ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม [穿书后,我成了三个反派的娘] – บทที่ 132 เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่สิ่งที่นางต้องการ

ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม [穿书后,我成了三个反派的娘]

ในขณะที่สองแม่ลูกกำลังพูดคุยกันอยู่นั้น อาซือก็งัวเงียตื่นขึ้นมาเรียก ‘ท่านแม่’

เมื่อเหยาซูเห็นว่าเริ่มสายมากแล้ว นางจึงพาเด็ก ๆ ลงจากเตียง

หลังจากเดินมาถึงห้องครัว ก็เห็นอาหารเช้าร้อนกรุ่นของทั้งสามคนวางอยู่บนเตา

หลายวันมานี้มักเป็นเช่นนี้เสมอ ยามราตรีไร้เงาของหลินเหรา แต่เมื่อรุ่งสางกลับเห็นร่องรอยของเขาที่กลับบ้านจากในครัว

อาซืเอ่ยขึ้นอย่างดีใจว่า “วันนี้ท่านพ่อนึ่งหงโต้วเกา1 ด้วย!”

เด็กสาวตัวน้อยชอบกินของหวานเช่นนี้เป็นที่สุด เรื่องที่เด็กทั้งสองคนไม่รู้ก็คือเหยาซูเองก็ชอบเช่นกัน เพียงแต่วิธีการทำนั้นค่อนข้างยุ่งยาก จึงไม่ค่อยได้ทำกินเท่าไรนัก

หญิงสาวยิ้มและกล่าวว่า “เอาละ จานค่อนข้างร้อน พวกเจ้าสองคนอย่าได้แตะต้องมันเชียว รีบไปเก็บชามตะเกียบเถิด เราได้จะกินอาหารเช้ากัน”

อาจื้อและอาซือขานรับอย่างขยันขันแข็ง จากนั้นก็วิ่งไปเก็บกวาดบนโต๊ะอาหาร ส่วนเหยาซูก็ยกหงโต้วเกาลงจากเตา พลันสังเกตเห็นลักษณะที่แปลกประหลาดของขนมชิ้นนั้น

หญิงสาวไม่คิดอะไรมากนัก บิขนมชิ้นเล็กขึ้นมาชิมเบา ๆ ความหวานละมุนอวลอยู่ภายในปาก พ่อครัวฝีมือดีที่คลุกคลีอยู่กับขนมยังมิอาจสู้ฝีมือหลินเหราได้

หลังจากกินมื้อเช้าเสร็จแล้ว วันนี้เหยาซูไม่ได้ออกไปข้างนอก จึงถือโอกาสในวันที่อากาศดีเช่นนี้นำผ้าห่มหมอนมุ้งออกมาตากแดด และเย็บเสื้อผ้าให้เหล่าเด็ก ๆ หลังจากที่วุ่นอยู่กับเรื่องเย็บปักถักร้อยอยู่เป็นเวลานาน ยามพลบค่ำก็มาเยือน

หญิงสาวตั้งใจจะทำอาหารสักอย่างให้เด็กทั้งสองคน แต่กลับได้ยินอาจื้อวิ่งกลับเข้าพร้อมกับตะโกนเสียงดัง “ท่านแม่! ท่านแม่ ท่านพ่อกลับมาแล้ว!”

มือของเหยาซูที่กำลังปักผ้าเช็ดหน้าหยุดชะงัก จากนั้นก็วางผ้าเช็ดหน้าที่ใกล้ปักเสร็จแล้วลงในตะกร้า ก่อนจะใช้ผ้าที่ขาดแล้วด้านข้างคลุมมันไว้

หลังจากจัดการเรื่องเหล่านี้เสร็จสิ้น นางก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนจะยื่นมือออกมาปัดเศษผ้าเหล่านั้นออกจากร่างกายอย่างเร่งรีบ

เหยาซูหันกลับไปพูดกับอาจื้อว่า “วิ่งช้าลงหน่อย แม่ได้ยินแล้ว”

ใบหน้าที่แดงก่ำของเด็กชายเต็มไปด้วยหยาดเหงื่อ เขาหายใจเหนื่อยหอบพลางพูดกับเหยาซูว่า “ข้าเจอกับท่านพ่อระหว่างทาง! แล้วก็ท่านปู่ที่ดูมีเมตตาผู้หนึ่ง ท่านพ่อบอกว่านั่นคือผู้ตรวจการ! ผู้ตรวจการยังลูบศีรษะของข้าและพูดคุยกับข้าอีกหลายประโยคด้วยขอรับ!”

เหยาซูค่อนข้างประหลาดใจ จากนั้นก็เงยหน้าถามเขา “อ่า? แล้วเจ้าไม่กลับมาพร้อมกับพ่อเจ้าหรือ?”

อาจื้อส่ายหน้า และพูดต่อว่า “เดี๋ยวท่านพ่อก็ถึงบ้านแล้ว!”

ทันทีที่ลูกชายเอ่ยพูดจบ พลันได้ยินเสียงเปิดประตูดังขึ้นจากลานบ้าน ตามมาด้วยเสียงฝีเท้าหนักแน่นของผู้ชายหนุ่ม

เหยาซูและหลินเหราใช้ชีวิตร่วมกันมาได้ระยะหนึ่ง พริบตาเดียวก็สามารถจำได้

ณ ลานบ้าน

“ท่านพ่อ” อาซือตะโกนเสียงแหลม เมื่อเห็นผู้เป็นพ่อก็วิ่งโผเข้าไปหาเขาทันที

ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่อุ้มเด็กสาวตัวน้อยขึ้นมา แววตาของเขานิ่งสงบ เขาถามนางด้วยเสียงทุ้มต่ำว่า “แม่เจ้าล่ะ?”

อาซือชี้ไปในบ้าน “ท่านแม่กำลังปักผ้าเช็ดหน้าอยู่เจ้าค่ะ!”

ในใจของเหยาซูรู้สึกจนปัญญา เมื่อถูกเด็กน้อยเปิดเผยความลับ

นางจึงหยิบผ้าเช็ดหน้าที่ปักใกล้เสร็จแล้วออกมาจากในตะกร้า

ในเมื่อหลินเหรารู้แล้วก็ไม่จำเป็นต้องปิดบังอีกต่อไป

หลินเหราสาวเท้าก้าวเข้ามาในบ้าน วินาทีที่สบสายตากับเหยาซู แววตาก็พลันอ่อนลง

เขาเรียกนางด้วยเสียงเบา “อาซู ข้ากลับมาแล้ว”

เหยาซูเผยรอยยิ้มพลางถามว่า “เหตุใดวันนี้กลับมาเร็วเช่นนี้?”

หลินเหราส่ายหน้า “ช่วงสองสามวันนี้แผนการใกล้จะเสร็จสมบูรณ์ ไม่มีเรื่องอะไรเร่งด่วน ข้าเลยกลับบ้านเร็ว”

สายตาของเขาแพรวพราวระยิบระยับ แม้ว่าจะไม่ได้แสดงออกทางน้ำเสียง แต่นัยน์ตาก็ยังสะท้อนความหมายบางอย่างออกมา เห็นได้ชัดว่ามิอาจข่มความถวิลหาที่มีให้แก่กันได้

“เอาล่ะ วางเอ้อเป่าลงเถอะ”

เมื่อเหยาซูนึกถึงความลำบากของเขาเมื่อคืน ในใจก็พลันเต้นรัว จากนั้นก็ถามเขาเสียงเบาว่า “ท่านไม่ได้กินข้าวที่บ้านตั้งหลายวัน คืนนี้อยากกินอะไรล่ะ?”

หลินเหราไม่อยากกินอะไรทั้งนั้น พูดเพียงว่า “ทำอาหารที่เจ้าและเด็ก ๆ ชอบก็พอ”

แต่จู่ ๆ เขาก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ จึงถามเหยาซูว่า “หงโต้วเกาเมื่อเช้านี้เจ้ากินแล้วหรือยัง?”

เหยาซูรู้สึกว่าหากลงมือทำอาหารในตอนนี้ยังเร็วเกินไปนัก จึงหยิบเข็มและด้ายขึ้นมาถือในมืออีกครั้ง พลางตอบคำถามเขา “กินแล้ว รสชาติไม่เลวเลย แต่รูปร่างมันแปลกไปเสียหน่อย ท่านมักจะทำรูปสี่เหลี่ยมเสมอไม่ใช่หรือ?”

ชายหนุ่มตกตะลึง พูดไม่ออกไปชั่วขณะหนึ่ง

“หื้ม? เหตุใดถึงไม่พูดเล่า?” หญิงสาวเงยหน้าขึ้นด้วยแววตาเต็มไปด้วยความสงสัย

เหยาซูมักจะชื่นชมการจัดการกับความรู้สึกได้เป็นอย่างดีของหลินเหราเสมอ ตราบใดที่เขาไม่ส่งเสียง ก็ไม่มีใครจับพิรุธในความรู้สึกของเขาได้เลยแม้แต่น้อย

เขาหยุดชะงักไป และพูดว่า “ไม่มีอะไร”

แต่ถึงอย่างไรทั้งสองคนก็ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันมาเนิ่นนาน เหยาซูย่อมสังเกตได้ถึงความผิดปกติในน้ำเสียงของเขา มือที่กำลังวุ่นวายก็พลันหยุดชะงัก ก่อนจะยิ้มพลางซักถามว่า “อะไรกันเล่า? พูดเถิด ข้าเดาความคิดท่านไม่ออกหรอกนะ”

หลินเหรากำหมัดมือขวาหลวม ๆ และยกขึ้นมาบริเวณปาก ก่อนจะเอ่ยแผ่วเบา “รูปร่างไม่แปลกหรอก หากแต่เป็นรูปหัวใจต่างหาก”

รอบแรกเหยาซูฟังไม่ชัดเจนเท่าไร จึงถามขึ้นด้วยอีกครั้ง “ว่าอย่างไรนะ?”

แต่เมื่อนางพูดจบก็พลันได้สติ

ชายหนุ่มน่าจะเคยเห็นมื้อเช้าที่เหยาซูทำให้พวกเด็ก ๆ มีอยู่ครั้งหนึ่งนางบีบข้าวให้กลายเป็นรูปหัวใจ และมักพูดกับพวกเขาด้วยรอยยิ้มว่า หัวใจดวงน้อยนี้คือเครื่องพิสูจน์ว่าแม่รักพวกเขา

ไม่รู้ว่าหลินเหราไปได้ยินมาตั้งแต่เมื่อไร จึงสร้างรูปหัวใจด้วยหงโต้วเกา เพียงแต่รูปร่างที่เขาทำอาจจะดูแย่ไปสักหน่อย…

อาจื้อบังเอิญได้ฟังบทสนทนาของพวกเขาสองคน และไม่เข้าใจความรู้สึกที่ท่านพ่อมีต่อท่านแม่ จึงพูดขึ้นอย่างจริงจังว่า “ท่านพ่อ รูปหัวใจไม่ใช่รูปร่างที่จับนู่นผสมนี่หรอกนะขอรับ แต่คือแบบนี้ต่างหาก”

ในขณะที่พูดเขาก็งอฝ่ามือทั้งซ้ายและขวาเข้าด้วยกัน จากนั้นก็ส่งรูปหัวใจที่ได้มาตรฐานดวงหนึ่งไปให้หลินเหรา

หลินเหราแสดงสีหน้าเหยเก จากนั้นก็หันไปถามเขาว่า “เจ้ามาอยู่ตรงนี้ได้อย่างไร? ไปอยู่เป็นเพื่อนอาซือและซานเป่าไป”

เมื่อได้ยินดังนั้นอาจื้อจึงเดินออกไปอย่างเชื่อฟัง ทิ้งเหยาซูที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ อ้าปากหัวเราะจนแทบจะหงายหลัง

หลินเหราไม่ได้รู้สึกเขินอายแต่อย่างใด แต่เลือกจะนั่งลงข้างกายของเหยาซู เลียนแบบท่าทางของอาจื้อพร้อมถามนางว่า “นี่หมายความว่าอย่างไร?”

ฝ่ายชายทำมือรูปหัวใจด้วยใบหน้าเคร่งขรึมเพื่อเอาอกเอาใจเหยาซู นี่เป็นอีกครั้งที่นางรู้สึกเสียดายที่สมัยโบราณไม่มีกล้องถ่ายรูป ไม่เช่นนั้นคงได้ถ่ายรูปเก็บเอาไว้เป็นแน่ ไม่มีใครต้านทานความน่ารักในรูปแบบดุดันเช่นนี้ได้แน่นอน

เหยาซูเคยเรียนภาพสเก็ตช์มาก่อน จึงคิดอยากวาดภาพของหลินเหราเก็บไว้ นางเอ่ยตอบเขาว่า “นี่คือหัวใจดวงน้อย… รูปหัวใจที่ใช้ฝ่ามือทั้งสองข้างงอเข้าหากัน ทำเป็นรูปของหัวใจ นี่คือความหมายของหัวใจดวงน้อย… อื้อ มันคือการแสดงความรัก”

หลินเหราไม่ได้ดึงมือกลับ ตรงกันข้ามกลับชูมือทั้งสองข้างขึ้นสูงราวกับตั้งใจให้เหยาซูเห็น

นางยิ้มตาหยี นัยน์ตารูปดอกท้อเปล่งประกายระยิบระยับดุจหยาดน้ำ ก่อนจะพูดด้วยรอยยิ้มว่า “รู้แล้ว รู้แล้ว หยุดชูได้แล้ว”

หลินเหรากระตุกยิ้มมุมปากเล็กน้อย ใบหน้ารูปงามดูอ่อนโยนลงในชั่วพริบตาเดียว

“ต่อไปข้าจะสอนท่านทำรูปหัวใจ ครั้งที่แล้วข้าหั่นหัวไชเท้าเป็นรูปหัวใจ อาจื้อยังกินไปตั้งหลายชิ้น…”

การเข้าหากันของทั้งสองคนดูเป็นธรรมชาติมาก คล้ายสามีภรรยาที่ใช้ชีวิตร่วมกันมานานหลายปี พูดคุยกันเรื่องครอบครัว เรื่องเด็ก ๆ จนฟ้ามืดลงโดยไม่รู้ตัว

———————————————————————————————————

红豆糕 hóng dòu gāo เค้กถั่วแดงสไตล์กวางตุ้งทำด้วยถั่วแดงกวนที่แช่แข็งแล้ว โดยทั่วไปจะตัดเป็นรูปสี่เหลี่ยม เป็นขนมกินเล่นหรือเป็นของกินในบางเทศกาลก็ได้ (ภาพจาก https://baike.sogou.com/v100824.htm)

สารจากผู้แปล

ตายแล้ว ท่านพ่อท่านแม่หวานกันจนหงโต้วเกาจืดแล้วมั้งคะเนี่ย มีทำรูปหัวจงหัวใจด้วย

ไหหม่า(海馬)

ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม [穿书后,我成了三个反派的娘]

ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม [穿书后,我成了三个反派的娘]

Status: Ongoing
เหยาซูเสียชีวิตเนื่องจากเครื่องบินตก ตื่นขึ้นมาอีกทีก็พบว่าตนเองได้มาอยู่ในร่างตัวละครหนึ่งในนิยายที่ตัวเองกำลังอ่าน!หญิงสาวเสียชีวิตจากอุบัติเหตุเครื่องบินตกและมาเกิดใหม่ในนิยายยุคโบราณที่ตนเองกำลังอ่าน หลังฟื้นขึ้นมาจึงพบว่าตนเองอยู่ในร่างของ เหยาซู มารดาของวายร้ายทั้งสามในเรื่อง กลายเป็นแม่ม่ายลูกติดโฉมสะคราญที่ผู้คนต่างชี้หน้าบอกว่าเป็นตัวซวยทำให้สามีต้องตาย เมื่อได้ทราบว่าชีวิตของลูก ๆ ต้องเผชิญกับการดูถูก นางจึงทนไม่ไหวเก็บข้าวของหอบลูกกลับบ้านเก่า เริ่มต้นชีวิตใหม่กับลูกและครอบครัวทางแม่ของตน ด้วยคิดว่าหากสั่งสอนลูกดี ๆ พวกเขาคงไม่กลายเป็นตัวร้าย จนกระทั่งวันหนึ่งสามีของนางได้กลับมา พวกเขาจึงได้ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขอีกครั้ง แต่แล้วนางก็นึกขึ้นมาได้ว่าตามนิยายต้นฉบับสามีของตนจะตกหลุมรักสตรีอื่น จึงคิดหาวิธีที่จะหย่าขาดกับเขาอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท