ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม [穿书后,我成了三个反派的娘] – บทที่ 217 ทั้งสองคนไม่พูดอะไรตลอดทั้งคืน

ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม [穿书后,我成了三个反派的娘]

บทที่ 217 ทั้งสองคนไม่พูดอะไรตลอดทั้งคืน

เหยาซูและอาจื้อพูดคุยกันอีกครู่หนึ่ง จากนั้นก็ปล่อยเขาไปเล่นในที่สุด

หญิงสาวกำลังมองแผ่นหลังของลูกชาย แต่ในสมองกลับนึกย้อนไปถึงบทสนทนาของตนเองกับอาจื้อเมื่อครู่ตลอดเวลา

นางจำจุดจบของหลินจื้อในนิยายต้นฉบับได้อย่างชัดเจน

หลินจื้อนั้นเฉลียวฉลาดมาก

เขาไม่เคยอาศัยตำแหน่งของผู้เป็นพ่อ สอบขุนนางผ่านด้วยตัวเอง กระทั่งได้เข้าไปในราชสำนัก

ในสายตาคนภายนอกไม่ว่าจะด้านบุ๋นหรือบู๊ เขากับหลินเหราไม่เคยก้าวก่ายซึ่งกันและกัน แต่ความเป็นจริงในฐานะที่หลินจื้อเป็นลูกชายคนโตของหลินเหรา ถึงอย่างไรก็ต้องมีการใช้เส้นสายของผู้เป็นบิดา

เขาอาศัยอำนาจทางการทหารของผู้เป็นพ่อ แล้วค่อย ๆ แทรกซึมเข้าไปในราชสำนักทีละก้าว จนได้รับความไว้วางใจ เล่นกับใจคน ไปจนถึงมีปฏิสัมพันธ์กับคนต่างถิ่น และสุดท้ายก็ถูกลงโทษด้วยวิธีการห้าม้าแยกร่างโทษฐานชังชาติขายชาติให้กับศัตรู

ในตอนที่เหยาซูอ่านถึงจุดจบที่เกี่ยวกับหลินจื้อ ด้านหนึ่งนางก็ไม่ชอบการกระทำของเขา แต่อีกด้านหนึ่งนางก็เห็นใจโชคชะตาของเขา….

ตั้งแต่เด็กจนโต บุคคลที่หลินจื้อคอยพึ่งพาอาศัยเพื่อความอยู่รอดมาตลอด ก็มีแค่น้องชายและน้องสาว

หลินจื้อเกลียดชังผู้เป็นพ่อที่ไปประจำการอยู่ตามชายแดน ไม่เคยมาดูดำดูดีพวกเขา เกลียดราชสำนักจอมลวงโลก ปลิ้นปล้อน มีแต่พวกใจโฉดซุกซ่อนอยู่ทุกที่ เกลียดแม่เลี้ยงที่มีฐานะเป็นถึงบุตรีของเจ้าอาลักษณ์หลวง แต่สุดท้ายก็ใช้ความสูงส่งเหยียบย่ำพวกเขาอยู่เงียบ ๆ

หลินจื้อต้องไปว่าราชกิจทุกวัน มักจะคอยยิ้มต้อนรับทุกคนรอบตัวเสมอ มีแค่หลินซือเท่านั้นที่รู้ว่าในใจของพี่ชายบิดเบี้ยวเพราะความเคียดแค้นถึงเพียงใด

นางนั่งอยู่ในตำแหน่งสนมเอกเพื่อช่วยพี่ชายล้างแค้น ล้างแค้นให้กับความอยุติธรรมในโชคชะตา และคนที่สร้างความอยุติธรรมนี้

แค่เหยาซูนึกถึงตอนจบของนิยายต้นฉบับ ในใจก็เกิดความหวาดกลัวอย่างฉุดไม่อยู่

หญิงสาวใช้ชีวิตในสภาพจิตใจที่ไม่มั่นคงเช่นนี้ไปทั้งวัน

ตกกลางคืนที่เด็ก ๆ พากันเข้านอนหมดแล้ว และหลินเหรากลับมาถึงบ้าน ในที่สุดเหยาซูก็ได้หาที่ปรึกษาหนึ่งคน

หลินเหราเพิ่งถึงบ้านและกำลังเปลี่ยนเสื้อผ้า เขาสังเกตเห็นถึงความผิดปกติของเหยาซู จึงอดถามนางไม่ได้ “วันนี้มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นหรือ?”

เหยาซูหยิบชุดจงอีสีขาวที่ดูสะอาดสะอ้านตัวหนึ่งออกมาจากตู้เสื้อผ้า และยื่นให้หลินเหรา ใบหน้าของหญิงสาวยังคงแสดงออกถึงความกังวลไม่จางหาย จากนั้นก็พูดกับหลินเหราด้วยเสียงแผ่วเบาว่า “วันนี้พี่ใหญ่มาที่บ้าน บอกว่าหลินหงถูกพาตัวกลับบ้านแล้ว”

หลินเหรานิ่งงันไปชั่วขณะ หัวคิ้วขมวดเข้าหากันเล็กน้อย จากนั้นก็พูดปลอบใจเหยาซูว่า “อาซู เรื่องตระกูลหลินข้าจัดการเอง เจ้าไม่ต้องเข้ามายุ่งหรอก”

เขาควรจะคิดไว้แล้วว่าเหยาซูจะต้องเกลียดชังครอบครัวนี้

แต่เหยาซูกลับส่ายหน้า “ไม่ใช่เพราะตระกูลหลิน….”

ยากนักที่นางจะมีช่วงเวลาที่กลัดกลุ้มใจเช่นนี้ หลินเหราเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ ก็นั่งลงใต้ตะเกียงน้ำมัน และพูดกับหญิงสาวว่า “มานี่มา เราต้องคุยกัน”

เหยาซูถือโอกาสนั่งข้างเขา กระทั่งได้ยินเขาเอ่ยถามด้วยเสียงเคร่งเครียดว่า “เป็นอะไร? ไม่สบายใจหรือ?”

บนตัวของชายหนุ่มยังอวลไปด้วยกลิ่นหอมอันคุ้นเคย เขามีสีหน้าจริงจัง และมองเหยาซูด้วยความเข้าใจ ให้นางสัมผัสได้ถึงความปลอดภัยที่คุ้นเคย

เหมือนกับว่าข้างกายของเขาไม่มีเรื่องอะไรต้องกลัวอย่างไรอย่างนั้น

หญิงสาวหลุบตามองต่ำเล็กน้อยและพูดแผ่วเบา “วันนี้ได้คุยกับพี่ใหญ่เป็นนานสองนาน ได้ถามสถานการณ์ของเหล่าเด็ก ๆ … ก็เลยเป็นกังวลเท่านั้น”

มือใหญ่อันแห้งหยาบของหลินเหราได้กุมมือของเหยาซูไว้ ทำให้หัวใจของนางสงบลง อีกทั้งสีหน้าดูอ่อนลงมากทีเดียวก่อนจะได้ยินเขาถามว่า “เป็นอะไรไป?”

ชายหนุ่มนำพาความรู้สึกปลอดภัยและความอบอุ่นมาให้นาง ทำให้หัวใจที่ว้าวุ่นของเหยาซู ความโกรธกับเรื่องที่เกิดขึ้นกับพวกเด็ก ๆ และความกลัวที่ว่าเด็ก ๆ จะเจริญรอยตามเส้นทางเดิมของนางต่างพากันทะลักออกมา รอบดวงตานางเริ่มแดงก่ำ

ริมฝีปากของนางขยับเล็กน้อยและอ้าปาก แต่กลับไม่รู้ว่าจะพูดอธิบายอย่างไร

ครั้นหลินเหราเห็นดังนั้น จึงโน้มตัวไปด้านหน้าและโอบกอดนางเอาไว้ ให้หญิงสาวพักพิงบนไหล่ของตัวเองก่อนจะพูดเสียงเบาว่า “อาซู อย่าร้อนใจไปเลย ข้าอยู่ข้างเจ้า มีอะไรก็ค่อย ๆ พูดค่อย ๆ จา”

ผ่านไปเนิ่นนาน น้ำเสียงอ่อนแอที่หาได้ยากยิ่งก็ดังออกมาจากอ้อมกอดของเขาอย่างอู้อี้ว่า “ต้าเป่าและเอ้อเป่าต้องทนลำบากยากเข็ญมาสารพัด ข้าเป็นห่วงกลัวว่าจะสร้างผลกระทบต่อพวกเขาในภายภาคหน้า … เอ้อเป่ายังเด็กยังไม่น่าห่วงมาก แต่ข้าไม่วางใจต้าเป่าเลย”

หลินเหราขมวดคิ้วเล็กน้อย เพราะไม่สามารถเข้าใจความหมายคำพูดของเหยาซูได้ชั่วขณะ ทำได้แค่อดทนฟังนางพูดต่อ

“พี่ใหญ่บอกว่าต้าเป่าทำตัวเหมือนเม่นที่มีหนามรอบตัวเมื่อครั้งย้ายไปอยู่บ้านตระกูลเหยาแรก ๆ ไม่มีใครเข้าใกล้เขาได้ ต่อมาก็ค่อย ๆ ดีขึ้น …แต่วันนี้ข้าได้มีโอกาสพูดคุยกับพี่ใหญ่ พบว่าเขายังมีท่าทีเช่นเดิม ไม่คบใครเป็นสหายสนิท นอกจากคนในครอบครัวแล้วก็ไม่เชื่อใจใครที่เป็นคนนอกอีก”

“ข้ารู้สึกว่าตัวเองทำหน้าที่แม่ได้ไม่ดีพอ เห็น ๆ อยู่ว่าเป็นแม่ของเขา เป็นคนที่ใกล้ชิดที่สุด แต่กลับพบว่าข้าไม่เข้าใจความคิดของเขาเลย กระทั่งวันนี้เพิ่งได้รู้…”

“ต้าเป่าบอกว่าอยากไปเมืองหลวง การได้อยู่ในเมืองภายใต้การปกครองขององค์จักรพรรดิจะทำให้เข้าถึงผู้คนและเรื่องราวที่แตกต่างกัน เขาไม่อยากจดจ่ออยู่กับการร่ำเรียนหนังสือ ท่านว่าเขามีแผนการในใจมากเกินไปหรือไม่? ต้าหลาง เอ้อหลางก็อายุมากกว่าเขา แต่ไม่เห็นจะมีความคิดมากมายเพียงนี้”

เสียงของนางแฝงไปด้วยความกลัดกลุ้มใจ แต่หลินเหรากลับไม่รู้ว่าเหตุใดถึงได้ขบขันนัก

เมื่อเขาได้ยินสิ่งที่ภรรยาพูด หัวใจเขากลับพองโต รู้สึกว่าเหยาซูในท่าทางเช่นนี้ก็น่ารักยิ่งนัก

เขาดึงมือของเหยาซูออก จากนั้นก็มองเข้าไปในตาของนาง ก่อนจะพูดว่า “เจ้าเป็นห่วงเรื่องเหล่านี้เหรอ หือ?”

เหยาซูปรายตามอง คล้ายกับเต็มไปด้วยคำถามมากมาย กระทั่งเอ่ยถามในที่สุดว่า “แค่เรื่องนี้ยังไม่พออีกหรือ?”

หลินเหราหัวเราะออกมา ตั้งใจว่าจะช่วยแก้ปมแต่ละอันในใจของเหยาซู

“อาซู เจ้าเคยคิดบ้างหรือไม่ว่าเหตุใดอาจื้อถึงพูดว่า จะไม่อยากร่ำเรียนเพียงอย่างเดียว?”

เหยาซูลังเลเล็กน้อยก่อนจะส่ายหน้า

เสียงของชายหนุ่มทั้งทุ้มต่ำและไพเราะมาก ทั้งยังแฝงไปด้วยพลังแห่งการปลอบใจ และค่อย ๆ พูด “ไม่ว่าจะอวี๋จือ หรือว่าเซี่ยเชียน พวกเขาล้วนแต่เป็นบัณฑิต เคยเจอะเจอผู้คนมานับไม่ถ้วน พวกเขายอมรับในตัวอาจื้อ มันยังชัดเจนไม่พออีกอย่างนั้นหรือ?”

เหยาซูไม่เข้าใจ “ชัดเจนอะไร?”

หลินเหรามองเหยาซู “อาจื้อแตกต่างจากเด็กคนอื่น สำหรับเขาแล้ว การเรียนหนังสือไม่จำเป็นต้องทุ่มเทแรงกายแรงใจก็ทำได้ดี ยิ่งไปกว่านั้น…เรียนดีจึงจะกลายเป็นข้าราชการนั้นเป็นความคิดปกติมิใช่หรือ? เจ้าจะกังวลอะไรอีก?”

เหยาซูไม่รู้ว่าควรจะตอบอย่างไรไปชั่วขณะ

นางไม่รู้ว่าควรจะแสดงออกถึงความกังวลในใจอย่างไร การที่บัณฑิตในยุคสมัยนี้ได้เข้ารับราชการนั้นเป็นเรื่องปกติ แต่นางค่อนข้างกลัว กลัวว่าอาจื้อจะเจริญรอยตามเส้นทางเดิม

กระทั่งได้ยินหลินเหราพูดว่า “อาจื้อไม่ชอบใกล้ชิดกับผู้อื่น อาซู เจ้ารู้ดีว่าข้าก็เป็นเช่นนี้ มันไม่ใช่เรื่องผิดปกติแต่อย่างใด”

เหยาซูเงยศีรษะขึ้นทันใด พร้อมกับกัดริมฝีปากโดยไม่รู้ตัว จากนั้นก็พูดด้วยความลำบากใจว่า “ข้าไม่ได้หมายความอย่างที่ท่านพูด ท่านดีมากแล้ว…ข้าเพียงรู้สึกว่ากำแพงในใจของอาจื้อมันแข็งแกร่งเกินไป แบบนี้ แบบนี้มันไม่ค่อยดีนัก”

หลินเหราสายหน้า ไม่เห็นด้วยกับความคิดของเหยาซู “คนเราต่างคนต่างที่ แม้ว่าเจ้าจะเป็นแม่ของอาจื้อ แต่ก็ไม่ควรจะก้าวก่ายนิสัยของเขา ข้ารู้ว่าเจ้าชอบเถิงเอ๋อ แต่เขาได้รับการปกป้องมาจนเติบใหญ่ ไม่เคยมีประสบการณ์ด้านความเจ็บปวดเลยแม้แต่น้อย จึงมักจะใจดีกับทุกคน หากแต่อาจื้อนั้นแตกต่างเพราะเขาเคยมีประสบการณ์มาก่อน”

ในขณะที่พูด หลินเหราก็ให้เหยาซูมองเข้ามาในดวงตาของตัวเอง และพูดอย่างจริงจังว่า “แต่นี่ไม่ใช่ความผิดของเจ้า”

คำพูดของเขาทำให้เหยาซูเงียบลง

หญิงสาวเริ่มคิดหนัก หรือว่าตัวเองจะมีปฏิกิริยาต่อเรื่องนี้มากเกินไป

ครั้นหลินเหราเห็นนางได้ยินคำพูดของตัวเอง ในใจก็ผ่อนคลายลงไม่น้อย จากนั้นก็ส่ายหน้าและพูดว่า “เจ้าแค่เป็นกังวลมากเกินไป ข้าว่าอาจื้อก็สบายดีไม่น้อย เรื่องในอดีตมันผ่านไปแล้ว ไม่มีทางสร้างผลกระทบที่ไม่ดีกับเขาอย่างแน่นอน”

เหยาซูตอบ “อื้อ” คำเดียว หัวคิ้วที่เดิมทีขมวดเป็นปมแน่นก็ค่อย ๆ คลายออก และสงบลงในที่สุด

หลินเหราแตะปลายจมูกของเหยาซูอย่างเบามือ มองดูความกังวลที่แสดงออกมาสีหน้าที่เนียนใสของนางจางหายไปด้วยรอยยิ้ม

ผ่านไปครู่หนึ่ง ทันใดนั้นเหยาซูก็เอ่ยปากและพูดด้วยน้ำเสียงอึดอัดใจ “อาเหรา แม้ว่าในสายตาของคนภายนอกท่านอาจจะดูสนิทสนมได้ยาก ทั้งหน้าตาก็ดูเย็นชา แต่สำหรับข้าแล้วท่านแตกต่างออกไป ท่านรู้จักห่วงใยข้าและเอาใจใส่ข้ามาก ไม่เคยเย็นชาใส่แม้แต่น้อย ข้าคิดว่าถ้าตระกูลหลินไม่เป็นเช่นนั้นกับท่าน….”

คำพูดของนางยังไม่ทันจบ หลินเหราก็ขานเรียกนางอย่างฉับพลัน “อาซู”

สีหน้าของเขาไม่ได้ดูอบอุ่นเหมือนเมือครู่ แต่เจือแววเคร่งขรึมจาง ๆ

เหยาซูไม่พูดสิ่งใดอีก

ทั้งสองคนเงียบกันอยู่ครู่หนึ่ง จนเหยาซูสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงในด้านอารมณ์ของเขาได้อย่างว่องไว จึงพูดว่า “ขอโทษนะ ข้าไม่ควรพูดเรื่องนี้”

ใบหน้าของหลินเหราหันเข้าหาใบหน้าของเหยาซู ใบหน้าครึ่งหนึ่งของเขาหันสู่ความมืดมิดที่แม้แต่แสงไฟก็สาดส่องไม่ถึง ทำให้มองเห็นไม่ชัด

เขาพูดเสียงแหบพร่า “ไม่เป็นไร รีบพักผ่อนเถอะ”

เมื่อพูดจบชายหนุ่มก็ลุกขึ้น และเดินไปอาบน้ำในลานบ้าน

เหยาซูกำหมัดแน่นด้วยความกลุ้มใจ เห็นได้ชัดว่านางกำลังคุยเรื่องอาจื้อกับเขา ไฉนถึงพูดเรื่องหลินเหราโดยไม่มีปี่ไม่ขลุ่ยเช่นนั้น?

ใคร ๆ ก็ไม่อยากฟังคนอื่นมาสมมุติว่าตัวเองเป็นอีกแบบหนึ่งหรอกหรือ?

ยิ่งไปกว่านั้น คนที่พูดเรื่องเหล่านี้ก็ดันเป็นคู่ชีวิตของตัวเอง….

หลังจากที่หลินเหราอาบน้ำเสร็จและกลับเข้ามา เขากลับมาอยู่ในท่าทางปกติแล้ว เหมือนกับว่าความลืมตัวในชั่วพริบตานั้นล้วนเป็นสิ่งที่เหยาซูคิดเอง เขาเพียงแต่จบหัวข้อสนทนาไปเท่านั้น

ทั้งสองคนเป่าไฟตะเกียงให้มอดดับ แต่เหยาซูยังคงรู้สึกผิดในใจ รู้ว่าหลินเหราไม่อยากคุยเรื่องเมื่อครู่อีก

แต่นางก็ขอโทษไปแล้ว จะให้ทำอย่างไรอีก?

ครั้นเห็นหลินเหราไม่พูด เหยาซูก็ทำได้แค่หลับตาลง

ทั้งสองคนไม่พูดอะไรตลอดทั้งคืน ….

………………………………………………………………………………………………..

สารจากผู้แปล

มีอะไรก็พูดคุยเปิดอกกันดี ๆ แบบนี้ถูกแล้วค่ะ

อาจื้อกับอาซือในนิยายต้นฉบับน่าสงสารมาก ไม่แปลกที่จะกลายเป็นตัวร้าย

ไหหม่า(海馬)

ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม [穿书后,我成了三个反派的娘]

ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม [穿书后,我成了三个反派的娘]

Status: Ongoing
เหยาซูเสียชีวิตเนื่องจากเครื่องบินตก ตื่นขึ้นมาอีกทีก็พบว่าตนเองได้มาอยู่ในร่างตัวละครหนึ่งในนิยายที่ตัวเองกำลังอ่าน!หญิงสาวเสียชีวิตจากอุบัติเหตุเครื่องบินตกและมาเกิดใหม่ในนิยายยุคโบราณที่ตนเองกำลังอ่าน หลังฟื้นขึ้นมาจึงพบว่าตนเองอยู่ในร่างของ เหยาซู มารดาของวายร้ายทั้งสามในเรื่อง กลายเป็นแม่ม่ายลูกติดโฉมสะคราญที่ผู้คนต่างชี้หน้าบอกว่าเป็นตัวซวยทำให้สามีต้องตาย เมื่อได้ทราบว่าชีวิตของลูก ๆ ต้องเผชิญกับการดูถูก นางจึงทนไม่ไหวเก็บข้าวของหอบลูกกลับบ้านเก่า เริ่มต้นชีวิตใหม่กับลูกและครอบครัวทางแม่ของตน ด้วยคิดว่าหากสั่งสอนลูกดี ๆ พวกเขาคงไม่กลายเป็นตัวร้าย จนกระทั่งวันหนึ่งสามีของนางได้กลับมา พวกเขาจึงได้ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขอีกครั้ง แต่แล้วนางก็นึกขึ้นมาได้ว่าตามนิยายต้นฉบับสามีของตนจะตกหลุมรักสตรีอื่น จึงคิดหาวิธีที่จะหย่าขาดกับเขาอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท