ้าจะต้องไปสอบ?”
อวี๋จือกล่าวอย่างจนปัญญา “แรกเริ่มข้าน้อยบอกพวกเขาแล้ว ว่าจะไปสอบในเมืองหลวง ผู้ดูแลขบวนรถกลุ่มนั้นต้อนรับอย่างกระตือรือร้น ให้ข้าร่วมเดินทางไปพร้อมกับพวกเขา แต่ระหว่างทางไม่เคยหยุดพักในเมืองไหนเลย ข้าเองก็ไม่รู้ว่าเราถึงที่ไหนแล้ว… และก็เป็นข้าที่รู้สึกว่ายิ่งอยู่ยิ่งไม่ชอบมาพากล จึงสอบถามคนที่ผ่านทางอย่างเงียบ ๆ และได้รู้ว่าคนกลุ่มนั้นกำลังมุ่งหน้าไปยังทิศทางของซีจิง”
พ่อค้าในสมัยโบราณเดินทางไปทั่วทุกหนแห่ง ต่อให้เป็นขบวนรถก็ไม่มีทางจำที่ทางผิดอย่างแน่นอน
นับประสาอะไรกับการย้ายเมืองหลวงของต้าเยี่ยน เรื่องใหญ่ขนาดนี้หลายยุคสมัยไม่มีทางลืมมันโดยง่าย
ซีจิงอยู่ไกลจากเมืองหลวงมากโข จะผิดพลาดได้อย่างไร?
เหยาซูขมวดคิ้วพลางถามเขา “เจ้าไม่เคยคิดเลยเหรอว่า พวกเขาอาจหลอกเจ้า?”
อวี๋จือแสดงสีหน้าไร้เดียงสา ดูท่าทางก็น่าจะถูกหลอกได้ง่าย “ข้าน้อยไร้สมบัติติดกาย มีค่าเดินทางเพียงไม่กี่สิบตำลึงเท่านั้น จะมาหลอกอะไรข้าเล่า?”
คำพูดนั้นตรงกับความในใจของเหยาซูพอดี “ได้ยินว่าเงินของเจ้าหายหมดเลยไม่ใช่หรือ?”
เมื่อเอ่ยถึงเรื่องนี้ชายหนุ่มก็รู้สึกอึดอัดใจ จากนั้นก็กล่าวอย่างจริงใจว่า “หลังจากที่ข้าบอกลาเพื่อนพ้องในขบวนรถนั้นแล้ว ตกดึกข้าก็มาค้างแรมในโรงเตี๊ยมที่ใกล้ที่สุด ใครจะไปคิดเล่าว่าหลับไปแค่ตื่นเดียว สัมภาระทั้งหมดก็หายไป….”
เหยาซูเอามือกุมหน้าผาก หลินเหราเองก็ยังขมวดคิ้ว
นางยังถามอีกว่า “ปกติแล้วเจ้าและสองพี่น้องของเจ้ามีความสัมพันธ์อย่างไร?”
……………………………………………………………………………………..
[1] อ่อนแอเกินกว่าจะมัดไก่ คืออ่อนแอมากจนทำอะไรก็ไม่เป็น
สารจากผู้แปล
บัณฑิตคนนี้ดวงดีสุด ๆ ที่ไม่ไปเจอกับอะไรที่ร้ายแรงกว่านี้ แต่เรื่องเล่าระหว่างการเดินทางมันดูอิหยังวะมากเลยค่ะ มีเรื่องอะไรแอบแฝงมากกว่านั้นหรือเปล่านะ
ไหหม่า(海馬)