บทที่ 202 เขายังคิดว่าเด็กผู้หญิงนั้นดีกว่า
เหยาซูจำได้ขึ้นใจ
นายอำเภอเหยาผู้มักในกามนารี เคยมีความคิดที่ไม่ดีต่อนางในตอนที่พบกันครั้งแรก
วันนั้นเหยาซูและหลินเหราได้เดินทางเข้าเมือง นางถูกคนชิงกระเป๋าเงิน หลินเหราจึงไล่ตามหัวขโมยไป หญิงสาวนั่งรอเขาอยู่ในร้านน้ำชา แต่กลับถูกนายอำเภอเหยาผู้นี้แสดงอาการลวนลามอยู่พักใหญ่
หลินเหรากลับมาเห็นภาพนี้พอดีจึงโกรธเลือดขึ้นหน้าคว้าเศษกระเบื้องหมายแทงคอนายอำเภอเหยา
หากไม่ใช่เพราะตระหนักได้ว่าไม่ควรฆ่าคนริมทาง เกรงว่าเศษกระเบื้องนั้นคงตัดเส้นเลือดใหญ่บนคอของนายอำเภอเหยาไปแล้ว
หญิงสาวพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “ครั้งนั้นท่านข่มขู่เขาจนเป็นลมไปเลยไม่ใช่หรือ? ต่อมาก็ได้ยินว่าเขาถูกแบกไปยังจวนตรวจการ …. เหตุการณ์จริง ๆ ในวันนั้นจะเป็นเช่นนี้หรือไม่นั้น ข้าก็ลืมไปบ้างแล้ว”
หลินเหราพยักหน้าเล็กน้อย โดยไม่พูดสิ่งใด จากนั้นก็มองไปยังเหยาซูแวบหนึ่ง
ไม่รู้ว่าเพราะทั้งสองคนได้รับการปลูกฝังจนเข้าใจกันไม่น้อยหรืออย่างไร สายตานี้ดูเหมือนจะทำให้เหยาซูจะเดาบางอย่างได้ “หรือว่าท่านทำอะไรกับเขาหลังจากนั้น?”
หลินเหราตอบ ‘อื้อ’ คำเดียว และพูดเสริมว่า “ไม่เพียงแต่ข้า… เมื่อพี่รองรับรู้เรื่องนี้ เขาก็รู้สึกโมโหเช่นเดียวกัน”
เหยาซูมองเข้าไปดวงตาของเขาด้วยสายตาที่ไม่อยากจะเชื่อ “พวกท่านสองคนร่วมมือกันจัดการนายอำเภอเหยางั้นหรือ?!”
หลินเหราส่ายหน้า “ไม่ได้ร่วมมือ … ข้าแค่คลุมหน้าเขา แล้วทุบตีฉากหนึ่ง ส่วนพี่รองก็น่าจะว่าจ้างคนริมถนนแถวนั้น”
ครั้นเชื่อมโยงกับเรื่องที่หลินเหราถามถึงการหย่าร้างของเจี่ยงฉีและนายอำเภอเหยากับตน วิธีการหนึ่งก็ค่อย ๆ ก่อตัวเป็นรูปเป็นร่างในสมองของเหยาซูและค่อย ๆ ปะติดปะต่อเป็นความจริงของเรื่องราว “ทุบตีฉากหนึ่ง….จนทุบตีไม่ได้อีกหรือ? ”
ครั้นนางเห็นหลินเหราไม่โต้แย้งจึงพูดต่อว่า “คนที่พี่รองว่าจ้างจากริมถนนนั้น คือหญิงชาวบ้านที่ถูกเขาชิงตัวไปใช่หรือไม่?”
หลินเหราไม่ได้ส่งเสียงใด ๆ
เหยาซูนำเรื่องราวทั้งหมดมาปะติดปะต่อกัน จนกระทั่งชัดเจนแจ่มแจ้งในทันใด
มิน่าล่ะอยู่ดี ๆ ก็มีเรื่องอื้อฉาวไร้มโนธรรมของนายอำเภอเหยาแพร่งพรายออกมา หลินเหรามักจะกระทำรุนแรงเสมอ ไม่เคยออมมือจึงทำลายเขาในชั่วพริบตาเดียว…
ต่อให้นายอำเภอเหยาจะมักมากในกามเพียงไหน ก็ไม่มีทางทำเรื่องฉุดหญิงสาวข้างถนนแน่นอน ถ้า ‘หญิงชาวบ้าน’ คนนี้คือคนที่พี่รองว่าจ้าง เช่นนั้นก็ชัดเจนแล้ว…
ในใจของนางรู้สึกสับสนวุ่นวายไปชั่วขณะ ไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไร
หลินเหรามองผู้เป็นภรรยาอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยถามด้วยเสียงทุ้มต่ำว่า “อาซู ข้าและพี่รองไม่อยากให้เจ้ารู้เพราะคิดว่าไม่ใช่สิ่งที่จำเป็น”
เหยาซูยังคงไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องจริง จึงพยายามครุ่นคิดก่อนพูดกับหลินเหราว่า “พวกท่านสองคนร่วมมือกันกระทำความผิด แต่กลับทำให้พี่เจี่ยงตัดสินใจที่จะหลุดพ้นอย่างเด็ดขาดได้”
“เจ้าจะไม่โทษที่ข้าไม่บอกเจ้าหรือ?” เขาถาม
เหยาซูถลึงตาคู่งาม รูม่านตาภายในนัยน์ตาดุจลูกท้อที่ค่อนข้างอ่อนไหวง่ายคู่นั้นได้หดลง “ต้องโทษท่านแน่นอน! ท่านไปหาเรื่องเขาเช่นนั้น ไม่กลัวผู้อื่นเห็นหรือไร? ถึงตอนนั้นเกิดแก้ไขไม่ได้ขึ้นมา จะกลายเป็นว่าหาเหาใส่หัวเลยเชียว!”
สุดท้าย นางแค่เป็นห่วงความปลอดภัยของเขา
มุมปากของหลินเหรากระตุกยิ้มเล็กน้อย ไม่เอื้อนเอ่ยสิ่งใด
แต่เหยาซูกลับไม่รู้ว่าเหตุใดถึงได้รู้สึกว่านายอำเภอเหยาผู้นั้นช่างน่าสงสารยิ่งนัก
ทว่ายามนึกถึงเจี่ยงฉีที่ต้องกลั้นหยาดน้ำตาที่เอ่อรื้นขึ้น ความสงสารที่แสนเบาบางนั้นก็แปรเปลี่ยนเป็นโหดร้ายยิ่งกว่าเดิมฉับพลัน
หญิงสาวพูดกับหลินเหราว่า “อย่าว่าแต่ท่านกับพี่รองอยากจะลงโทษเขาเลย แม้แต่พี่เจี่ยงและข้าก็ยังอยากจะให้เขาซวยซ้ำซวยซ้อนไปตลอดทั้งชาติ! เพียงแต่เขาคือพ่อผู้ให้กำเนิดของเถิงเอ๋อ ตระกูลเจี่ยงเกรงว่าเรื่องอื้อฉาวของเขาจะแพร่งพรายจนกระทบต่ออนาคตของเถิงเอ๋อ ข้าจึงรับปากพี่เจี่ยงว่าจะช่วยนาง ท่านมีหนทางอื่นบ้างหรือไม่?”
หลินเหราเพิ่งเคยได้ยินเหยาซูพูดในทำนองอยากจัดการสั่งสอนผู้อื่นเป็นครั้งแรก
ดูเหมือนสีหน้าของนางจะเปล่งประกาย แน่วแน่และเด็ดขาด แม้แต่ความโกรธก็ล้วนแตกต่างจากผู้อื่น
เขาเสนอความคิดเห็นออกมา “ตอนนี้เขาทำตัวไร้มนุษยธรรม ทั้งยังมีอนุภรรยากลุ่มใหญ่ในบ้าน ไม่ช้าก็เร็วจะต้องเกิดปัญหาแน่ ถ้าไม่กระทบต่อเถิงเอ๋อ สู้ให้เขาหายสาบสูญไปเสียจะดีกว่า”
“หายสาบสูญโดยตรง” ที่พูดออกมานี้ ได้สร้างความตื่นตระหนกให้เหยาซูอย่างมาก “เช่นนี้ เช่นนี้มันไม่ดีกระมัง?”
นางเกิดมาในสังคมที่ปกครองด้วยกฎหมาย ความคิดที่ฝังรากลึกอยู่ในสมองไม่ได้รุนแรงนัก แต่จะเน้นใช้กฎเกณฑ์และการจัดระบบระเบียบมาลงโทษผู้อื่น
แต่หลินเหรานั้นแตกต่าง เขาเป็นคนหัวโบราณโดยกำเนิด ในยุคสมัยนี้วีรชนสังหารคนชั่ว กลายเป็นพฤติกรรมที่ผู้อื่นสรรเสริญและยกย่อง
ฆ่าคนตาย เดิมทีในสายตาของเขาไม่ถือว่าร้ายแรงนัก
หลินเหราไม่อาจเข้าใจความคิดของเหยาซูได้ “มีวิธีการใดบ้างที่ดีกว่าการหายสาบสูญ? ให้ฮูหยินเจี่ยงได้ระบายโทสะ โดยที่เถิงเอ๋อจะไม่เข้ามาเกี่ยวข้อง”
เหยาซูขมวดคิ้วก่อนจะพูดด้วยความลำบากใจ “ใช่ ใช่ ใช่ ท่านพูดถูก….แต่การหายสาบสูญนี้ ไม่จำเป็นต้องเล่นถึงตายก็ได้นี่? หากฆ่าคนได้ตามใจ เราจะกลายเป็นตัวอะไรล่ะ?”
ต่อมาหลินเหราก็เข้าใจความลังเลของเหยาซู “ไม่ได้บอกว่าฆ่าทิ้งแล้วจะหายสาบสูญเสียหน่อย หากปล่อยเขาไว้ในเมืองซีเป่ยตามลำพัง โดยไม่มีเงินติดตัวสักแดงเดียว เจ้าคิดว่าเขาจะปรากฏในเมืองชิงถงได้อีกหรือ?”
หลินเหราพูดเช่นนี้ เหยาซูก็กระจ่างชัดทันใด “นี่เป็นความคิดที่ดี!”
ความจริงแล้วความคิดของเขา ดูเหมือนจะไม่ได้มีเจตนาฆ่าคนโดยตรง ทว่ามันก็ไม่ต่างกันมากนัก
หากคนนอกพื้นที่ไม่มีเงินติดตัวสักเหรียญเดียว ร่างกายก็ยังป่วยออด ๆ แอด ๆ กอปรกับเมืองซีเป่ยนั้นมีประเพณีพื้นบ้านที่เข้มงวดและมีอากาศที่เย็นยะเยือกในฤดูหนาว การจะใช้ชีวิตให้ผ่านไปแต่ละวันค่อนข้างลำบาก
หลินเหราคิดว่าสภาพของนายอำเภอเหยาผู้นั้น เกรงว่าคงจะมีชีวิตอยู่ได้ไม่พ้นฤดูหนาวแน่
แต่เรื่องนี้เขาไม่จำเป็นต้องบอกเหยาซู
หญิงสาวยังคงครุ่นคิดแต่ปากกลับพูดว่า “ซีเป่ยไกลขนาดนั้น จะกลับมาก็ไม่ใช่เรื่องง่าย หรือหากกลับมาได้ แต่เขาก็ไร้ซึ่งพ่อแม่ แม้แต่ลูกชายสักคนในตอนนี้ก็ไม่มี คงจะไม่มีใครเชื่อว่าเขาเป็นพ่อผู้ให้กำเนิดเถิงเอ๋อ”
หลินเหรานั่งลงอีกด้าน พลางพยักหน้าเป็นครั้งคราว
กระทั่งได้ยินเหยาซูถามว่า “ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดในตอนนี้ คือจะส่งตัวเขาไปซีเป่ยอย่างไร…”
หลินเหราจึงเอ่ยปาก “เรื่องเล็ก ปล่อยไว้เป็นหน้าที่ข้า”
จนถึงตอนนี้ความคิดของเหยาซูยังคงจำกัดอยู่ในสังคมยุคสมัยใหม่ สำหรับนางแล้วการลักพาตัวคือเรื่องที่น่ากลัวที่สุด ซึ่งในความเป็นจริงในสายตาของหลินเหราและผู้อื่นล้วนแต่เป็นเรื่องที่ธรรมดาสามัญ
หากถูกฝ่ายขุนนางล่วงรู้เข้า เขาก็มีวิธีการรับมือ
เหยาซูเชื่อใจหลินเหรา แต่เรื่องนี้มันเกี่ยวข้องกับเจี่ยงฉีซึ่งนางคงไม่สามารถกระทำโดยพลการได้ “พรุ่งนี้รอให้พี่เจี่ยงมาก่อน ข้าจะถามความคิดเห็นนาง”
หลินเหราไม่ได้แสดงความคิดเห็นใด
เรื่องที่เขาทำ เดิมทีก็เพื่อเหยาซู
แม้ว่าตอนนี้นายอำเภอเหยาจะถูกเขาจัดการ แต่หากคนผู้นั้นอยู่ในมณฑลต่อไป ไม่แน่ว่าสักวันอาจพบเจอเหยาซูโดยบังเอิญ ถ้าอดทนแก้ไขปัญหานี้ได้มันก็คงไม่มีเรื่องใดที่ดีไปกว่านี้แล้ว
ขอแค่เหยาซูเห็นด้วย เขาก็พร้อมตีหัวนายอำเภอเหยาให้สลบและพาตัวไปได้ทุกเมื่อ
ทั้งสองกำลังพูดคุยถกเถียงเรื่องที่ไม่เหมาะที่จะให้เด็กๆ มาได้ยิน ขณะที่อาจื้อและเหยาเอ้อหลางอาบน้ำเสร็จและเข้าห้องมาพอดี
เหยาเอ้อหลางเห็นเหยาซูมีสีหน้าเคร่งเครียด จึงมองนางแล้วค่อยมองหลินเหราอีกครั้ง จากนั้นก็เอ่ยปากว่า “วันนี้ท่านอาเขยพาข้ากับอาจื้อไปขี่ม้าด้วยขอรับ เหนื่อยมาก…”
เขาคิดว่าท่านอาและท่านอาเขยจะต้องทะเลาะกันแน่ จึงพยายามไกล่เกลี่ยทั้งสองคนแต่กลับเห็นสีหน้าของเหยาซู “อือ? พรุ่งนี้ไม่ไปขี่ม้าแล้วหรือ?”
“ไป!!” เสียงของเหยาเอ้อหลางดังลั่นโดยไม่สนใจผู้อื่น “ต้องไป ต้องไป! เช่นนั้นท่านอาเขยพักผ่อนเยอะ ๆ นะขอรับ!”
อาจื้อที่อยู่ด้านข้างได้แต่เวทนา ไม่อยากจะสนใจพี่คนรองที่โง่เขลาผู้นี้ไปชั่วขณะ
เหยาซูตื่นตกใจกับเสียงตะโกนของเขา เรื่องเมื่อครู่จึงถูกโยนทิ้งไปด้านหลังและพูดกับเหยาเอ้อหลางว่า “เด็กคนนี้นี่ พูดดี ๆ ไม่ได้หรืออย่างไร! อาตกใจหัวใจแทบวาย!”
เหยาเอ้อหลางพูดติดตลกพักใหญ่ พาให้เหยาซูปวดหัวระบม นางจึงพูดขอร้องกลาย ๆ “พวกเจ้าไปขี่ม้ากันได้ตามสบาย ข้าจะไม่ยุ่ง….รีบกินข้าว เอ้อหลางกินเสร็จก็กลับบ้านไปได้แล้ว! ประเดี๋ยวพ่อเจ้าก็ฉุนเฉียวขึ้นมาอีก”
ครั้นเห็นเหยาซูถอนหายใจด้วยความโล่งอก เป้าหมายของเหยาเอ้อหลางก็ประสบความสำเร็จ เขาไม่ได้พัวพันผู้เป็นอาอีกและพูดอย่างว่าง่าย “ข้าจะไปช่วยทำอาหาร!”
เขาและอาจื้อพากันกระโดดเล่นเหมือนไก่บินเตลิดหมาวิ่งพล่าน พร้อมกับเรียกอาซือไปสร้างความปั่นป่วนในห้องครัว
เหยาซูจนปัญญา ลืมเรื่องเมื่อครู่ไปสนิทใจ กระทั่งเห็นหลินเหราทอดถอนใจ “อย่าว่าอาจื้อที่ไม่เชื่อฟังเลย ดูอย่างเอ้อหลางเด็กจอมซนคนนี้ ท่านไม่รู้สึกว่าลูกชายของตัวเองว่าง่ายบ้างหรือไง?”
หลินเหราส่งเสียงหัวเราะออกมาเบา โดยไม่พูดสิ่งใด
อื้อ อย่างไรเขาก็ยังคิดว่าเด็กผู้หญิงนั้นดีกว่า
…………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
เห็นแผนอุ้มนายอำเภอเหยาของพี่เหราแล้วก็อำมหิตใช่เล่นเหมือนกันนะคะเนี่ย
บ้านนี้เป็นทาสลูกสาวแล้วหรือเปล่านะ
ไหหม่า(海馬)