บทที่ 167 พี่รองใช่หรือไม่?
หลินเหราพาจางเหยียนไปสบทบกับเหล่าสหายที่แทรกซึมเข้ามาที่ห้องโถงด้านหน้า เสียงต่อสู้ที่ดังขึ้นด้านนอกห้องรับรองของพวกเขานั้นไม่เบาเลย ยิ่งไปกว่านั้นศพของหัวหน้าใหญ่ก็ยังนอนตายอยู่บนพื้น คาดว่าอีกไม่นานคนของค่ายลับจะต้องรู้กันทั่วทั้งค่ายอย่างแน่นอน
ตอนนี้สิ่งที่พวกเขาต้องทำก็คือใช้ช่วงเวลาที่โจรภูเขายังไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นนี้พยายามจับกุมทุกคนให้ได้ในคราวเดียว
เมื่อเห็นหลินเหรา เจิ้งอันก็พาทหารประจำหน่วยกลุ่มหนึ่งที่รอคำสั่งอยู่ตีนเขาเดินขึ้นหน้า “พี่ใหญ่หลิน ประตูค่ายอยู่ในกำมือของเราแล้ว ต่อไปยังต้องดำเนินการตามแผนการเดิมอีกหรือไม่?”
หลินเหรากวาดตาไปมองทหารที่อยู่ ณ ที่นี่แวบหนึ่ง เมื่อเห็นจำนวนคนพร้อมเพรียงจึงส่ายหน้าและพูดว่า “แผนมีการเปลี่ยนแปลง ตอนนี้การเคลื่อนไหวของเราได้ถูกเปิดเผยแล้ว มีแค่ต้องจัดการโดยเร็วที่สุด”
เขาพูดอย่างรวบรัดตัดตอนแต่น้ำเสียงยังคงเคร่งขรึม “ตอนนี้หัวหน้าใหญ่และหัวหน้ารองถูกฆ่าตายหมดแล้ว เจิ้งอันพานักธนูไป ถือโอกาสตอนที่ทุกคนในห้องโถงกลางด้านหน้ายังไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง ล้อมพวกเขาไว้”
“หลี่เฟิง จางหลานที่ให้ไปตรวจสอบค่ายลับเมื่อครู่ได้สำรวจแนวป้องกันอย่างแน่ชัดแล้วใช่หรือไม่”
ทั้งสองคนรีบพยักหน้าตอบรับ “เรียบร้อยขอรับ แนวป้องกันของโจรภูเขาในค่ายลับไม่ถือว่าเข้มงวดนักและยังมีการปฏิบัติตามกฎเกณฑ์อีกด้วย”
เมื่อหลินเหราได้ยินดังนั้นก็กำชับว่า “เซวียชาง เฉินจิ่นพาคนของเราตามพวกเขาไป หาโอกาสในเวลากลางคืนจัดการโจรภูเขาที่ลาดตระเวนอยู่ในค่ายซะ”
หลังจากออกคำสั่งเสร็จสิ้น ในสถานที่เกิดเหตุยังเหลือทหารจำนวนห้านายกลุ่มหนึ่ง ซึ่งหนึ่งในนั้นก็รวมจางเหยียนด้วย
หลินเหรามองไปทางเขาแวบหนึ่ง และพูดว่า “จางเหยียนและคนอื่น ๆ ตามข้าไปซุ่มโจมตีเส้นทางของภูเขาเฮยหู่และภูเขาไป๋หู่ ห้ามให้โจรภูเขากลุ่มนี้หนีไปได้โดยเด็ดขาด!”
จางเหยียนได้ยินดังนั้น ก็รู้สึกแสบจมูกทันใด จากนั้นก็ยกมือขึ้นมาทำความเคารพ “รับทราบ!”
วันนี้เขาทำผิดพลาดอย่างร้ายแรง แม้หลินเหราบอกว่าจะลงโทษเขาสถานหนักแต่กลับยอมพาเขาไปปฏิบัติภารกิจที่เสี่ยงอันตรายที่สุด จางเหยียนเกิดความสับสนขึ้นในใจอย่างมาก ทั้งกระทำผิด ทั้งละอายแก่ใจที่ทำให้พี่รองบาดเจ็บ แล้วก็ยังมีความรู้สึกซาบซึ้งจากความเชื่อใจที่ไม่อาจเก็บงำไว้ได้ ทุกความรู้สึกที่พันกันยุ่งเหยิงอยู่ในทรวงอกสุดท้ายก็หลอมละลายกลายเป็นความศรัทธาที่มั่นคง
ครั้งนี้แม้ว่าเขาจะต้องเอาชีวิตออกไปเสี่ยง ก็จะไม่มีวันทำให้เสียหน้าโดยเด็ดขาด!
…..
ด้านนี้หลินเหราได้พาเหล่าทหารประจำหน่วยเข้าไปอย่างเป็นระเบียบแบบแผน อีกด้านหนึ่ง เสี่ยวเว่ยพาเหยาเฉาหลบ ๆ ซ่อน ๆ อยู่พักใหญ่ ในที่สุดก็เห็นประตูใหญ่ของภูเขาเฮยหู่
ครั้นเห็นว่าจะได้ออกจากค่ายแล้ว เหยาเฉากลับไม่ยอมไป
เสี่ยวเว่ยพยายามโน้มน้าวอยู่นานก็ไม่เป็นผล ในที่สุดก็ยิ่งร้อนใจเริ่มแสดงอารมณ์ฉุนเฉียว “เหยาเฉา ท่านจะทำอะไร?! เมื่อครู่ต่อหน้าคนภายนอกเจ้าตกปากรับคำดิบดี บอกว่าจะลงเขา เหตุใดตอนนี้กลับเสียใจกันเล่า?”
เมื่อเห็นเด็กหนุ่มโกรธจนหน้าดำหน้าแดง เหยาเฉาจึงทำได้แค่ปลอบโยนเขา “ข้าไม่ได้เสียใจ เจ้าอย่าเพิ่งร้อนใจไปก่อนสิ”
เดิมทีเสี่ยวเว่ยอยากจะกระชากแขนของเขาด้วยซ้ำแต่เมื่อเห็นเขาไม่ยอมไป จึงสะบัดมือทิ้งด้วยความโกรธ จากนั้นก็พูดกับเขาอย่างโกรธเกรี้ยว “ไม่ได้เสียใจแล้วหมายความว่าอย่างไร?”
ชุดแต่งงานสีแดงฝ่าทุกสถานการณ์จนเลอะทั้งโคลนทั้งเลือด และยังขาดรุ่งริ่ง มีสภาพจนตรอกอย่างเห็นได้ชัด เมื่อมาอยู่บนตัวของเหยาเฉากลับทำให้มองข้ามสิ่งเหล่านั้นไปโดยจิตใต้สำนึก ดึงความรู้สึกให้สนใจเพียงแค่นิสัยส่วนตัวของเจ้าของเท่านั้น
เขาพูดอย่างอ่อนโยน “พวกของอาเหรามีจำนวนไม่เท่าใด การทิ้งพวกเขาไว้บนภูเขาเช่นนี้ทำให้ข้าไม่วางใจ ยิ่งไปกว่านั้นบาดแผลข้าก็ไม่มีเลือดไหลแล้ว ไม่เชื่อเจ้าดูสิ?”
เสี่ยวเว่ยยิ้มอย่างเย็นชา “ท่านบอกว่าไม่มีเลือดไหลแล้วก็ไม่มีอย่างนั้นหรือ? เช่นนั้นแกะให้ข้าดูหน่อยสิ?”
ไม่รู้เป็นเพราะการก่อกวนด้วยจิตใต้สำนึก หรือเพราะความสามารถของเหยาเฉากันแน่ เห็นได้ชัดว่าตอนที่เขาแต่งกายเป็นหญิง ครั้นอยู่เบื้องหน้าโจรนั้นคนใกล้ตัวต่างก็รู้สึกว่าเขาควรเป็นสตรี บัดนี้กระโปรงก็ยังเป็นกระโปรงตัวนั้น การแต่งหน้าก็ยังแต่งหน้าเฉกเช่นเดิม เพียงเปลี่ยนแค่ท่วงท่าและสุ้มเสียงเท่านั้น ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลไม่ใกล้เคียงกับกลิ่นอายความเป็นสตรีเลยแม้แต่น้อย
เขายิ้มและเผชิญหน้ากับใบหน้าที่เต็มไปด้วยโทสะของเสี่ยวเว่ย จากนั้นก็พูดอย่างอดทนว่า “สภาพร่างกายของข้า ข้าย่อมรู้ชัดเจนที่สุด เจ้ามีอะไรที่ไม่วางใจเล่า?”
เมื่อพูดประโยคนี้จบ ไม่รู้ว่าไปจี้จุดไหนของเด็กหนุ่มเข้า เขาเหมือนกับระเบิดออกมาอีกครั้ง เริ่มแสดงท่าทางกระฟัดกระเฟียดออกมา “ข้าไม่วางใจ? ข้าเนี่ยนะไม่วางใจ? เห็นได้ชัดว่าเป็นท่าน! หลินเหราพาคนไปมากมายเพียงนั้น ทักษะการต่อสู้ของเขาก็ดี อย่างไรเสียก็แข็งแกร่งกว่าท่านที่บาดเจ็บตอนนี้ ถึงท่านจะไม่วางใจ แต่ควรอดทนอย่างว่าง่ายเพื่อข้า! กลับไปหาหมอก่อนแล้วค่อยว่ากัน!”
ทุกครั้งที่ทั้งสองคนมีเรื่องขัดแย้งกัน เหยาเฉามักจะพูดด้วยเหตุผลอย่างใจเย็น ต่อให้โกรธแค่ไหน เสี่ยวเว่ยจะช่วยระบายเสมอและมันก็หายไป
เพียงแต่ครั้งนี้ มีแค่ต้องถอยหลังหนึ่งก้าวเท่านั้น จากนั้นก็ขอปรึกษาเด็กหนุ่มดี ๆ “เป็นเช่นนี้แล้วอย่างไร? ข้าแค่อยากเฝ้าสังเกตการณ์อยู่บนภูเขา เราซ่อนตัวให้ดีรอให้ทุกอย่างปลอดภัยก็พอ หากอาเหราจัดการเรื่องในนั้นเรียบร้อยแล้ว ข้าจะลงจากเขาทันที”
ใครจะไปคาดคิดว่าเสี่ยวเว่ยจะไม่ยอมถอย “ไม่ได้! ต้องลงภูเขาตอนนี้!”
ในระหว่างที่ทั้งสองคนกำลังทะเลาะเบาะแว้งกันนั้น คนที่เฝ้าอยู่ในค่ายลับหน้าประตูหลักก็สังเกตเห็นได้จากที่ไกล ๆ
เพียงแต่ตอนนี้เป็นเวลากลางคืนและมืดมากเกินไป จึงมองเห็นไม่ชัดนัก คนที่เฝ้ายามขยิบตาให้คนข้างกาย ส่งสัญญาณให้คนผู้นั้นเข้าไปดู
ในตอนที่คนผู้นั้นเดินมาตรงหน้าของพวกเขาสองคนอย่างเงียบ ๆ แต่ยังมองไม่ชัดดีนั้น อีกฝ่ายได้ถูกเสี่ยวเว่ยพบเสียก่อน
เสี่ยวเว่ยปกป้องเหยาเฉาไว้ด้านหลัง จากนั้นก็ถือกระบี่ที่ไม่รู้ว่าชักออกมาตอนไหนไว้ในมือแน่น ดวงตาคู่นั้นจ้องเขม็งไปยังผู้มาเยือน และเอ่ยถามเสียงเย็นชาว่า “ใครกัน?”
เขาคาดคะเนได้ในทันทีว่าระยะห่างระหว่างตัวเองกับอีกฝ่าย และสภาพร่างกายของคนผู้นั้น คิดว่าตัวเองไม่มีทางเอาชนะได้ภายใต้สถานการณ์ที่ประชิดตัว จึงพูดเสียงต่ำไปยังคนด้านหลังว่า “เดี๋ยวข้าจะเข้าไปจัดการเขา ท่านจงหมุนตัวและวิ่งไปสุดชีวิต ห้ามหันกลับมา และไม่ใช่ไปหาหลินเหรานะ เพราะถ้าเป็นงั้นข้าจะไม่สนใจท่านอีก”
เมื่อเห็นเหยาเฉาไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง เสี่ยวเว่ยจึงหันกลับไปมองเขาแวบหนึ่ง และพูดอย่างขุ่นเคืองว่า “มัวยืนนิ่งอยู่ไย? บอกให้ท่านรีบวิ่งไป ไม่ได้ยินหรือ?”
เหยาเฉาเข้าใจแผนการของเสี่ยวเว่ย เขาคอแห้งไปชั่วขณะแม้แต่จะพูดก็พูดไม่ออก
ระหว่างทางเมื่อครู่นั้น เขาเห็นว่าการเคลื่อนไหวของเสี่ยวเว่ยไม่ได้ว่องไวมากขนาดนั้นแล้ว ร่างกายเหมือนจะได้รับบาดเจ็บเช่นกัน ถามอย่างไรเขาก็คงไม่ยอมพูดออกมา
ตอนนี้บอกให้เขาวิ่งหนีไป แล้วเสี่ยวเว่ยคนเดียวจะรับมือได้อย่างไร?
เขาคิดมาตลอดว่าเสี่ยวเว่ยเหมือนเด็กเหลือขอคนหนึ่ง แม้ว่าจะถูกเลี้ยงมาจนโตแต่กลับไม่สามารถเชื่อใจใครได้โดยสมบูรณ์ ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงการพาตัวเองไปเสี่ยงเพื่อช่วยผู้อื่น
เหยาเฉารู้สึกพูดไม่ออกอยู่ในใจ ทำได้แค่ถามเขาว่า “แล้วเจ้าเล่า?”
เด็กหนุ่มหันหน้ากลับไปแล้ว สายตาจับจ้องที่ผู้ที่กำลังหยั่งเชิงเข้ามาใกล้คนนั้น จากนั้นก็พูดกับเหยาเฉาเสียงต่ำว่า “รอให้ข้าจัดการเขาก่อนแล้วจะไปตามหาเจ้า!”
จัดการอีกฝ่ายได้หรือไม่นั้นในใจของเสี่ยวเว่ยก็ไม่แน่ใจนัก แต่อย่างน้อยก็เกลี้ยกล่อมให้เหยาเฉาหนีไปได้ ไม่เช่นนั้นด้วยนิสัยจุกจิกจู้จี้ของเขาแล้ว คงไม่มีวันยอมทิ้งตนแล้วหนีไปคนเดียวเป็นแน่
ใครจะไปคาดคิดละว่าชายฉกรรจ์ที่อยู่ตรงหน้ากลับเปล่งเสียงเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่คล้ายกับลังเลใจว่า “พี่รองใช่หรือไม่?”
………………………………………………………………………………………………..
สารจากผู้แปล
มิตรภาพเรือผีนี้มันอร่อยจริง ๆ มีความห่วงกันไปห่วงกันมา
ใครมาอีกล่ะนั่น?
ไหหม่า(海馬)