บทที่ 159 ยิ้มอย่างพอใจ
เหยาเฉาคว้าข้อมือของเด็กหนุ่มด้วยมือข้างเดียว ดึงเขาไปไว้ด้านหลัง จากนั้นก็ใช้ชุดแต่งงานอันหนักอึ้งซ่อนเขาไว้อย่างมิดชิด
เขาหันกลับไปถลึงตาใส่เด็กหนุ่มเล็กน้อยเป็นความหมายที่แฝงไปด้วยการตักเตือนอย่างชัดเจน
เสี่ยวเว่ยกลับไม่ได้คัดค้านแต่อย่างใด เขาคุกเข่าลงอย่างเงียบ ๆ ปลายจมูกคลอเคลียอยู่บนเส้นผมที่ปล่อยสยายลงมาของเหยาเฉา ทำให้เกิดความรู้สึกจั๊กจี้ไม่น้อย
วินาทีที่เหยาเฉาหันกลับมานั้น ประตูก็ถูกเปิดออก เขาถึงกลับเกร็งไปทั่วสรรพางค์กายเลยทีเดียว
โจรที่เฝ้าอยู่ตะโกนถามเสียงดัง “เมื่อครู่นี้เจ้าพูดหรือ?”
เหยาเฉาส่งเสียงกระแอมเบา ๆ ออกมาสองครั้ง มือที่ซ่อนอยู่ภายใต้แขนเสื้อทั้งกว้างทั้งหนาของชุดแต่งงานสีแดงยกขึ้นในระดับพอดีตัว ภายในมือกุมปิ่นอันแหลมคมไว้ พร้อมกับเอ่ยด้วยน้ำเสียงอันนุ่มนวลไม่สะทกสะท้านที่แตกต่างจากอารมณ์ในตอนนี้คนละขั้ว “ข้าเอง พอดีเสียงสวดมนต์อธิษฐานเมื่อครู่หนึ่งของข้าคงจะดังไปหน่อยจนรบกวนท่านวีรบุรุษทั้งสอง ต้องขออภัยด้วยจริง ๆ”
คนเฝ้าประตูทั้งสองคนไม่ได้มีบทบาทสำคัญอะไรในภูเขาเฮยหู่ พี่สามของพวกเขาจึงสั่งให้เฝ้าสตรีที่อยู่ในห้องนี้ไว้ให้ดี วันข้างหน้านางอาจกลายเป็น ‘พี่สะใภ้ใหญ่’ ของพวกเขาก็ได้ ดังนั้นจะล่วงเกินไม่ได้เด็ดขาด
เพียงแต่หญิงงามเช่นนี้ คงไม่มีทางตกถึงท้องพวกเขาสองคนเป็นแน่
ทั้งสองคนจึงไม่ได้หงุดหงิดใจอะไร เพียงแค่ตะโกนออกไปว่า “สวดมนต์?! ไม่รู้หรือว่าพี่รองของเราเกลียดคนที่ชอบบ่นพึมพำเป็นที่สุด? ขืนกล้าเสียงดังอีก ข้าจะบิดแขนเจ้าเสียตอนนี้แล้วโยนไปให้พี่รองฝั่งนั้น!”
อีกคนได้เอ่ยคำพูดที่ฟังดูลามกยิ่งกว่า “เข้าไปในห้องพี่รองแล้ว ดูซิว่าเจ้าจะปรนนิบัติได้กี่วัน….”
เหยาเฉาสัมผัสได้ถึงสายตาอันโหดเหี้ยมแผ่ขยายออกมาจากด้านหลังของตัวเอง ราวกับว่าวินาทีต่อจากนั้นเขาจะกระโดดออกมาสู้กับอีกฝ่ายอย่างไรอย่างนั้น เขาจึงรีบตอบกลับไปว่า “ข้าน้อยไม่กล้าออกเสียงแล้ว”
น้ำเสียงนั้นแฝงไปด้วยความกังวลอย่างมาก พลันคลายความสงสัยของทั้งสองคน
ครั้นเห็น ‘เจ้าสาว’ อยู่ในท่าทางเชื่อฟังแล้ว คนเฝ้าทั้งสองก็ไม่หาเรื่องอีก เพียงแค่ปิดประตูหมุนกายเดินออกไป จากนั้นก็เริ่มพูดคุยกันต่อขณะเฝ้าอยู่หน้าประตู
เมื่อเห็นอีกฝ่ายออกไป เหยาเฉาก็รีบหันกลับไปมอง กระทั่งเห็นเจ้าเด็กเหลือขอแสดงแววตาโหดร้ายอย่างที่คาดคิดไว้ ในมือถือมีดสั้นที่ชักออกมาจากฝักจนแน่น
เขาหมุนตัว และพูดเสียงเบาว่า “เอาล่ะ เก็บมีดได้แล้ว”
เสี่ยวเว่ยกัดฟันกรอด มือขวากลับบีบแรงทั้งหมด จนเส้นเลือดปูดโปนออกมา “ไอ้สวะพวกนี้!”
เหยาเฉากำลังจะก้มหน้าลง แต่ด้วยความจนปัญญากับน้ำหนักกวานที่มากเกินไปเสียจนเขาเกือบทรงตัวไม่ได้ จึงทำได้เพียงแค่โน้มกายลงไป และใช้มือซ้ายของตัวเองคว้ามือที่ถือมีดสั้นของเสี่ยวเว่ย จากนั้นก็พูดปลอบโยนเขาด้วยเสียงอ่อนโยนว่า “เป็นไอ้สวะจริง ๆ อีกเดี๋ยวพวกเขาก็ตายแล้ว”
เสี่ยวเว่ยเงยหน้าขึ้นและพูดด้วยโหดเหี้ยมว่า “ข้าจะไปฆ่าพวกเขาแทนเจ้า ส่วนไอ้คนที่แต่งกายด้วยชุดสีเทาผู้นั้น ข้าจะควักลูกตาของเขาออกมาให้สิ้น!”
เหยาเฉารู้ว่าที่เด็กหนุ่มกล่าวนั้นหมายถึงชายที่มีแผลเป็นเมื่อครู่ เกรงว่าสายตาเมื่อครู่ของอีกฝ่ายคงจะถูกเสี่ยวเว่ยเห็นเข้า เด็กหนุ่มผู้เคยได้รับความไม่เป็นธรรมเช่นนี้ย่อมอ่อนไหวกับเรื่องประเภทนี้เป็นธรรมดา
เขาเพียงตีไปบนมือที่จับแน่นข้างนั้นเบา ๆ และปลอบประโลมเด็กหนุ่มว่า “เอาสิ แต่แค่เจ้าคนเดียวจะสำเร็จหรือ?”
แต่ครั้นนึกถึงเหตุการณ์ในคุกใต้ดินของจวนผู้ตรวจการ ผู้คุ้มกันทั้งสองคนของหน่วยคุ้มกันฉางเฟิงที่ตนต้องไปไต่สวนเมื่อสองสามวันก่อน กลับถูกเสี่ยวเว่ยก่อกวนด้วยการสังหารทิ้ง เบาะแสที่น่าสงสัยสองสามแห่งล้วนถูกตัดทิ้งหมดสิ้น
เหยาเฉาพูดอย่างจนปัญญา “เจ้าควรแก้นิสัยนี้ได้แล้วนะ เอะอะก็ฆ่า เอะอะก็ควักลูกตา ไม่กลัวจะเก็บไปฝันกลางคืนบ้างหรือ? อีกอย่าง รูปแบบการแก้ไขปัญหาบนโลกใบนี้ก็มีมากมาย วิธีการไหนก็เทียบเท่ากับการฆ่าคนไม่ได้เลยหรือ? ฆ่าคนที่ไม่สมควรฆ่า เจ้าไม่เสียใจบ้างหรืออย่างไร?”
เมื่อครั้นอดีตในขณะที่เหยาเฉาช่วยดูแลอาการบาดเจ็บนั้น เสี่ยวเว่ยยังไม่สามารถเปล่งคำพูดได้ เหยาเฉาจึงพูดกับเขาอยู่ฝ่ายเดียว และเพราะอีกฝ่ายเป็นเด็กน้อยที่ตัวเองช่วยเหลือ เหยาเฉาจึงไม่เคยสร้างกำแพงป้องกันต่อเขา พูดจนน้ำไหลไฟดับโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว เสี่ยวเว่ยเองก็คุ้นชินแล้วจึงไม่เคยต่อต้านการชี้แนะของเขา
เมื่อเห็นเขาไม่พูดสิ่งใด เหยาเฉาจึงออกแรงบีบมืออีกฝ่าย “ปล่อยมีดซะ”
เสี่ยวเว่ยจึงคลายมือที่อุ่นและแห้งกร้านข้างนั้น กระทั่งเกิดเสียง ‘ควับ’ มีดสั้นที่แหลมคมวาดโค้งแหวกอากาศ จนปลายแหลมจี้ลงมาบนลำคอของเหยาเฉา
เหยาเฉาเลิกคิ้วสูง “จะใช้มีดสั้นที่ข้าให้เจ้าเล็งมาที่คอของข้าอย่างนั้นหรือ?”
หากเขาแต่งกายเป็นชาย ท่าทางเลิกคิ้วสูงเช่นนี้คงจะหล่อเหลาและองอาจมากทีเดียว
เพียงแต่ตอนนี้คิ้วคู่นั้นถูกเขาวาดเอง ทั้งยังเป็นวาดทรงบางและยาวของสตรีอีกด้วย ลักษณะท่าทางเช่นนี้เห็นแล้วก็ให้ความรู้สึกอ่อนหวานแทน
ทว่านิสัยเฉพาะตัวที่แสดงออกมาโดยเนื้อแท้นั้น ทำให้ไม่สามารถหลงใหลเคลิบเคลิ้มได้
เสี่ยวเว่ยแสยะปากยิ้มอย่างไม่อาจควบคุมได้ เผยให้เห็นเขี้ยวทั้งสองซี่ สายตาจับจ้องไปยังดวงตาดุจดอกท้อที่ดูเรียวขึ้นเล็กน้อยของเหยาเฉาอย่างไม่วางตา “เจ้าแต่งกายเป็นหญิงได้งดงามยิ่งนัก”
เหยาเฉาที่ดูมั่นใจ ก็เพิ่งนึกถึงสภาพตัวเองในตอนนี้ได้ จึงเริ่มรู้สึกเกลียดชังคำว่า ‘แต่งหญิง’ เข้ากระดูกดำ
เขาผลักมือขวาที่ไม่ได้ออกแรงโดยแท้จริงของเสี่ยวเว่ยออกไปด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก “เจ้ารีบไปเถอะ อย่าสร้างปัญหาให้ข้าอีกเลย เรื่องคราวที่แล้วข้ายังไม่ได้สะสางกับเจ้าเลยนะ”
เสี่ยวเว่ยยังคงกระทำเฉกเช่นเดิม เพียงแต่มีดสั้นที่ใช้ข่มขู่นั้นไม่รู้ว่าถูกเบี่ยงไปยังทิศทางไหนแล้ว แต่เขาก็ยังคงส่ายหน้าปฏิเสธอย่างดื้อรั้น “คงจะไม่ได้ เรื่องที่แล้วข้าจะรอเจ้ามาสะสางกับข้าก็แล้วกัน”
เหยาเฉาปวดรู้สึกปวดเศียรเวียนเกล้าขึ้นมาทันใด ทำได้แค่คิดหาทางไล่เขาออกไปโดยเร็วที่สุด “เจ้าว่ามาสิว่าจะสะสางอย่างไร? หรือเราจะสู้กัน คนแพ้จะต้องโดนทารุณดีไหม?”
ดวงตาคู่นั้นของเด็กหนุ่มเปล่งประกาย “เจ้าจะสู้กับข้าทั้งที่แต่งหญิงอยู่หรือ?”
สายตาของเขาฉายแววตื่นเต้นทันใด มีดในมือก็ไม่รู้ว่าเก็บไว้ที่ใด ก่อนจะบิดข้อไม้ข้อมือแสดงความรู้สึกร้อนอกร้อนใจจนแทบทนไม่ไหว
แม้จะบอกว่าชุดสีขาวเหมาะสมกับพี่รอง…แต่ชุดกระโปรงสีแดงที่เขาใส่ในตอนนี้กลับทำให้เกิดปรารถนาแรงกล้าที่ต้องการจะเอาชนะขึ้นมา
เด็กหนุ่มแยกไม่ออกว่าอะไรที่เรียกว่าปรารถนามุ่งมั่น อะไรที่เรียกว่าความคิด แค่คิดว่าจะล้มเหยาเฉาให้ได้ ทางที่ดีให้นอนลงอย่างว่าง่ายอ้อนวอนขอชีวิตจากเขาก็พอ
ชุดแต่งงานสีแดงขับให้ใบหน้างดงามดูขาวเนียนเด่นชัดมากขึ้น ถ้าเติมรอยหมัดสีแดง ๆ เข้าไปอีกสักสองสามรอยก็น่าจะงดงามสมบูรณ์ยิ่งนัก
เมื่อเห็นเสี่ยวเว่ยอยากจะลิ้มลอง ราวกับกำลังพิจารณาว่าควรจะอัดหมัดลงบนส่วนไหนของใบหน้าของเขานั้น เหยาเฉาจึงอดสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ไม่ได้ จากนั้นก็กลั้นหายใจชั่วครู่ ไม่รู้ว่าโกรธหรือเพราะถูกรัด
เขาปฏิเสธทันควัน “กระโปรงตัวนี้รัดข้าจนหายใจไม่ออก เคลื่อนไหวก็ลำบาก ไว้เปลี่ยนชุดแล้วสักสองสามวัน ข้าค่อยมาสู้กับเจ้าสักฉาดก็แล้วกัน”
สีหน้าของเสี่ยวเว่ยดูผิดหวังลงจนสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า จากนั้นก็ฝืนพูดว่า “ก็เปลี่ยนเสื้อผ้าเลยสิ”
ต่อจากนั้นเขาก็เอ่ยถามว่า “กระโปรงบนตัวเจ้าชุดนี้ ให้ข้าได้ไหมล่ะ?”
เหยาเฉาไม่เข้าใจ และยังคงเอ่ยปฏิเสธ “ชุดนี้ข้ายืมมา ให้เจ้าไม่ได้หรอก”
เด็กหนุ่มเบะปาก สีปากยังคงซีดเซียวเฉกเช่นเดิม แต่กลับตัดสินอยู่ในใจ ‘เจ้าไม่ให้ข้า คิดว่าข้าขโมยไม่ได้หรืออย่างไร?’
เหยาเฉาครุ่นคิดอย่างหนักใจ ทั้งยังนึกถึงหลินเหราและคนอื่น ๆ ในค่ายลับด้วย เขาไม่มีกะจิตกระใจจะรับมือกับเสี่ยวเว่ยจริง ๆ จึงทำได้แค่พูดกับเขาว่า “เจ้ากลับไปก่อนเถอะ รออีกสองสามวัน ให้เรื่องปราบโจรจบลง ข้าจะเจียดเวลามาพบ ถึงตอนนั้นจะสู้กันสักฉาดก็ดี ไปเที่ยวในเมืองก็ดี แล้วแต่เจ้าตัดสินใจเลย ดีหรือไม่?”
เสี่ยวเว่ยกำลังจะบอกว่าไม่ แต่ในสมองก็พลันเปลี่ยนความคิดทันที จึงพยักหน้า “เจ้าต้องให้ของอย่างหนึ่งกับข้า ข้าถึงจะไป”
เหยาเฉาปวดศีรษะอย่างมาก เขาโอ้อวดตนที่สามารถอ่านความคิดภายในใจของคนส่วนใหญ่ได้ แต่ต่อหน้าเสี่ยวเว่ยให้คิดแล้วคิดอีกก็ยังคิดไม่ออก ไม่รู้ว่าจะต้องรับมืออย่างไร
เขาทำได้แค่สัญญา “บนตัวข้ามีแต่ของใช้ของสตรี ไฉนเลยจะมีของให้เจ้า? รอออกจากค่ายลับก่อน ค่อยไปหาข้าที่บ้าน เจ้าอยากได้อะไรก็เอาไป”
เช่นนั้นเสี่ยวเว่ยจึงยิ้มอย่างพอใจ
จากนั้นเขาจึงเดินไปตรงหน้าต่าง แทรกตัวอย่างคล่องแคล่วราวกับแมวน้อย และออกไปโดยไม่ส่งเสียงแต่อย่างใด
กระทั่งเสี่ยวเว่ยจากไป เหยาเฉาจึงนั่งลงอย่างวางใจหน้าโต๊ะ เฝ้ารออย่างเงียบ ๆ
………………………………………………………………………………………………..
สารจากผู้แปล
เคมีระหว่างสองคนนี้มันดีจริงๆ ถ้าพี่เฉายังไม่มีลูกมีเมียก็จะลงเรือคู่นี้เต็มตัวแล้วนะคะ
ไหหม่า(海馬)