ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม [穿书后,我成了三个反派的娘] – บทที่ 100 ผู้หญิงที่พึ่งบารมีกลั่นแกล้งผู้อื่น

ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม [穿书后,我成了三个反派的娘]

เถ้าแก่หลิวทอดถอนใจ พร้อมกับหยิบสร้อยข้อมือที่ทำจากไม้เส้นหนึ่งออกมาจากตู้พลางบ่นว่า “นี่อย่างไร ดูสิขอรับ! เห็นบอกว่าเป็นสร้อยประคำที่ว่ากันว่าปลุกเสกแล้วถูกนำออกมาขายโดยนักบวชธุดงค์ผู้หนึ่งจากที่ไหนสักแห่ง สร้อยข้อมือเส้นนี้ราคาตั้งสองตำลึงทีเดียว! หากไม่เรียกหลอกลวงแล้วมันคืออะไร? เด็กโง่ของเราคนนี้ ก็ดันใช้ค่าแรงหนึ่งเดือน ซื้อของไร้สาระพวกนี้ไปแล้ว!”

เด็กในร้านรีบพูดแทรกขึ้นว่า “เถ้าแก่ ท่านอาจารย์ผู้นั้นมาจากซีจิงเชียวนะ บำเพ็ญตบะลึกซึ้งมากด้วย… ยิ่งไปกว่านั้นสร้อยข้อมือเส้นนี้ ก็มีเพียงเส้นเดียว เก็บไว้ให้คนที่มีวาสนาดี!”

เถ้าแก่หลิวถลึงตาใส่ “เก็บไว้ให้คนที่มีวาสนาดีงั้นหรือ? แล้วเจ้ารู้หรือว่าตนเองเป็นคนมีวาสนาดี? หากไม่ใช่นักต้มตุ๋นจะเก็บเงินเจ้าตั้งสองตำลึงทำไมกัน?”

เด็กในร้านหัวเราะ “ฮิ ฮิ ข้าไม่ใช่คนวาสนาดี อาจารย์ต่างหากเล่า!”

ได้ยินดังนั้นเหยาซูก็เข้าใจทันที จากนั้นก็ถามด้วยความแปลกใจว่า “หนุ่มน้อยใช้ค่าแรงหนึ่งเดือน ไปซื้อสร้อยข้อมือนี้ให้แก่เถ้าแก่หลิวงั้นเหรือ?”

เด็กในร้านวัยละอ่อนพยักหน้าและกล่าวว่า “คุณหนู ท่านอาจารย์ท่านนั้นไม่ใช่นักต้มตุ๋นจริง ๆ นะขอรับ ตอนที่ยื่นสร้อยข้อมือเส้นนี้ให้ข้า เขาไม่เรียกเงินเลยแม้แต่น้อย เป็นข้าเองที่เอาเงินทั้งเดือนให้เขา…”

เถ้าแก่หลิวได้ยินประโยคนี้ก็ยิ่งโกรธฉุนเฉียว “ว่าอย่างไรนะ?! สร้อยข้อมือนี้ไม่คิดเงิน เจ้าก็ยัดเยียดเงินสองตำลึงให้เขาไปงั้นหรือ?!”

ครั้งนี้เขาลงไม้ลงมือจริง ๆ เด็กในร้านถึงกับต้องร้องขอความเมตตาไม่หยุดหย่อน “เถ้าแก่ เถ้าแก่! ข้าผิดไปแล้ว ข้าไม่น่าปากไว พลั้งปากออกมา…”

เหยาซูรีบก้าวขึ้นมาด้านหน้าขวางเถ้าแก่หลิวไว้ จากนั้นก็โน้มน้าวด้วยเสียงอันอ่อนโยนว่า “เถ้าแก่หลิว เถ้าแก่อย่าโกรธไปเลย… ในทางพระพุทธศาสนาเรื่องต่าง ๆ ล้วนเกิดขึ้นเพราะแรงศรัทธาเสมอ เด็กในร้านยอมสละเงินทั้งเดือนเพื่อซื้อสร้อยข้อมือมาให้เถ้าแก่ นั่นล้วนเป็นเพราะปรารถนาอยากให้เถ้าแก่แคล้วคลาดปลอดภัยด้วยใจจริง มันผิดตรงไหนหรือ?”

เถ้าแก่หลิวถอนหายใจอย่างแรงสองครั้ง จากนั้นก็กล่าวกับเหยาซูว่า “ข้าปวดใจก็ตรงเงินสองตำลึงของเขานั่นแหละขอรับ! เจ้าบอกมาสิเด็กโง่ ถึงวัยแต่งสะใภ้แล้วมีเงินเก็บบ้างแล้วหรือไม่? อายุก็ปูนนี้แล้วยังเป็นชายโสด พูดออกไปมันน่าอายหรือไม่เล่า!”

เด็กในร้านกลับส่ายหน้ายิ้มก่อนกล่าวกับเหยาซูว่า “คุณหนูขอรับ ท่านก็รู้ดีว่าข้าถูกส่งออกมาทำงานตั้งแต่เด็ก หลายปีมานี้ต้องดิ้นรนส่งเงินกลับบ้านไปไม่น้อย แต่ไหนแต่ไรมาท่านพ่อท่านแม่กลับเข้าข้างแต่พี่ใหญ่… ข้าต้องเผชิญหน้ากับความจริงที่พบเห็น แม้ว่าจะเก็บเงินได้แล้วอย่างไร? ถึงกระนั้นก็ยังไม่ถึงตาข้าต้องแต่งสะใภ้เสียหน่อย ไม่สู้เสียเงินให้กับคนที่ดีกับข้าโดยแท้จริงดีกว่า”

เถ้าแก่หลิวไม่รู้ว่าควรจะแสดงออกอย่างไรไปชั่วครู่ เขาไม่รู้มาก่อนว่าในใจของเด็กในร้านจะคิดเช่นนี้

เขาถามเด็กในร้านด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นอย่างหาได้ยากยิ่งว่า “เดือนที่แล้วเจ้าซื้อเขากวางอ่อนไป เดือนก่อนหน้านั้นก็ซื้อรองเท้าลุยหิมะ …ทั้งหมดเป็นเพราะเหตุผลนี้เหรอ?”

เด็กในร้านยิ้มอย่างซื่อตรง “อาจารย์ ฤดูหนาวหนาวจะตายไป เขากวางอ่อนหมักเป็นสุราดื่มได้ บำรุงร่างกายให้ท่านและภรรยาของอาจารย์ได้ แม้จะบอกว่าไม่ได้มีมูลค่าเพียงใดแต่กลับเป็นของดี”

เหยาซูเข้าใจในทันที จึงยิ้มพลางกล่าวกับเถ้าแก่หลิวว่า “เถ้าแก่ เด็กในร้านกตัญญูต่อท่านจากใจจริงเชียวนะ!”

เถ้าแก่หลิวไม่มีทายาทสืบสกุล สมัยวัยเยาว์เคยไปกราบไหว้อ้อนวอนต่อหน้าพระพุทธรูปกับฮูหยิน แต่ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็ไม่มีวี่แววจะตั้งครรภ์ เมื่อล่วงเข้าสู่วัยกลางคน ก็มักจะเห็นวัยหนุ่มสาวเป็นคนรุ่นหลังของตัวเองเสมอ โดยทั่วไปก็มักจะสอนเด็กในร้านให้ทำเรื่องต่าง ๆ เมื่อเด็กในร้านโง่เขลาจึงได้ตำหนิ

ทว่าเรื่องที่เขาคาดไม่ถึงคือแม้ว่าปากจะไม่เคยพูดจาดี ๆ เลยก็ตามแต่เด็กในร้านกลับนึกถึงเขาเสมอ

ในใจของเถ้าแก่หลิวอดซาบซึ้งไม่ได้ ทว่าปากกลับยังไม่ยอมเอ่ยให้อภัย ทั้งยังกล่าวหาเด็กหนุ่มว่า “เจ้านะเจ้า ในเมื่อไม่สะดวกส่งเงินกลับบ้าน เช่นนั้นก็เอามาให้ข้าดูแลสิ คิดว่าอาจารย์ของเจ้าจะโลภเงินไม่กี่ตำลึงของเจ้างั้นหรือ?”

เด็กในร้านยิ้มพลางกล่าวว่า “ไม่ต้องให้เถ้าแก่ดูแลหรอก เงินทองล้วนเป็นของนอกกาย ใช้เพื่อเถ้าแก่ ได้ประโยชน์กว่าเยอะ!”

เถ้าแก่ทอดถอนใจ “ข้าว่าค่าแรงในวันข้างหน้า คงไม่ต้องให้เจ้าแล้วกระมัง”

เหยาซูยิ้มต่อพลางกล่าวกับเด็กในร้านว่า “เป็นความคิดที่ดีเถ้าแก่หลิว เก็บเงินรอให้เงินแต่งสะใภ้มีมากพอ พวกสะใภ้จะต้องรุมชอบเจ้าเป็นแน่!”

เด็กในร้านยิ้มตาหยีพลางพยักหน้าตกลง เถ้าแก่หลิวกลับถลึงตาใส่และพูดเสียงแข็งว่า “ใครเป็นห่วงเรื่องนี้แทนเขากัน? ข้าว่าข้ายังไม่แก่เร็วถึงเพียงนั้นนะ?”

เขาลูบสร้อยข้อมือในมือก่อนจะวางมันลง จากนั้นก็หันไปกล่าวกับเด็กในร้านว่า “ไปเอาผ้าในห้องเก็บสินค้าออกมา เติมสีที่ขาดเข้าไปด้วย …จริง ๆ เลย ต้องมีคนคอยสั่งสอนทุกครั้งถึงจะคืบหน้า…”

เด็กในร้านตอบรับและตรงเข้าไปในห้องเก็บสินค้าอย่างคล่องแคล่ว

เหยาซูมองไปยังสร้อยไม้ท้อที่เถ้าแก่หลิวสวมใส่และดึงแขนเสื้อลงมาปิดโดยไม่ใส่ใจนัก จากนั้นก็กระแอมไอออกมาก่อนถามนางว่า “ที่คุณหนูมาวันนี้ มีธุระอะไรหรือขอรับ?”

นางขบขันอยู่ในใจรู้ว่าเถ้าแก่หลิวเป็นคนที่ปากไม่ตรงกับใจ หน้าบาง นางจึงแสร้งทำเป็นไม่เห็น แค่พยักหน้าและกล่าวว่า “ครั้งที่แล้วที่ไหว้วานให้ท่านไปสอบถามร้านขนมข้าง ๆ ว่าหากเราขอเช่าจะได้หรือไม่นั้น ไม่ทราบว่าฝั่งนั้นให้คำตอบเถ้าแก่ว่าอย่างไรบ้าง?”

“ไอหยา” เถ้าแก่หลิวอุทานออกมา พลางตบหน้าผากหนึ่งครั้ง “ข้าลืมบอกคุณหนูไปได้อย่างไรกัน! ร้านขนมแห่งนั้นตอนนี้กิจการค่อนข้างซบเซา แทบอยากจะให้มีคนไปขอเช่าร้านของเขา…”

เหยาซูยิ้มพลางถามว่า “ค่าเช่าเท่าใดเล่า?”

เถ้าแก่หลิวเอ่ยว่า “เช่าหนึ่งปี ค่าเช่าอยู่ที่สองตำลึงต่อเดือน คุณหนูคิดว่ารับได้หรือไม่?”

เหยาซูคำนวณค่าใช้จ่ายในทุกปีครู่หนึ่ง ร้านค้าที่เปิดขายอยู่ริมถนน ค่าเช่าสองตำลึงต่อเดือนไม่ถือว่าแพงนัก

นางพอใจกับราคานี้เป็นอย่างมาก “ราคานี้พอรับได้”

เถ้าแก่หลิวกล่าวเสริมว่า “พื้นที่ในร้านไม่ใหญ่นัก แต่ติดกับร้านขายผ้าของเราพอดี หากคุณหนูมีของอะไรต้องเก็บ ก็นำมาเก็บไว้ในห้องเก็บสินค้าในร้านขายผ้าก่อนได้ขอรับ”

เหยาซูพยักหน้า

ก่อนจะได้ยินเถ้าแก่หลิวถามอีกว่า “คุณหนูจะไปดูสักหน่อยหรือไม่ขอรับ?”

เหยาซูมองดูท้องฟ้า เวลาช่างเดินเร็วเสียเหลือเกิน ไม่นานดวงอาทิตย์ก็ไต่ระดับขึ้นจุดสูงสุดอย่างรวดเร็วแล้ว

นางส่ายหน้าและพูดว่า “เคยไปดูก่อนหน้านั้นมาแล้ว วันนี้ก็ตามนี้แล้วกัน แต่อย่างไรคงต้องรบกวนเถ้าแก่หลิวช่วยพูดกับเจ้าของโดยเร็วที่สุด เรานัดคุยกันได้ หลังจากดูกรรมสิทธิ์ที่ดินของเขาแล้วจะได้ลงนามสัญญาเช่าทันที”

ในด้านการค้าของเมืองต้าเหยียนไม่ได้มีข้อจำกัด พ่อค้าแม่ค้าไม่เพียงแต่จะซื้อขายสินค้าอย่างอิสระ แม้แต่ร้านเช่า แผงขายของเรื่องเหล่านี้ก็ล้วนมีสัญญาเฉพาะทางเพื่อคุ้มครองประโยชน์ของทั้งสองฝ่าย

สำหรับเหยาซูแล้วนี่นับเป็นความก้าวหน้ามาก

รอยย่นบนใบหน้าของเถ้าแก่หลิวล้วนพับกันออกมาเป็นรอยยิ้มและกล่าวว่า “งั้นก็ขอไม่ปิดบังคุณหนูละกันขอรับ เจ้าของคนนั้นเป็นสหายเก่าที่ข้ารู้จักมาหลายปีแล้ว… หากเขารู้ว่าเป็นคุณหนูก็คงสบายใจ จะต้องสานสัมพันธ์ที่ดีโดยไม่คำนึงถึงวัยวุฒิกับคุณหนูเป็นแน่!”

มุมปากของเหยาซูโค้งขึ้น กล่าวอย่างเกรงใจว่า “เถ้าแก่ก็ชมเกินไป อย่างไรก็ต้องขอบคุณเถ้าแก่มากที่ต้องคิดหนักในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา”

ในขณะที่ทั้งสองกำลังพูดคุยกันนั้น ก็มีลูกค้าสองสามคนเข้ามาในร้าน เถ้าแก่หลิวกล่าวขอโทษเหยาซู จากนั้นก็เข้าไปต้อนรับลูกค้าก่อน

เหยาซูนั่งอยู่หน้าตู้ ในใจกำลังคาดการณ์เวลาที่หลินเหราจะมาถึง พลางกวาดสายตานิ่งเฉยไปยังผู้มาเยือน ด้วยความเบื่อหน่าย

“เถ้าแก่ เอาผ้าที่ดีที่สุด แพงที่สุดในร้านของพวกเจ้าออกมาให้ฮูหยินของเราดูสักหน่อยสิ!”

ผู้พูดคือหญิงสาววัยแรกรุ่นในชุดกระโปรงสีชมพู ปักปิ่นไข่มุกสองสามชิ้นอยู่บนศีรษะ ทว่ากลับแต่งกายเหมือนสาวใช้ผู้หนึ่ง เหยาซูแอบหัวเราะในใจ คิดว่าไม่ว่าจะยุคสมัยไหน ก็ล้วนไม่เคยขาดแคลนคนที่พึ่งบารมีในการกลั่นแกล้งผู้อื่น

เถ้าแก่หลิวยังคงยิ้มแย้ม พลางกล่าวทักทาย “ไอหยา! ท่านโปรดรอสักครู่ ประเดี๋ยวข้าไปหยิบผ้าที่ดีที่สุด แพงที่สุดในร้านมาให้ท่านนะขอรับ!”

ชายวัยกลางคนมีอายุมากกว่าดรุณีน้อยเป็นเท่าตัวถูกนางตำหนิอย่างไร้มารยาทเพียงนี้ กลับไม่ได้รู้สึกแย่แต่อย่างใด…

เถ้าแก่หลิวทำการค้ามานานหลายปีเพียงนี้ เจอะเจอคนมานักต่อนัก ตอนนี้ก็แค่พบเจอลูกค้าทำตัวร่ำรวยทว่านิสัยแย่ แล้วอย่างไรเล่า?

เหยาซูเห็นเขาที่เดินเหินเร็วราวกับเหาะหมุนตัวเดินไปด้านหลัง

สาวใช้ผู้นั้นหันหน้าไปยังผู้เป็นนายของตัวเองและเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มเอาใจทันที “ฮูหยิน ได้ยินว่าร้านขายผ้าร้านนี้เป็นร้านที่ใหญ่ที่สุดในเมืองชิงถง ภายในยังมีวัสดุที่ทันสมัยที่สุดของทางตอนใต้ด้วย ท่านเห็นแล้วต้องชื่นชอบมากเป็นแน่!”

ผู้เป็นนายด้านหลังของนางเกล้าผมทรงตกม้า[1] ท่าทางอ่อนหวานแช่มช้อย หน้าตาดูกลาง ๆ แต่กลับมีพลังที่ทำให้คนรักเอ็นดู

หญิงสาวผู้นั้นหลับตาลงจากนั้นก็ถอนหายใจยาว ๆ ออกมา ก่อนจะเอ่ยอย่างอ่อนโยนว่า “อาชุ่ย อาเซียง ประคองข้านั่งลงก่อน…”

สาวใช้ข้างกายทั้งสองแย่งกันเข้าไปประคองแขนของหญิงสาว ทั้งแย่งเก้าอี้ทั้งรองผ้าเช็ดหน้า ประคองหญิงสาวก้าวพลางหายใจหอบสามทีไปนั่งลง

เหยาซูเห็นแล้วก็ทนไม่ไหวอีกต่อไปหลุดหัวเราะ ‘พรืด’ ออกมา

สาวใช้ในชุดสีชมพูได้ยินเสียงนั้นก็สอดส่ายสายตาคู่นั้นมองไปยังทิศทางของเสียงหัวเราะ ก่อนตำหนิขึ้นว่า “หญิงชนบทที่ไหนกัน ถึงกล้าบังอาจหัวเราะเยาะ รู้จักสถานะของฮูหยินเราหรือไม่?”

บทพูดฟังดูโอ้อวดที่ยังไม่แน่ว่าจะปรากฏในบทละครเช่นนี้ ตอนนี้กลับมีคนโพล่งพูดออกมาอย่างมั่นใจ

ทำให้เหยาซูกลั้นหัวเราะจนท้องแข็งไปหมดแล้ว

[1] 堕马髻 dao4 ma3 ji4 ผมทรงตกม้า เป็นทรงผมที่เกล้ามวยเอียงอยู่ด้านข้าง

สารจากผู้แปล

เป็นสาวใช้แต่ทำอวดเบ่ง​ ระวังเจอสวนแล้วจะเบ่งไม่ออกนะคะ

ไหหม่า(海馬)

ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม [穿书后,我成了三个反派的娘]

ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม [穿书后,我成了三个反派的娘]

Status: Ongoing
เหยาซูเสียชีวิตเนื่องจากเครื่องบินตก ตื่นขึ้นมาอีกทีก็พบว่าตนเองได้มาอยู่ในร่างตัวละครหนึ่งในนิยายที่ตัวเองกำลังอ่าน!หญิงสาวเสียชีวิตจากอุบัติเหตุเครื่องบินตกและมาเกิดใหม่ในนิยายยุคโบราณที่ตนเองกำลังอ่าน หลังฟื้นขึ้นมาจึงพบว่าตนเองอยู่ในร่างของ เหยาซู มารดาของวายร้ายทั้งสามในเรื่อง กลายเป็นแม่ม่ายลูกติดโฉมสะคราญที่ผู้คนต่างชี้หน้าบอกว่าเป็นตัวซวยทำให้สามีต้องตาย เมื่อได้ทราบว่าชีวิตของลูก ๆ ต้องเผชิญกับการดูถูก นางจึงทนไม่ไหวเก็บข้าวของหอบลูกกลับบ้านเก่า เริ่มต้นชีวิตใหม่กับลูกและครอบครัวทางแม่ของตน ด้วยคิดว่าหากสั่งสอนลูกดี ๆ พวกเขาคงไม่กลายเป็นตัวร้าย จนกระทั่งวันหนึ่งสามีของนางได้กลับมา พวกเขาจึงได้ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขอีกครั้ง แต่แล้วนางก็นึกขึ้นมาได้ว่าตามนิยายต้นฉบับสามีของตนจะตกหลุมรักสตรีอื่น จึงคิดหาวิธีที่จะหย่าขาดกับเขาอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท