“ไปกันเถิด วันนี้ดึกมากแล้ว บนถนนไม่ค่อยมีคนพลุกพล่านนัก เราขี่ม้ากลับกันเถอะ!”
เหยาเฉาจูงม้าสีขาวตัวหนึ่งออกมาจากในคอก เหน็บพัดในมือลงข้างเอว และกระโดดขึ้นบนหลังม้าอย่างคล่องแคล่ว ก่อนจะเร่งเร้าหลินเหรา “เร็วสิ!”
หลินเหรามองทางบุคลิกอันผึ่งผายและกระฉับกระเฉงของเขา ใบหน้างดงามไม่ส่อแววความเป็นสตรีสักนิด หากบุรุษรูปร่างสูงเจ็ดฉื่อต้องแต่งกายเป็นหญิง เช่นนั้นจะทำกับเขาเกินไปหรือไม่
หลินเหราจูงม้าสีน้ำแดงออกมา จากนั้นก็ตามหลังเหยาเฉาออกจากจวนตรวจการไป
“พี่รอง…” เขาควบม้าพันธุ์ดีตัวสีน้ำตาลแดงรุดขึ้นหน้า ให้ทั้งสองคนได้เคียงบ่าเคียงไหล่กัน
ความมืดมิดปกคลุมทั่วทั้งตัวเมือง พ่อค้าแม่ค้าสองข้างทางในตอนกลางวันต่างเก็บแผงลอยไปหมด บนถนนที่แสนคึกคักได้ผันเปลี่ยนขยายกว้างและโล่งขึ้นในช่วงพริบตาเดียว
ทั้งสองคนขี่ม้าเคียงคู่กันไป ในขณะที่เดินอยู่บนเส้นทางภูเขาที่ปูด้วยแผ่นหินสีดำ กีบม้าได้ส่งเสียงดังกังวาน สะท้อนอยู่ในค่ำคืนที่เงียบสงบ
เหยาเฉาได้ยินหลินเหราเรียกเขา จึงใช้น้ำเสียงขึ้นจมูกตอบกลับด้วยความสงสัย “หือ?”
การตกปากรับคำว่าจะแต่งกายเป็นหญิงเป็นเรื่องที่จนปัญญาโดยแท้จริง ในช่วงสองสามวันที่ผ่านมานี้ พวกโจรหยิ่งยโสโอหังขึ้นมาก จวนตรวจการทั้งเบื้องบนและเบื้องล่างจะปราบปรามโจรป่าได้อย่างไร
กลยุทธ์มากมายที่มีในตอนนี้ จำเป็นต้องเสียสละตนเองเล็กน้อย เหยาเฉาพยักหน้ารับโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย
หลินเหราส่ายหน้า แต่คิดว่าเหยาเฉานั้นไม่เห็นจึงได้เอ่ยออกไป “ไม่มีอะไร”
เขาตัดสินใจว่าจะนำสิ่งที่ติดค้างต่อเหยาเฉาเก็บไว้ในใจ
เหยาเฉาเป็นคนเปิดเผย จึงหันกลับไปมองหลินเหราด้วยสีหน้าเคร่งเครียด เมื่อครุ่นคิดอย่างละเอียดแล้ว ก็รู้ทันทีว่าเขากำลังคิดอะไร
“หึ อาเหรา” ใบหน้าของเขาแต่งแต้มด้วยไปรอยยิ้มที่จะปรากฎขึ้นต่อหน้าครอบครัวเท่านั้น เป็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์และพึ่งพาไม่ได้ “ไม่ได้ให้เจ้าแต่งกายเป็นสตรีเสียหน่อย เหตุใดเจ้าถึงต้องทำหน้านิ่วคิ้วขมวดเช่นนั้นด้วยเล่า?”
หลินเหราไม่ได้ทำหน้านิ่วคิ้วขมวด เขามองข้ามความคิดที่อยู่ในใจนี้ไม่ได้ จึงขมวดคิ้วแน่น และพูดว่า “สองสามวันมานี้เราค่อยคิดก็ได้ หากมีวิธีอื่นที่ดีกว่านี้….”
เหยาเฉายิ้มอย่างสบาย ๆ “วิธีการที่คิดได้นั้นมีมากมาย คนฉลาดล้วนมองออกว่าตรงไหนดี ผู้ที่กระทำการใหญ่ย่อมไม่ใส่ใจกับเรื่องเล็กน้อย หากบอกว่าเป็นแค่การแต่งหญิง ต่อให้ต้องโกนหัวเป็นนักบวช เป็นขอทานผมเผ้ากระเซอะกระเซิง ข้าก็ต้องทำ”
ประโยคที่โพล่งออกมาคือการปลอบโยนหลินเหราอย่างแท้จริง
ต่อให้ฆ่าเขา เหยาเฉาก็ไม่มีทางยอมโกนหัว และมีภาพลักษณ์สกปรกโสมม เนื้อตัวส่งกลิ่นเหม็นออกมาโดยเด็ดขาด
เมื่อเห็นหลินเหรายังคงขมวดคิ้วแน่น ไม่ปริปากเอ่ยสิ่งใด ดวงตาเรียวดุจลูกท้อที่ชวนหลงใหลของเหยาเฉาก็เบิกกว้าง กลายเป็นลูกตาแมวทันที “พอแล้ว หากเอ่ยเรื่องนี้ขึ้นอีก ข้าจะไม่เล่นพ่อแม่ลูกกับพวกเจ้าแล้ว จะพาเหล่าพี่น้องตรงขึ้นเขา รบราฆ่าฟันให้สิ้นซาก จะได้ไม่ทำลายภาพลักษณ์ที่ข้ารักษามาโดยตลอด…”
ครั้นรู้ว่าเขาตั้งใจแกล้งพูดในสิ่งที่ไม่ตรงกับใจ ในที่สุดหลินเหราก็มีท่าทีสงบลง และส่งเสียงหัวเราะแผ่วเบา
ชายชั้นสูงประเมินสถานการณ์ ตัดสินใจในทางที่เลือก
ปกติแล้วเหยาเฉาจะให้ความสนใจกับภาพลักษณ์เป็นที่สุด มักจะแสดงความเป็นสุภาพบุรุษผู้งดงามดุจหยกต่อหน้าคนภายนอก ถึงแม้จะทำเพื่อความชอบธรรม การยินยอมแต่งกายเป็นเจ้าสาวก็เป็นเรื่องยากยิ่งสำหรับเขา
เมื่อเดินผ่านหัวมุมถนน โคมไฟสีแดงสดที่แขวนอยู่ตามบ้านเรือนในช่วงปีใหม่ยังไม่ได้ถูกถอดลง แสงไฟสีแดงสดใสได้ตัดสลับกับความมืดมิด สะท้อนใบหน้างดงามหมดจดของเหยาเฉา ทำให้ต้องยอมศิโรราบให้กับน้ำจิตน้ำใจของเขา
ใบหน้าของหลินเหราเคร่งขรึมขึ้น และพูดอย่างหนักแน่นว่า “พี่รองวางใจเถอะ ข้าจะปกป้องท่านเอง”
เปลวไฟจากเทียนไขโบกพลิ้วไสวตามแรงลม เหยาเฉาหันไปยิ้มและพูดกับหลินเหราว่า “ก่อนหน้านั้นอาซูบอกว่าเจ้าปกป้องครอบครัวมาโดยตลอด ดูจากตอนนี้ก็มั่นใจว่าเป็นเช่นนั้น”
ชายหนุ่มดึงเชือกบังเหียน ก่อนจะเหลือบไปมองเหยาเฉา สายตาของเขาเต็มไปด้วยความสงสัย เหมือนจะรอให้เขาพูดต่อ
เหยาเฉายิ้มพลางพูดว่า “ปกติแล้วเจ้าไม่ใช่คนลังเล แผนการของเราดุจภูษาฟ้าที่ไร้ตะเข็บ[1] ประกอบกับการฝึกฝนหลายครั้ง ต้องสำเร็จเป็นแน่ ไม่เห็นต้องคิดให้สับสนวุ่นวาย”
คนฉลาดพูดเพียงเล็กน้อยก็เข้าใจ
คำพูดของเหยาเฉา เป็นการแสร้งตักเตือนอยู่ในที
หลินเหราได้ยินดังนั้น ก็พยักหน้าพลางพูดว่า “พี่รองพูดถูก ข้าจะระวัง”
แม้ว่าเหยาเฉาและหลินเหราเพิ่งจะรู้จักกันจริง ๆ ได้ไม่นาน นิสัยใจคอของพวกเขาต่างกันโดยสิ้นเชิง หากแต่พวกเขาเข้าใจว่าเหตุใดถึงต้องเคารพซึ่งกันและกัน จึงไม่ก้าวก่ายเรื่องราวของกันและกัน
หลินเหราพูดน้อยและเงียบขรึม เหยาเฉาว่องไวและปราดเปรียว เมื่อทั้งสองคนร่วมมือกันจึงช่วยเติมเต็มส่วนที่ขาดหายให้กันและกันได้
บางทีผู้ตรวจการอาจจะมองเห็นถึงส่วนที่เติมเต็มให้กันและกันของพวกเขา จึงจับทั้งสองคนมาอยู่ที่เดียวกันก็เป็นได้
ระหว่างทางกลับบ้าน เหยาเฉาและหลินเหราได้ปรึกษาหารือกัน “อาซูและเด็ก ๆ อยู่บ้านหรือไม่? วันนี้ยังไม่ดึกมากนัก สู้ไปด้วยกันดีกว่า สองสามวันที่ผ่านมาข้ายังไม่ได้เจอเด็ก ๆ ทั้งสามคนเลย”
หลินเหราพยักหน้าเล็กน้อย “ใกล้แล้ว ใกล้กว่าบ้านหลังนั้นของพี่รองเสียอีก”
เหยาเฉาไม่ได้กลับบ้านในเมืองเป็นเวลาหลายสิบวัน เขาควบม้ารุดขึ้นหน้า พลางหันไปตอบว่า “ในบ้านน่าจะเก็บข้าวของกันแล้วแหละ งั้นข้านำไปก่อนนะ!”
หลินเหราเกิดความลังเลเล็กน้อย กำลังคิดจะพูดบางอย่าง แต่แผ่นหลังของเหยาเฉาก็ได้หายไปในความมืดมิดเสียแล้ว
สองสามวันนี้เหยาเฉาค้างคืนอยู่ในจวนตรวจการตลอด ในที่สุดก็จัดการเรื่องราวได้เกือบหมด วันนี้ยังต้องตัดสินใจเกี่ยวกับแผนการในการปราบโจร เขาจึงอยากกลับบ้านไปผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าและพักผ่อนเสียหน่อย
เมืองชิงถงภายใต้ความมืดมิดนั้นสงบสุขและเงียบสงัดมาก ถนนหนทางมีคนพลุกพล่านไม่มากนัก เขาควบคุมระดับความเร็ว ควบม้าวิ่งเหยาะ ๆ ท่ามกลางสายลมยามราตรี สัมผัสได้ถึงความสบายที่พัดผ่านทั่วทั้งร่างกาย
ไม่นานก็มาถึงหน้าประตูบ้าน ประตูใหญ่ถูกเปิดอย่างลวก ๆ มีแสงเรืองรองส่องออกมาจากในลานบ้าน
เหยาเฉาลงจากหลังม้า ความเหนื่อยล้าในสองสามวันนี้ทำให้เขาไม่คิดมาก ยกเท้าก้าวเข้าไปในลานบ้าน จนเกือบชนเข้ากับชายหนุ่มที่รีบร้อนผู้หนึ่งวิ่งออกมา
“ใครกัน?!” เหยาเฉาตื่นตกใจ คิดว่าคนตรงหน้าคือโจร จึงคว้าแขนของคนผู้นั้นไว้
เสียงใส ๆ ของเด็กหนุ่มปะปนกับเสียงร้องด้วยความเจ็บปวด “ไอหยา! เจ็บ เจ็บ พี่รองเหยา ปล่อยมือก่อน!”
จิตใจที่ตึงเครียดในช่วงสองสามวันนี้ พลันผ่อนคายลงทันที เหยาเฉาสับสนเล็กน้อย กระทั่งได้ยินคนผู้นั้นเรียกเขาว่า ‘พี่รองเหยา’ จึงนึกได้ว่าภายในบ้านของตนนั้นยังมีบัณฑิตน้อยอีกหนึ่งคน
เหยาเฉารีบปล่อยมือทันที พร้อมกับถอยร่นไปด้านหลังหนึ่งก้าว และกล่าวขอโทษ “ขอโทษ ต้องขอโทษด้วยจริง ๆ! ลืมไปเลยว่ายังมีคนอาศัยอยู่ในบ้าน!”
อวี๋จือถูกบีบแขนจนเจ็บไปหมด มือซ้ายของเขานวดแขนขวา พลางกัดฟันกรอดครู่หนึ่งก่อนจะพูดอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ ว่า “เป็น เป็นข้าเองที่รีบออกมา เมื่อครู่ได้ยินเสียงกีบม้า จึงคิดว่าพี่รองเหยาอาจจะกลับมาแล้ว…”
ไหล่ของเขาไม่อาจแบกหาม มือไม่อาจถือของ ตามแบบฉบับของบัณฑิตในเมืองเจียงหนาน รูปร่างก็เตี้ยต่ำ เมื่อยืนต่อหน้าเหยาเฉา ดวงตาจึงแดงก่ำราวกับโดนกดขี่ข่มเหงอย่างไรอย่างนั้น
ในใจของอวี๋จือนั้นอยากจะดึงแขนเสื้อขึ้นดูว่าแขนของตนเองนั้นเขียวช้ำแล้วหรือไม่ แต่ก็อดกลั้นไว้
ใบหน้าของอวี๋จือยังดูเหมือนแก้มเด็กที่ไม่มีวันแก่ชรา เป็นเด็กหนุ่มคนหนึ่ง ในใจของเหยาเฉาเกิดรู้สึกผิดกับเจ้าตัวขึ้นมา
เขารีบถามว่า “เจ็บมากหรือไม่? กำลังมือของข้านั้นไม่แน่นอน บีบจนถึงกระดูกเลยใช่หรือไม่?”
อย่าหาว่าเหยาเฉานั้นอ่อนแอเชียว ปกติแล้วเขามักฝึกฝนตนเองบ่อยครั้ง แม้แต่ข้อมือของชายฉกรรจ์อย่างเจิ้งอันก็ยังถูกอีกฝ่ายจับแยกได้
เป็นครั้งแรกที่เจอกัน อวี๋จือเอียงอายอย่างมาก รีบโบกมือไปมา ก่อนจะยิ้มและพูดว่า “ไม่เป็นไร ไม่ได้เจ็บมาก….”
เหยาเฉาเห็นครั้งแรกก็รู้ถึงนิสัยของอวี๋จือทันที นี่คือกระต่ายขาวตัวน้อยจอมเกียจคร้านตัวหนึ่งโดนรังแกอย่างไรก็คงไม่มีทางส่งเสียงร้องออกมา เช่นนั้นจึงทำได้แค่เปลี่ยนหัวข้อ และพูดว่า “กินข้าวมื้อค่ำแล้วหรือ? เราเข้าไปกันเถอะ ยืนอยู่หน้าประตูเหมือนกับอะไรก็ไม่รู้”
อวี๋จือพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง จากนั้นก็ตอบคำถามของเหยาเฉา “ยังไม่ได้กินขอรับ”
เหยาเฉาเห็นว่าอวี๋จือไม่มีทีท่าว่าจะโกรธ จึงถามเขาเหมือนกับพี่ชายข้างบ้าน “แล้วในบ้านมีข้าวหรือไม่ สองสามวันนี้แก้ไขปัญหาเรื่องข้าวอย่างไรบ้าง?”
ชายหนุ่มเดินตามฝีเท้าของพวกเขาพลางพูดว่า “ข้าซื้อแผ่นแป้งมาหนึ่งตะกร้า แล้วก็ผักดองที่สามารถเก็บไว้ได้นาน”
เหยาเฉาได้ยินดังนั้น หัวคิ้วก็เลิกสูงอีกครั้ง “ปกติเจ้ากินแต่แผ่นแป้งกับผักดองหรือ?”
เดิมทีอวี๋จือจะพูดคุยกับคนแปลกหน้าค่อนข้างน้อย กลับมีความสามารถในการแยกแยะอารมณ์ที่ละเอียดอ่อนของคนภายนอกได้ เมื่อเห็นเหยาเฉาไม่เห็นด้วย จึงรีบอธิบายว่า “ไม่ได้กินทุกวันขอรับ! แม่นางเหยามักจะให้ต้าเป่าและเอ้อเป่าทำอาหารมาส่งให้ข้า! วันนี้นั่งอ่านหนังสือในห้องหนังสืออยู่นาน จึงไม่ได้สังเกตเห็นสีท้องฟ้าไปชั่วขณะ…”
ได้ยินเขาพูดเช่นนี้ เดิมทีเหยาเฉาเตรียมจะเดินเข้าไปในห้องโถงด้านหน้า แต่กลับเปลี่ยนใจพาอวี๋จือเข้าไปในห้องหนังสือ
แสงไฟที่เขาเห็นเล็ดลอดออกมาด้านนอก เป็นแสงไฟที่ออกมาจากห้องหนังสือนี่เอง
ห้องหนังสือที่ไม่ใหญ่นักได้รับการเก็บกวาดจนสะอาด ตู้หนังสือที่เหยาเฉาชอบยัดหนังสือจนเป็นกองสุมในอดีต ตอนนี้ได้ถูกจัดระเบียบ แยกประเภทของชั้นหนังสือ ทำให้มองแวบเดียวก็รู้ได้ทันที
หนังสือในห้องนั้นเป็นหนังสือที่เหยาเฉารักที่สุด มีตู้หนังสือที่สร้างประโยชน์ในการสอบขุนนางของอวี๋จืออีกด้วย แต่ก็ไม่มากนัก
เหยาเฉาถามเรื่องการศึกษาเล่าเรียนกับอวี๋จือ “ได้ยินอาซูบอกว่าเจ้าเตรียมจะสอบขุนนาง? หลายวันมานี้ทบทวนเป็นอย่างไรบ้างเล่า?”
[1] *ภูษาฟ้าไร้ตะเข็บ หมายถึง ไม่มีรอยต่อ
สารจากผู้แปล
ถ้าอาเฉาไม่ได้แต่งงานมีลูกมีเมียแล้ว ผู้แปลจะขึ้นเรือบัณฑิตพี่น้องคู่นี้แล้วนะ อ่านแล้วหัวใจมันเต้นตึกตัก
ไหหม่า(海馬)