ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม [穿书后,我成了三个反派的娘] – บทที่ 142 ทะเลาะกับหลินเหรา

ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม [穿书后,我成了三个反派的娘]

อาซือถูกอุ้มอยู่ในอ้อมแขนของหลินเหราพลางร้องเพลงที่นางแต่งเองให้เขาฟังอย่างเป็นจังหวะ เมื่อร้องจบดวงตาที่สุกสกาวคู่นั้นพลันเบิกกว้าง “ท่านพ่อ ข้าร้องเพราะหรือไม่เจ้าคะ?”

หลินเหราไม่รู้ว่าเด็กหญิงตัวน้อยร้องเพลงอะไร แต่ถึงกระนั้นทำนองเพลงอ้อแอ้ราวกับคำพูดเด็กทารกที่แปลกหูนั้น กลับไม่แย่อย่างที่คิด

เขาเลียนแบบท่าทางปลอบเด็กมาจากเหยาซู และพูดกับลูกสาวด้วยน้ำเสียงอบอุ่นว่า “เพราะมาก เอ้อเป่าร้องเพลงได้ไพเราะที่สุด”

เด็กสาวตัวน้อยเผยรอยยิ้มออกมา จากนั้นก็ร้องคลอด้วยทำนองเพลงที่ไม่รู้จักชื่อต่อไป พลางเริ่มเล่นกลเก้าห่วงที่นางไม่เคยเบื่อหน่ายอีกครั้ง

หลินเหราอุ้มลูกสาวอยู่ในอ้อมแขน นั่งมองเหยาซูที่กำลังเปลี่ยนผ้าอ้อมที่สกปรกให้แก่ซานเป่าอยู่ข้างเตียง โดยมีอาจื้อคอยช่วยเหลืออยู่ข้างกาย

“ท่านแม่ กลิ่นน้องชายช่างเหม็นฉุนยิ่งนัก…”

เวลานี้เด็กผู้ชายสูงกว่าเอวของเหยาซูแล้ว ใบหน้าอ่อนเยาว์แสดงสีหน้ารังเกียจยิ่งออกมา

เหยาซูหัวเราะเบา ๆ และพูดกับอาจื้อว่า “ตอนเด็ก ๆ เจ้าก็เป็นเช่นนี้ไม่ใช่หรือ? เจ้าจะได้มีประสบการณ์ในการมีลูกไง”

เมื่ออาซือได้ยินเช่นนี้ก็เอ่ยฟ้องผู้เป็นพ่อ “ทุกครั้งที่ท่านพี่เปลี่ยนผ้าอ้อมให้น้อง ก็มักจะบอกว่าน้องเหม็นฉุนตลอด”

อาจื้อรีบตะโกนใส่น้องสาวเสียงดัง “เจ้าก็เหม็นฉุนเหมือนกันไม่ใช่หรือ? อย่าว่าแต่ข้าสิ”

“ข้าเปล่านะ! ข้าช่วยท่านแม่ต่างหาก!”

เมื่อเห็นเด็กทั้งสองคนเริ่มทะเลาะกันอีกครั้ง หลินเหรากลับไม่ได้ตื่นตัวราวกับเจอศัตรูตัวฉกาจเหมือนครั้งก่อน

อาจื้อและอาซือมักจะทะเลาะเบาะแว้งกันอยู่บ่อยครั้ง ทว่าอาจื้อมักจะยอมน้องสาวเสมอ

เขาอุ้มอาซือขึ้นมาบนตัว พยายามหลีกเลี่ยงไม่ให้อาซือลื่นไถลลงจากตักของเขา จากนั้นก็เอ่ยเตือนนางว่า “นั่งดี ๆ”

อาซือสนใจแต่การถกเถียงกับพี่ชาย จึงนั่งโยกไปก็โยกมา ทั้งยังอยากจะลงไปยืนบนพื้น หลินเหราจึงยื่นมือออกไปปกป้องนางไว้

เหยาซูรีบห้ามปรามทันที “เอ้อเป่า! ไหล่ของพ่อเจ้าบาดเจ็บอยู่นะ หยุดขยับตัวเปะปะได้แล้ว!”

อาซือคล้ายกับถูกกดปุ่มปิดอย่างที่คิดไว้จริง ๆ เด็กน้อยไม่ขยับเขยื้อนอีกต่อไปแต่อย่างใด

เด็กหญิงเงียบไปชั่วครู่ก่อนจะหันกลับไป และเอ่ยถามหลินเหราอย่างระมัดระวังว่า “ท่านพ่อ ไหล่ของท่านยังเจ็บอยู่หรือไม่เจ้าคะ?”

สองวันก่อน นับตั้งแต่ที่เห็นไหล่ของหลินเหราแดงฉานไปด้วยเลือด ในใจของเหยาซูก็รู้สึกเจ็บปวด หากแต่ใบหน้ากลับไม่แสดงความรู้สึกใด นอกจากสีหน้าที่จนปัญญาฝืนใจทายาจินฉวง [1] ลงบนไหล่ของเขา จากนั้นก็พันผ้าพันแผลให้ผู้เป็นสามีอย่างแน่นหนา

หลินเหราไม่ได้ใส่ใจนักก่อนจะพูดกับลูกสาวว่า “ไม่เจ็บหรอก แผลเล็กนิดเดียว”

เมื่อเหยาซูเปลี่ยนผ้าอ้อมให้ซานเป่าเสร็จแล้วก็อุ้มเขาขึ้นมา

อาจื้อวิ่งพุ่งมาตรงหน้าของหลินเหรา เด็กชายเงยหน้าขึ้นพลางพูดกับเขาด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ต่อไปท่านพ่อต้องระวังนะขอรับ หากได้รับบาดเจ็บอีก ท่านแม่จะต้องปวดใจเป็นแน่”

หลินเหราหันกลับไปมองเหยาซู เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ได้เอ่ยเอื้อนสิ่งใดแต่กลับทำให้นางเขินอาย

หญิงสาวอุ้มซานเป่าเอาไว้ ตั้งใจจะไม่สบตาคู่นั้นของหลินเหราพร้อมกับพึมพำว่า “ไม่ใช่ยังไม่เจอกับโจรภูเขาหรือไร? แต่กลับได้รับบาดเจ็บเสียแล้ว จะให้ข้าวางใจปล่อยท่านไปปราบโจรได้อย่างไรเล่า…”

หลินเหรากลับมาโดยไม่พูดสิ่งใดมากนัก เดิมทีเขาก็มีนิสัยที่ไม่ชอบอธิบายมากความอยู่แล้ว แต่เมื่อเผชิญหน้ากับเหยาซูกลับพลั่งพรูคำพูดออกมาโดยไม่รู้ตัว

หลินเหราพูดขึ้น “ข้าต้องไปสำรวจเส้นทางบนภูเขา และเป็นเพราะทางเส้นนั้นไม่มีคนเดินผ่านมากนัก จึงไม่ได้พาทหารติดตามไปมากมาย”

เหยาซูพูดอย่างไม่เข้าใจว่า “เส้นทางภูเขาที่ไม่มีคนเดินผ่าน พวกท่านจะไปสำรวจมันด้วยเหตุใด?”

เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับแผนการที่หลินเหราและพรรคพวกปรึกษาหารือกันเพื่อปราบโจร เขาจึงพูดสิ่งใดมากไม่ได้ แต่กลับเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “ไม่ได้เจอโจรป่าหรอก แต่กลับเจอผู้คุ้มกันที่มีจิตใจอำมหิตกลุ่มหนึ่งแทน”

เหยาซูที่กำลังหยอกล้อกับซานเป่าก็พลันหยุดชะงัก จากนั้นก็ถามกลับด้วยทันทีว่า “ผู้คุ้มกัน?”

หลินเหราพยักหน้า “คนของหน่วยคุ้มกันฉางเฟิงในเมืองหลวง กำลังคุ้มกันนายและบ่าวกลุ่มหนึ่ง ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอารมณ์หื่นกามเพียงชั่ววูบหรือเพราะอะไร ถึงเริ่มปล้นนายจ้างของตัวเอง”

สองสามวันนี้เหยาซูยุ่งอยู่กับกิจการร้านขายชาดทาหน้า ไม่ได้สนใจการเป็นไปของหลินเหรามากนัก แต่เมื่อได้ยินเรื่องหน่วยคุ้มกันฉางเฟิง ก็อดรู้สึกหวั่นใจไม่ได้——

ถูกผู้คุ้มกันปล้นจี้ นี่คือเหตุการณ์เชื่อมการพบกันระหว่างหลินเหราและนางเอกตามนิยายต้นฉบับเดิมไม่ใช่เหรอ?

เช่นนี้ แสดงว่าเมื่อวานนี้หลินเหราก็ต้องเจอกับนางเอกนิยายตามต้นฉบับเดิมแล้วน่ะสิ?

เหตุใดเขาถึงไม่บอกนาง?

เหยาซูขมวดคิ้วอยู่เงียบ ๆ แต่กลับแกล้งทำเป็นถามโดยไม่ใส่ใจว่า “อารมณ์หื่นกามเพียงชั่ววูบ? งั้นนายจ้างผู้นั้นก็คือหญิงงามนางหนึ่งใช่หรือไม่?”

ไฉนเลยหลินเหราจะรู้ว่าแค่เสี้ยวเวลาสั้น ๆ ในใจของเหยาซูจะผุดความคิดนับไม่ถ้วนออกมา ชายหนุ่มแค่รู้สึกว่าสีหน้าของเหยาซูดูแปลกไป แต่กลับยังตอบอย่างตรงไปตรงมาว่า “เป็นนายและบ่าวสามคน มีหญิงงามหนึ่งในนั้นด้วย”

น้ำเสียงของเขาดูเป็นธรรมชาติมากเหมือนกับกำลังประเมินว่า ‘วันนี้อากาศไม่เลวเลย’ อย่างไรอย่างนั้น

“อ่อ? งามมากหรือไม่ล่ะ?” นางถามด้วยสีหน้าเรียบเฉย

ความไม่พอใจพลันปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าของเหยาซู ต่อให้โง่อย่างไรก็มองออก หลินเหราคิดไม่ออกว่าเหตุใดจู่ ๆ สีหน้าของนางถึงเปลี่ยนไป

เขาพูดอย่างไม่เข้าใจ “อาซู เจ้าไม่พอใจหรือ?”

เหยาซูเกิดความรู้สึกอึดอัดขึ้นมาทันใด

จะให้นางพูดได้อย่างไร? นางพูดได้หรือว่านั่นคือนางเอกตามนิยายต้นฉบับเดิม แม้แต่หลินเหราที่ดูเย็นชาดั่งภูเขาน้ำแข็งก็ยังมองออกเลยว่างามหรือไม่งาม

เมื่อเห็นเหยาซูไม่พูดสิ่งใด หลินเหราจึงทำได้แค่ลองเดาและพูดอย่างลังเลว่า “เป็น…เพราะเมื่อครู่ข้าพูดอะไรไม่สมควรพูดใช่หรือไม่?”

หากเป็นวันปกติ เมื่อเห็นหลินเหรายอมลดทิฐิมาปลอบตน เหยาซูไม่มีทางปล่อยไปแน่

แต่วันนี้ในใจของเหยาซูกำลังสับสน เดี๋ยวก็นึกถึงเค้าโครงเรื่องของนิยายต้นฉบับ เดี๋ยวก็นึกถึงทัศนคติที่หลินเหรามีต่อนางเอก ไม่รู้ว่าควรจะต้องตอบสนองอย่างไร

“อาซู….”

หลินเหรากำลังจะเอ่ยอะไรบางอย่าง แต่กลับได้ยินเสียงคนผลักประตูลานบ้าน ตามมาด้วยเสียงเคาะประตูของเจิ้งอัน

“สหายหลิน! สหายหลิน!”

ใบหน้าของหลินเหรามีสีหน้าหงุดหงิดใจอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน หัวคิ้วขมวดเข้าหากันทันที

เจิ้งอันผลักประตูเข้ามาอย่างไม่สนใจใยดี “สหายหลิน ข้าเอง! เจิ้งอัน! เอ๊ะ? อาซูก็อยู่บ้านด้วยเหรอเนี่ย…”

เหยาซูพยายามข่มไฟโทสะไว้ในใจ ยังรู้สึกขุ่นเคืองไม่น้อยแต่ทำได้เพียงพูดอย่างเรียบเฉย “ข้าไม่อยู่บ้านแล้วจะให้อยู่ที่ใดเล่า?”

เจิ้งอันหันไปมองหลินเหราแล้วมองไปทางเหยาซูอีกครั้ง มารู้ตัวอีกทีก็พบกับบรรยากาศที่ไม่ชอบมาพากล

ในบ้านนอกจากซานเป่าที่กำลังนอนหลับอยู่บนเตียงแล้ว เด็กทั้งสองคนก็พากันวิ่งเล่นในลานบ้าน เหลือเพียงแค่สองสามีภรรยาที่มีสีหน้าไร้อารมณ์เหมือนกันไม่มีผิด

เขาก่นด่าตัวเองในใจที่ไม่รู้จักเวล่ำเวลา ขณะที่กำลังคิดจะพูดเพื่อผ่อนคลายบรรยากาศนั้น ก็ได้ยินหลินเหราถามเขาว่า “มีธุระอะไร?”

เจิ้งอันกำลังคิดว่าหากพูดอย่างตรงไปตรงมา ทั้งสองคนคงไม่น่าจะทะเลาะเบาะแว้งกันหนักหนาหรอกกระมัง

เขาจึงเอ่ยปากพูดขึ้นว่า “ก็เพราะคุณหนูบุตรีเจ้าอาลักษณ์หลวงที่เราช่วยชีวิตมาผู้นั้นแหละ เรื่องมากยิ่งกว่าองค์หญิงเสียอีก… เตียงไม่นุ่มก็นอนไม่ได้ อาหารไม่ถูกปากก็ไม่กิน วุ่นวายมาทั้งวันแล้ว หัวหน้าผู้ตรวจการจึงสั่งให้ข้ามาย้ายเจ้ากลับไปช่วยสนับสนุนอีกแรง!”

หลินเหรายังไม่ทันได้เอ่ยปากกลับได้ยินเหยาซูที่อยู่ด้านข้างหัวเราะพลางพูดว่า “ช่วยคุณหนูตระกูลขุนนางเพียงผู้เดียว ทำราวกับช่วยทั้งบรรพบุรุษกลับมาด้วยเพียงนั้นแหละ? ทำไม อาเหรากลายเป็นกำลังสนับสนุนไปแล้วหรืออย่างไร?”

เมื่อเจิ้งอันเห็นเหยาซูพูดด้วยรอยยิ้ม จึงเห็นว่าทั้งสองคนไม่น่าจะขัดแย้งกันอีก จึงวางใจลงและพูดอย่างซื่อตรงว่า “ก็ไม่เชิง! เมื่อวานข้าเห็นคุณหนูตู้ท่านนั้นฟังแต่หลินเหราเพียงแค่ผู้เดียว เลยคิดว่าถ้าอาเหราไปช่วยโน้มน้าว…”

หลินเหราเดาความคิดของเหยาซูออกไม่มากก็น้อย และสังเกตเห็นสีหน้าไม่ชอบมาพากลของหญิงสาวนานแล้ว รู้ว่านางต้องอารมณ์ไม่ดีอย่างแน่นอน

“พอแล้ว” เขาขมวดคิ้วพร้อมกับตัดบทสนทนาของเจิ้งอันฉับพลัน “เหตุใดต้องฟังข้าเพียงผู้เดียวด้วย ข้ากับนางพูดกันเพียงไม่กี่คำเท่านั้น”

เจิ้งอันถึงกับสำลักเล็กน้อย พลางคิดในใจ ‘พูดกันไม่กี่คำ แต่คำพูดของเจ้าเพียงคำเดียว ชนะข้าที่พร่ำพูดมาทั้งวัน!’

เขาอยากจะเอ่ยปากพูดออกไป แต่ระหว่างนั้นกลับชำเลืองไปเห็นสีหน้าที่ดูเย็นยะเยือกของเหยาซู และเห็นหลินเหราที่มองไปยังเหยาซูตลอดเวลา ราวกับว่าอยากจะอธิบายบางอย่างกับนาง…

ในที่สุดเจิ้งอันก็ได้สติ ตระหนักได้ว่าตัวเองนั้นทำพลาดเสียแล้ว

บางครั้งความหึงหวงของสตรีก็มักจะไร้เหตุผลเช่นนี้ เจิ้งอันอยากจะเอาเข็มมาเย็บปากของตัวเองให้รู้แล้วรู้รอด หากแต่ก็ยังทำใจดีสู้เสือ หัวเราะแหบแห้งและอธิบายว่า “ฮ่า ๆ อาซูน้องข้า เจ้าอย่าฟังคำพูดไร้สาระของข้าเลย ข้าแค่มาเรียกสหายหลินกลับจวน ไปปรึกษาหารือเกี่ยวกับแผนการปราบโจร…”

เมื่อเห็นเขายิ่งอธิบายก็ยิ่งแย่ลง ประกอบกับสีหน้าของเหยาซูดูแย่ลงเรื่อย ๆ หลินเหราก็ไม่อยากได้ยินเจิ้งอันพูดอะไรอีก

เขาหันไปมองเหยาซูพลางเอ่ยหนักแน่นว่า “ข้ากับคุณหนูตู้ผู้นั้นไม่มีความสัมพันธ์อะไรต่อกัน”

ในที่สุดอารมณ์ของเหยาซูก็สงบลง สายตาที่มองไปยังหลินเหรานั้นกลับนิ่งสงบ

หญิงสาวเอ่ยปาก “ข้ารู้”

เช่นนั้นยิ่งทำให้หลินเหราร้อนใจ ขมวดคิ้วแน่นก่อนพูดด้วยระดับความเร็วยิ่งกว่าวันปกติ “เจ้าไม่เชื่อข้าหรือ?”

เหยาซูไม่พูดสิ่งใด พลางคิดในใจเงียบ ๆ ‘เชื่อท่านแล้วอย่างไร ไม่เชื่อท่านแล้วอย่างไรเล่า? วันนี้ท่านกับนางไม่มีอะไรกัน แล้ววันข้างหน้าความรู้สึกจะไม่ปะทุขึ้นมาพร้อมกันอย่างนั้นหรือ?’

ในนิยาย ช่วงแรกเริ่มท่านก็ดูเย็นชากับนางเช่นนี้แหละ แต่ต่อมากลับปกป้องกันทุกวิถีทาง จนอยากจะถวายชีวิตให้นางเสียอย่างนั้น

สำหรับคนภายนอกแล้ว เหยาซูดูเหมือนกำลังหึงคุณหนูตระกูลขุนนางที่ปรากฏตัวออกมาอย่างอธิบายไม่ได้ผู้นั้นจนทะเลาะกับหลินเหรา

แต่หลินเหราเข้าใจนิสัยของเหยาซูดี กระทั่งสังเกตเห็นอารมณ์ที่ไม่ชอบมาพากลของนาง

ชายหนุ่มขานเรียกนางอย่างเป็นกังวล “อาซู…”

[1] ยาจินฉวง คือยาขนานโบราณ มีฤทธิ์ในการห้ามเลือดบนบาดแผลที่เกิดจากของมีคม

สารจากผู้แปล

อาซูฟาดไหน้ำส้มแตกกลิ่นคลุ้งทั้งบ้านแล้ว ชายทึ่มทื่อสองคนนี้รู้ตัวกันได้สักทีสิ

ไหหม่า(海馬)

ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม [穿书后,我成了三个反派的娘]

ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม [穿书后,我成了三个反派的娘]

Status: Ongoing
เหยาซูเสียชีวิตเนื่องจากเครื่องบินตก ตื่นขึ้นมาอีกทีก็พบว่าตนเองได้มาอยู่ในร่างตัวละครหนึ่งในนิยายที่ตัวเองกำลังอ่าน!หญิงสาวเสียชีวิตจากอุบัติเหตุเครื่องบินตกและมาเกิดใหม่ในนิยายยุคโบราณที่ตนเองกำลังอ่าน หลังฟื้นขึ้นมาจึงพบว่าตนเองอยู่ในร่างของ เหยาซู มารดาของวายร้ายทั้งสามในเรื่อง กลายเป็นแม่ม่ายลูกติดโฉมสะคราญที่ผู้คนต่างชี้หน้าบอกว่าเป็นตัวซวยทำให้สามีต้องตาย เมื่อได้ทราบว่าชีวิตของลูก ๆ ต้องเผชิญกับการดูถูก นางจึงทนไม่ไหวเก็บข้าวของหอบลูกกลับบ้านเก่า เริ่มต้นชีวิตใหม่กับลูกและครอบครัวทางแม่ของตน ด้วยคิดว่าหากสั่งสอนลูกดี ๆ พวกเขาคงไม่กลายเป็นตัวร้าย จนกระทั่งวันหนึ่งสามีของนางได้กลับมา พวกเขาจึงได้ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขอีกครั้ง แต่แล้วนางก็นึกขึ้นมาได้ว่าตามนิยายต้นฉบับสามีของตนจะตกหลุมรักสตรีอื่น จึงคิดหาวิธีที่จะหย่าขาดกับเขาอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท