ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม [穿书后,我成了三个反派的娘] – บทที่ 211 ไม่ได้ดูเย็นชาเหมือนเมื่อครั้งอดีต

ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม [穿书后,我成了三个反派的娘]

บทที่ 211 ไม่ได้ดูเย็นชาเหมือนเมื่อครั้งอดีต

หลินเหรามีโอกาสได้อยู่กับเหยาซูเช่นนี้น้อยครั้ง นางมักจะทำเรื่องราวต่าง ๆ อย่างจริงจัง ส่วนเขาก็มองนางอยู่เงียบ ๆ

บางทีความอ่อนโยนที่แสดงออกทางสีหน้าของเหยาซูก็แผ่ขยายมาถึงเขาอย่างช้า ๆ หลินเหราสัมผัสได้ถึงความสบายใจอันเงียบสงบบางอย่างจากการเคลื่อนไหวของนาง

กระทั่งเหยาซูปักด้ายสีน้ำตาลทั้งหมดเสร็จสิ้น และหยิบกรรไกรมาตัดด้ายให้สั้นลง จึงพบว่าหลินเหรายังจ้องเขม็งมาทางนางไม่ละสายตา

หญิงสาวจึงอดพูดด้วยรอยยิ้มไม่ได้ “จ้องนานเพียงนี้ ทำเป็นแล้วใช่หรือไม่เล่า?”

หลินเหรามองไปยังนิ้วมือเรียวยาวและเนียนละเอียดที่กำลังมัดด้ายเส้นนั้นให้เป็นปมอย่างชำนาญ กระทั่งหยิบเข็มเล่มหนึ่งขึ้นมาอีกครั้ง หาด้ายสีทองที่ตนอยากได้ สอดด้ายเข้ารูเข็มอย่างคล่องแคล่ว และมัดปมอีกครั้ง

การเคลื่อนไหวของนางคล่องแคล่วและชำนาญมาก จึงมองได้อย่างเพลิดเพลินสบายตา

หลินเหราส่ายหน้าและพูดอย่างจริงจังว่า “สอดด้ายเข้ารูเข็มแล้วปักลงบนตำแหน่งที่เหมาะสม เกรงว่าข้าคงทำเป็นครึ่งวัน ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงการปักตามลวดลายที่มีความหมายบนผ้าเลย…อาซู ที่เจ้าปักอยู่คือปี่เซียะใช่หรือไม่?”

เหยาซูตอบ “อื้อ” ด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา แล้วปักเข็มในมือลงบนผ้าขึ้นลงหลายครั้ง ไม่นานเค้าโครงรูปดวงตาสีทองของปี่เซียะก็ได้ปรากฏขึ้นมาบนผ้าปักนั้น

หลินเหราเห็นนางใช้แค่ด้ายสีทองปักขอบรอบดวงตาข้างหนึ่ง จากนั้นก็เปลี่ยนด้ายเป็นสีทองที่เข้มขึ้น หลังจากปักสีทองเข้มแล้วก็เปลี่ยนด้ายเป็นสีดำต่อ

ไม่นาน รูม่านตาสีดำสนิทของปี่เซียะก็ถูกปักจนเสร็จ ดวงตาข้างนี้ถูกปักเสร็จสิ้นสมบูรณ์

หลินเหราอดพูดไม่ได้ “อาซู เจ้าปักเหมือนมากจริง ๆ”

เหยาซูหลุดหัวเราะออกมาหนึ่งครั้ง “จะพูดว่าเหมือนไม่ได้หรอก ปีเซียะน่ะใคร ๆ ก็ไม่เคยเห็นตัวจริงทั้งนั้น… เพียงแต่เป็นจินตนาการและความเข้าใจของตัวเอง จึงปักมันตามรูปร่างที่อยู่ในใจออกมาเท่านั้น”

หลินเหราอ่านหนังสือเขียนตัวอักษรจนอ่านออกเขียนได้ แต่ก็ยังไม่เคยวาดภาพเลยสักครั้ง ครั้นเห็นฝีมือในการเย็บปักถักร้อยเช่นนี้ของเหยาซูจึงอดถามไม่ได้ “การปักผ้าและการวาดภาพ มันแตกต่างกันไม่มากใช่หรือไม่?”

คนสมัยนี้รักการวาดภาพด้วยหมึกดำมาก แต่กลับใช้สีสันในการวาดภาพน้อยนัก

เหยาซูครุ่นคิดและพูดว่า “จะพูดเช่นนี้ก็ได้ ถึงอย่างไรก็ต้องมีการวาดโครงร่าง …ทว่าการวาดภาพโดยส่วนใหญ่ใช้แค่พู่กันจุ่มหมึก ส่วนสีสันจะเน้นการเพิ่มน้ำมากน้อย แรงกดพู่กันมากน้อย จึงนำมาซึ่งเส้นที่ตื้นลึกหนาบาง จริง ๆ มันสู้สีสันของการปักผ้าไม่ได้เลย”

หลินเหราพยักหน้าและถามอีกว่า “หากใช้สีสันที่แตกต่างกันวาดภาพบนกระดาษ มันคงเป็นภาพวาดที่งดงามมากใช่หรือไม่?”

ใบหน้าของเหยาซูเผยรอยยิ้มออกมา “แน่นอน แต่พวกสีผสมค่อนข้างมีราคาสูง มีแต่คนรวยถึงจะใช้มันได้ เราสามัญชนคนทั่วไป วาดภาพด้วยหมึกก็พอแล้ว!”

ความจริงแล้วภาพวาดน้ำหมึกนั้นอาศัยความคิดศิลป์ ไม่ได้ง่ายอย่างที่เหยาซูพูด เพียงแต่นางรู้ว่าหลินเหราไม่เข้าใจการวาดภาพ จึงไม่จำเป็นต้องพูดให้ซับซ้อนมากเพียงนั้น

ครั้นหลินเหราเห็นนางพูดเรื่องสีผสม จึงจดจำอยู่เงียบ ๆ ในใจ คิดว่าต่อไปถ้ามีโอกาสก็จะเสาะหามาให้เหยาซู

ทั้งสองคนพูดคุยอีกพักใหญ่ เหยาซูจึงได้เริ่มปักรายละเอียดในส่วนหน้าของปี่เซียะ นิ้วมือที่เรียวยาวและขาวเนียนของนางได้จับเข็มเล่มเล็กละเอียดไว้แน่น จากนั้นก็ปักขึ้นลง เคลื่อนไหวในท่วงท่าที่งดงาม

หลินเหราไม่เอ่ยสิ่งใดอีก นั่งมองการเคลื่อนไหวของนางอยู่เงียบ ๆ เขารู้สึกสงบใจอย่างมาก

การปักผ้าในครานี้ของเหยาซูทำให้ส่วนศีรษะทั้งหมดของปี่เซียะถูกเติมเต็มอย่างสมบูรณ์ทุกอณู ตอนนี้เหลือเพียงเติมสีที่จำเป็นในบริเวณกลางลำตัว

หญิงสาวแหงนหน้ามองท้องฟ้าระหว่างที่เปลี่ยนด้าย ก่อนจะวางผ้าปักในมือลง “เอาล่ะ วันนี้พอแค่นี้ เราควรไปทำอาหารได้แล้ว”

หลินเหราหยิบผ้าปักขึ้นมาจากบนโต๊ะ ใช้ปลายนิ้วลูบไล้ลวดลายที่นูนออกมาก่อนจะเอ่ยชื่นชมว่า “อาซู เจ้าเก่งยิ่งนัก”

ทุกสิ่งทุกอย่างที่เหยาซูทำล้วนจริงจังเสมอ ขอแค่มันเป็นสิ่งที่นางอยากทำ นางจะไม่หยุดจนกว่าจะบรรลุเป้าหมาย

ในอดีตมักเย็บปักถักร้อยเป็นรูปดอกไม้ใบหญ้า แต่ปี่เซียะตัวนี้ล้วนเป็นการแสดงฝีมือครั้งแรกของนาง

ครั้นได้ยินการชื่นชมของหลินเหรา เหยาซูกลับรู้สึกไม่ค่อยพอใจเท่าไร “ส่วนหัวค่อนข้างใหญ่เล็กน้อย ถึงอย่างไรก็ยังไม่ดี ไว้มีเวลาข้าจะปักบริเวณตัวของปี่เซียะให้ใหญ่ขึ้นกว่านี้ถึงจะสมดุล”

หลินเหรามองไม่เห็นถึงปัญหาที่เหยาซูเอ่ยถึงเลยแม้แต่น้อย เขายิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกว่ามันงดงามมากขึ้น กระทั่งด้านหลังก็ยังชอบยิ่งกว่าเดิม

นิ้วมือของชายหนุ่มงอเล็กน้อยพร้อมกับเงยหน้ามองเหยาซู “อาซู ถุงเงินของข้าเก่ามากแล้ว”

นี่บ่งบอกถึงเจตนารมณ์อย่างชัดเจน เหยาซูขบขันอยู่ในใจแต่ปากกลับพูดอ้อมค้อมแสร้งทำเป็นพูดว่า “เก่าแล้วก็ไปซื้อใหม่สักใบสิ แต่ท่านนำเงินเดือนทุกเดือนกลับบ้านหมดแล้วมิใช่หรือ? แล้วจะเอากระเป๋าเงินไปทำไมอีกเล่า?”

หลินเหราใช้ถุงเงินน้อยมากจริง ๆ ส่วนใหญ่จะใช้ถุงเงินของเหยาซูแค่ใบเดียว เขาจึงเงียบไปครู่หนึ่งแล้ววางผ้าปักในมือลง

หลังจากสูดลมหายใจอยู่สองสามครั้งก็ได้ยินเขาพูดว่า “เช่นนั้นถุงหอมล่ะ? บางทีการได้กลิ่นสมุนไพรที่หอมสดชื่น อาจจะทำให้ไม่ง่วงเหงาหาวนอนในช่วงบ่ายก็ได้”

เหยาซูตั้งใจพูดด้วยความตื่นตระหนก “ท่านยังง่วงเหงาหาวนอนอีกหรือ? ถึงว่าข้าเห็นท่านนอนไม่หลับในเวลากลางคืน แต่ทำไมเช้าวันต่อมากลับดูกระปรี้กระเปร่ามากเสียอย่างนั้น”

ความหมายที่แฝงอยู่ในคำพูดนี้ของนาง บอกว่าวันที่ทั้งสองคนกอดรัดฟัดเหวี่ยงจนถึงกลางดึกค่อนคืน กระทั่งแยกย้ายกันไปล้างหน้าล้างตา วันนั้นเหยาซูเหนื่อยชนิดที่ว่าเมื่อก้มหัวลงก็หลับทันที

ครั้นถึงกลางดึกหญิงสาวก็สะดุ้งตื่นจากความฝัน บังเอิญเห็นหลินเหราลืมตามองตนเองพอดี นิ้วมือยังม้วนเล่นเส้นผมของนางอย่างแผ่วเบา จนทำให้นางตื่นตกใจเกือบกรีดร้องออกมา

หลินเหราถึงกับสำลัก มือที่เดิมทีวางอยู่บนโต๊ะก็ดึงกลับมาวางบนตักทันใด แม้แต่หัวคิ้วก็ขมวดเข้าหากัน

ครั้นเหยาซูเห็นท่าทางอึดอัดของเขา คล้ายกับถูกสุนัขตัวใหญ่แย่งอาหารที่ชอบไปสีหน้าดูไม่สบอารมณ์ แต่กลับไม่ยอมแสดงออกมา

ในที่สุดนางก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้ก่อนจะถามว่า “ชอบปี่เซียะตัวนี้หรือ?”

หลินเหราเงยหน้ามองนางด้วยความลังเลครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าเบา ๆ

แต่จริง ๆ แล้ว เขาไม่ได้ชอบปี่เซียะ

เพียงแต่ตอนที่เหยาซูใช้เส้นด้ายหลากสีสันปักลงบนลวดลายที่ดูซับซ้อนบนผ้าผืนนั้นอย่างชำนาญจนออกมาสวยงดงาม อีกทั้งสีหน้าที่ดูใจจดใจจ่อกับการปักผ้าของนางนั้น ล้วนแต่ทำให้หลินเหรารู้สึกว่าปี่เซียะตัวนี้มีความหมายที่แตกต่างกันออกไป

เหยาซูยิ้มจนตาเป็นเส้นโค้ง นัยน์ตาที่สุกสกาวคู่นั้นเปล่งประกายเล็กน้อยก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงอบอุ่น “ถุงเงินลายปี่เซียะก็ดูแปลกตาไปอีกแบบ อยากได้ถุงหอมด้วยมิใช่หรือ? งั้นข้าทำถุงหอมให้ท่านสักถุง ดีหรือไม่?”

ราวกับถูกประกายแวววาวจากนัยน์ตาของเหยาซูดึงดูดเข้าไป นัยน์ตาของหลินเหราจึงเปล่งประกายและเปื้อนไปด้วยรอยยิ้มเช่นกัน

เขาไม่พูดสิ่งใด เหยาซูกลับเห็นความดีใจที่สะท้อนออกมาทางแววตาของเขา

หญิงสาวหยิบผ้าปักขึ้นมาดูและวางลงอีกครั้ง “จริง ๆ แล้วเมื่อครู่ใช่ว่าจะไม่อยากปักผ้าให้ท่าน…เพียงแต่นี่เป็นการปักผ้าลายปี่เซียะครั้งแรก โดยพื้นฐานจะต้องฝึกฝน อีกทั้งยังใช้ผ้าสีขาวในการปักล้วนแล้วแต่ไม่เข้ากัน เลยตั้งใจจะกลับไปทำผืนใหม่ให้ท่าน”

หลินเหรากลับส่ายหน้า “ผืนนี้แหละดีแล้ว ไม่ว่าจะปักเป็นอะไรก็ต้องเป็นผืนนี้”

เหยาซูรู้สึกแปลกใจและเอ่ยขึ้นอย่างไม่เข้าใจ “ผืนนี้มันไม่สวย…จะเปลี่ยนผืนที่สวยกว่าให้ท่าน เหตุใดถึงไม่ดีใจเล่า?”

หลินเหราเองก็บอกไม่ถูกเช่นกัน แค่รู้สึกว่าต่อให้เหยาซูปักผืนอื่นแม้ว่าจะเป็นลายที่ปักเองกับมือ ท้ายที่สุดแล้วมันก็สู้ผืนนี้ไม่ได้อยู่ดี

เขายังคงพูดอย่างหนักแน่น “ผืนนี้ดีที่สุดแล้ว”

ไม่ว่าเหยาซูจะทำเป็นสิ่งใด ขอแค่เมื่อหลินเหราเห็นปี่เซียะตัวนี้ ได้เห็นดวงตาของมัน เขาก็จะนึกถึงภาพที่นางนั่งปักผ้าในวันนี้

ต่อให้นางจะเปลี่ยนสีสลับซับซ้อนไปมา บางครั้งเพราะขี้เกียจหยิบกรรไกรก็เลยใช้ฟันกัดเส้นด้ายจนขาด…เส้นด้ายที่ขาดในปากของหญิงสาวจะเปื้อนไปด้วยกลิ่นอายของนาง ทั้งยังถูกฝังอยู่ในระหว่างลวดลายที่มีสีสันโดยสมบูรณ์นี้ โดยไม่มีใครมองออก

หลินเหรารู้สึกว่าต่อให้ปักสวยแค่ไหน ลวดลายงดงามเพียงใด ก็น่าหลงใหลสู้ภาพที่เขาได้เห็นในวันนี้ไม่ได้

แม้เหยาซูจะไม่รู้ว่าความดื้อรั้นของหลินเหรามาจากที่ใด แต่การให้ถุงหอมกับเขาเดิมทีก็เพื่อให้เขาดีใจเท่านั้น หากหลินเหราชอบปี่เซียะตัวนี้จริง ๆ แล้ว นางย่อมไม่มีทางปฏิเสธความคิดของเขา

หญิงสาวครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เช่นนั้นการนำปี่เซียะที่ปักเสร็จแล้วตัวนี้ปักลงบนผ้าผืนอื่น ก็ย่อมได้”

หลินเหราตอบรับอย่างแผ่วเบา จากนั้นก็ยื่นมือมากุมมือที่เนียนขาวของเหยาซูไว้

ยากนักที่เขาจะเกิดความอยากรู้อยากเห็นเช่นนี้ กระทั่งเขี่ยนิ้วมือที่เรียวยาวดุจดอกหอม และพูดอย่างจริงจังว่า “แม้ว่าลวดลายจะถูกปักออกมาได้อย่างงดงาม แต่กลับงดงามสู้มือของอาซูไม่ได้”

ทันทีที่เหยาซูได้ยินประโยคนี้ ปลายนิ้วที่ถูกกุมไว้ก็อดสั่นระริกไม่ได้ ยังไม่ทันได้ตอบสนอง ใบหน้าก็ค่อย ๆ ร้อนผ่าวขึ้นมา

หญิงสาวพูดอย่างขุ่นเคือง “เหลวไหล!”

มุมปากของหลินเหราค่อย ๆ กระตุกขึ้น นัยน์ตาที่เดิมทีมืดสนิท จู่ ๆ ก็เปล่งประกายสว่างไสวท่ามกลางหุบเหวลึก ครั้นมองเข้าไปกลับไม่ได้เย็นชาเหมือนเมื่อครั้งอดีต

เขาหัวเราะเบา ๆ “อาซู ข้าพูดจริงนะ”

เสียงหัวเราะบางเบานั้นคล้ายกับสัมผัสของกลีบดอกไม้ที่ร่วงโรยลงมาแตะปลายจมูกในช่วงฤดูวสันต์ ราวกับมีขนนกล่องลอยอยู่เบาบางบนหัวใจอย่างไรอย่างนั้น

ภายใต้องค์ประกอบทั้งห้าบนใบหน้าที่เย็นชาของชายหนุ่มบัดนี้เหลือเพียงความอบอุ่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งยามที่ถูกเขาจับจ้อง ราวกับสีสันและแสงสว่างของโลกทั้งใบได้รวมอยู่ในดวงตาที่เบิกกว้างเล็กน้อยคู่นี้หมดแล้ว

…………………………………………………………………………………………………..

สารจากผู้แปล

เวลาคนเย็นชากลายเป็นคนอบอุ่นมันก็จะละมุนแบบนี้แหละค่ะ เขินนน

ไหหม่า(海馬)

ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม [穿书后,我成了三个反派的娘]

ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม [穿书后,我成了三个反派的娘]

Status: Ongoing
เหยาซูเสียชีวิตเนื่องจากเครื่องบินตก ตื่นขึ้นมาอีกทีก็พบว่าตนเองได้มาอยู่ในร่างตัวละครหนึ่งในนิยายที่ตัวเองกำลังอ่าน!หญิงสาวเสียชีวิตจากอุบัติเหตุเครื่องบินตกและมาเกิดใหม่ในนิยายยุคโบราณที่ตนเองกำลังอ่าน หลังฟื้นขึ้นมาจึงพบว่าตนเองอยู่ในร่างของ เหยาซู มารดาของวายร้ายทั้งสามในเรื่อง กลายเป็นแม่ม่ายลูกติดโฉมสะคราญที่ผู้คนต่างชี้หน้าบอกว่าเป็นตัวซวยทำให้สามีต้องตาย เมื่อได้ทราบว่าชีวิตของลูก ๆ ต้องเผชิญกับการดูถูก นางจึงทนไม่ไหวเก็บข้าวของหอบลูกกลับบ้านเก่า เริ่มต้นชีวิตใหม่กับลูกและครอบครัวทางแม่ของตน ด้วยคิดว่าหากสั่งสอนลูกดี ๆ พวกเขาคงไม่กลายเป็นตัวร้าย จนกระทั่งวันหนึ่งสามีของนางได้กลับมา พวกเขาจึงได้ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขอีกครั้ง แต่แล้วนางก็นึกขึ้นมาได้ว่าตามนิยายต้นฉบับสามีของตนจะตกหลุมรักสตรีอื่น จึงคิดหาวิธีที่จะหย่าขาดกับเขาอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท