หวังหย่วนเฉียว คงฮั่น เจียงเชียนหลี่ ทั้งสามคือแม่ทัพที่อ๋าวเฟยเหลืออยู่ข้างกายตอนนี้ พวกเขาได้ยินแล้วเดินเข้ามา
“ดูท่าแล้ว ตัวประกันพวกนั้นในมือหนิวโหย่วเต๋อคงได้ใช้ประโยชน์แล้ว เผ่าเทพอสรพิษดำเอนเอียงไปฝั่งหนิวโหย่วเต๋อจริงๆ” หวังหย่วนเฉียวกล่าว
เจียงเชียนหลี่พยักหน้า “หนิวโหย่วเต๋อคนนี้ไม่ธรรมดาจริงๆ พอมาถึงก็ไม่ทำอย่างอื่น บุกโจมตีตลาดมืดโดยตรง ไม่กลัวว่าจะก่อปัญหาอะไรด้วย ช่วงชิงหาสภาพแวดล้อมที่เป็นประโยชน์กับตัวเองก่อน กลับสร้างความยุ่งยากให้ฝั่งพวกเราแล้ว”
“คนเผ่าเทพอสรพิษดำอพยพไปแล้ว ไม่ให้โอกาสพวกเราได้ลงมือ ไม่ต้องพูดเลย ต้องเป็นความคิดเจ้านั่นแน่นอน เขาต้องการป้องกันไม่ให้เกิดเหตุซ้ำกับเผ่าเทพอสรพิษดำ” อ๋าวเฟยถอนหายใจ แล้วส่ายหน้ายิ้มเจื่อนอีก “ท่านโหวอิ๋งทำให้พลาดโอกาสดีในการรบ!”
เขาสามารถพูดออกมาได้ ส่วนอีกสามคนเพียงสบตากัน ไม่กล้าว่าอะไรอิ๋งอู๋หม่านมาก แต่ในใจนั้นเข้าใจทุกอย่าง ว่าถ้าไม่ใช่เพราะอิ๋งอู๋หม่านชักช้าลีลา ถ้าวางแผนกันอย่างนี้ตั้งแต่แรกแล้วจับตัวประกันก่อน ก็คงไม่ต้องกังวลเรื่องทางเผ่าเทพอสรพิษดำแล้ว จะทำลายทางหนีทีไล่ของหนิวโหย่วเต๋อ เพราะอาศัยกำลังพลหนึ่งแสนของหนิวโหย่วเต๋อทำอะไรไม่ได้หรอก ตอนนี้หนิวโหย่วเต๋อได้ความช่วยเหลือจากเผ่าเทพอสรพิษดำแล้ว จะต้องเกิดอุปสรรคบางอย่างกับฝ่ายนี้บนอาณาเขตของเผ่าเทพอสรพิษดำแน่นอน
คงฮั่นยังสงสัยนิดหน่อย “ต่อให้ร่วมมือกับเผ่าเทพอสรพิษดำ แต่ถ้าเผชิญหน้ากับกำลังพลของพวกเรา พวกเขาก็มีโอกาสชนะไม่มาก หนิวโหย่วเต๋อจะกล้าสู้กับพวกเราจริงเหรอ? คงไม่หนีออกไปแล้วหรอกใช่มั้ย?”
“คิดว่าเจ้าเวรนั่นไม่กล้าสู้กับพวกเราเหรอ?” อ๋าวเฟยชี้ที่เข็มทิศ “ถ้าหนีไปได้ ก็คงไม่ได้เริ่มสู้กัน งั้นเผ่าเทพอสรพิษดำก็ไม่จำเป็นต้องอพยพเลย แต่นี่เห็นได้ชัดว่าพวกเขากำลังให้ความร่วมมือกับปฏิบัติการของหนิวโหย่วเต๋อ หึ! เจ้าเวรนี่ใจกล้าไม่เบา สงสัยจะอยากถอนฟันจากปากเสือ แต่ก็สอดคล้องกับลักษณะการทำงานของเขาแล้ว หลังจากเกิดศึกน่านฟ้าระกาติง ข้าก็เริ่มจับตาดูเขา ชอบทำเรื่องที่ลงทุนน้อยได้ผลตอบแทนเยอะ ทำเรื่องเสี่ยงอันตรายยามจนตรอก ครั้งนี้ก็ไม่ผิดคาด ทำไมข้าต้องแบ่งทหารน่ะเหรอ? ข้าเดาว่าตอนนี้เขาคงกำลังครุ่นคิด ว่าจะทำให้พวกเรากระจายกำลังหทารยังไง เขาจะได้ลงมือสะดวก พวกเราเรียกได้ว่าตอบสนองความต้องการของอีกฝ่าย ไม่อย่างนั้นถ้าอีกฝ่ายมัวหลบไม่ยอมออกมา มันก็จะยุ่งยากแล้ว”
จากนั้นก็กอดอก จ้องเข็มทิศพลางไตร่ตรอง “จะให้นั่งรออยู่ที่นี่มันก็ไม่ใช่เรื่อง เจียงเชียนหลี่”
“ขอรับ!” เจียงเชียนหลี่กุมหมัดคารวะ
“เตรียมให้พี่เจียงทำเรื่องเสี่ยงอันตรายสักหน่อย ไม่รู้ว่าพี่เจียงจะคิดเห็นยังไงบ้าง?” อ๋าวเฟยถามพร้อมรอยยิ้ม
“ไม่ทราบว่าแม่ทัพใหญ่เตรียมจะให้ข้าเสี่ยงอันตรายยังไง?” เจียงเชียนหลี่ถามกลั้วหัวเราะ
อ๋าวเฟยตอบว่า “ให้กำลังพลหนึ่งแสนกับเจ้า แสดงทัพเดี่ยวให้ศัตรูเห็น ตระเวนไปที่สระน้ำมังกรดำ จู่โจมและก่อกวนให้ทั่ว ดูว่าจะล่อให้ใครโผล่ออกมาได้หรือเปล่า” แล้วก็ชี้อีกหลายจุดบนเข็มทิศ “สระน้ำมังกรดำใหญ่ขนาดนี้ ข้าให้พวกเชออู่วางกำลังกองละสามแสนซุ่มไว้ห้าทิศทาง ขอบเขตที่ห้าทิศทางนี้สามารถแผ่ขยายไปได้ ภายในครึ่งชั่วยามก็ครอบคลุมได้ทั้งสระน้ำมังกรดำ หรือพูดได้อีกอย่างว่า ถ้าเจ้าเจอการรุกโจมตี แค่ถ่วงเวลาอีกฝ่ายไว้ครึ่งชั่วยามเท่า กองหนุนก็จะมาถึง ถ้ากัดกำลังหลักของพวกเขาเอาไว้ไม่ปล่อย ไม่ว่าพวกเขาจะหนีไปไหน ก็ล้วนถูกกำพลดักซุ่มจากทิศทางอื่นเข้ามารับหน้าโจมตี ทางออกก็ถูกพวกเราปิดไว้แล้ว ถึงตอนนั้นพวกเขาก็จะไม่มีทางให้หนี ภายใต้การกดอัดของกำลังที่เหนือกว่าฝ่ายพวกเรา มีแต่จะถูกพวกเราฆ่าแกงเท่านั้น เป็นยังไง พี่เจียงยินดีจะลองเสี่ยงอันตรายดูสักครั้งมั้ย?” สามารถฟังออกได้จากคำพูดนี้ ว่าเขาไม่ได้บังคับ
เจียงเชียนหลี่หัวเราะเบาๆ แล้วกุมหมัดคารวะ “ยินดีฟังคำสั่งแม่ทัพใหญ่!”
“ดี!” อ๋าวเฟยพอใจมาก คว้าข้อมือเขาไว้พร้อมบอกว่า “ถ้าพี่เจียงสามารถล่อกำลังหลักของหนิวโหย่วเต๋อออกมาได้ ข้าก็จะรายงานผลงานใหญ่ของพี่เจียงต่อท่านอ๋อง พูดแล้วไม่คืนคำแน่นอน!”
เจียงเชียนหลี่กล่าวกลั้วหัวเราะ “พอเป็นแบบนี้ งั้นข้าก็ยิ่งต้องไปแล้ว” เขาถอยหลังสองสามก้าว แล้วกุมหมัดคารวะอีก “แม่ทัพใหญ่วางใจได้ ไม่ทำให้แม่ทัพใหญ่ผิดหวังแน่นอน”
อ๋าวเฟยโบกมือ “พี่เจียงอย่าประมาทศัตรู เอาอย่างนี้ ข้าจะแบ่งธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์อีกสองหมื่นคันให้พี่เจียง ต้องระวังตัวนะ ประเมินหนิวโหย่วเต๋อต่ำไม่ได้!”
“ข้าจำไว้แล้ว!” เจียงเชียนหลี่กุมหมัดเอ่ยรับ แล้วถลันตัวจากไป
พอเงยหน้ามองคล้อยหลังคนเดินออกไป หวังหย่วนเฉียวก็กล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า “แม่ทัพใหญ่ปฏิบัติด้วยอย่างเอาจริงเอาจังขนาดนี้ ราวกับเป็นศึกใหญ่ ต่อให้หนิวโหย่วเต๋อถูกประหาร ก็ถือว่าตายอย่างยุติธรรมแล้ว”
อ๋าวเฟยส่ายหน้า สายตาจ้องเข็มทิศพลางกล่าวช้าๆ “เจ้าเวรนี่มียอดฝีมือเรื่องพลิกแพลงสถานการณ์ครั้งแล้วครั้งเล่า ป้องกันไม่ชนะ ไม่อย่างนั้นด้วยนิสัยชอบก่อเรื่องของเขา จะรอดชีวิตมาถึงวันนี้ได้เหรอ ดูถูกเขาไม่ได้หรอก หวังว่าครั้งนี้พวกเราจะไม่มีช่องโหว่อะไร”
ใต้ร่มไม้ริมแม่น้ำ อิ๋งจิ่วกวงที่ได้รับแผ่นหยกรายงานลับอีกครั้งนั่งเงียบงันอยู่นานมาก ประโยคที่อ๋าวเฟยบอกว่า ‘ท่านโหวอิ๋งทำให้พลาดโอกาสดีในการรบ’ ทำให้เขาสะเทือนใจอย่างลึกซึ้ง ทำให้เขารู้สึกได้ถึงความแตกต่างมหาศาลระหว่างอิ๋งอู๋หม่านกับอ๋าวเฟย หลังจากอิ๋งอู๋หม่านพบความผิดปกติแล้ว ไม่น่าเชื่อว่าจะมีปฏิกิริยาช้ามาก ส่วนอ๋าวเฟยหลังจากรับงานมา เรื่องแรกที่ทำก็คือส่งคนไปจับตัวประกัน ปิดทางเข้าออกสระน้ำมังกรดำ เด็ดขาดที่สุด ทว่าสุดท้ายก็ยังเป็นอิ๋งอู๋หม่านที่ทำพลาดไป คนที่ต้องการจะจับเป็นตัวประกันอพยพไปแล้ว เมื่อมีเผ่าเทพอสรพิษดำคอยช่วยหนิวโหย่วเต๋อ ก็เรียกได้ว่าทำให้ฝั่งนี้เกิดความยุ่งยากไม่น้อย ถ้าเปลี่ยนเป็นคนอื่นที่ทำโอกาสดีในการรบหลุดมือจนเกิดผลร้ายแบบนี้ เขาสั่งประหารไปนานแล้ว
จั่วเอ๋อร์ที่อยู่ข้างๆ มองปฏิกิริยาของอิ๋งจิ่วกวงเงียบๆ นางไม่ได้พูดอะไรอีก…
ในหุบเขาที่ลับตาคนแห่งหนึ่ง ข้างในมีถ้ำใหญ่ที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ ตอนนี้วางไข่มุกราตรีไว้ไม่น้อย เป็นจุดศูนย์กลางความร่วมมือของของทัพใหญ่แดนรัตติกาลและกำลังพลเผ่าเทพอสรพิษดำ ในโถงถ้ำที่ใหญ่ที่สุด ให้ความรู้สึกเหมือนเป็นแดนของแผนที่ดาวและเข็มทิศโลหะ กลุ่มคนที่นำโดยเหมียวอี้กำลังยืนอยู่ฝั่งนี้ของเข็มทิศ กลุ่มคนที่นำโดยโม่โหยวกำลังยืนอยู่ฝั่งนั้นของเข็มทิศ
ผู้อาวุโสหลายคนฝ่ายโม่โหยวแอบประเมินทางฝั่งเหมียวอี้เงียบๆ ชิงเยว่กับหลงซิ่นถูกเหมียวอี้ส่งออกไปนำกำลังพลแล้ว ทางนี้อดไม่ได้ที่จะเกิดความคิดลอบโจมตี เกิดความคิดที่จะชิงตัวอ๋องอสรพิษดำมาจากฝั่งเหมียวอี้ ทว่าฝั่งเหมียวอี้กลุ่มคนโผล่มาจากไหนก็ไม่รู้ แม้จะสวมเกราะรบตำหนักสวรรค์ แต่กลับใส่หน้ากากไว้
นี่ยังไม่เท่าไร ที่สำคัญคือหกคนที่อยู่ข้างกายเหมียวอี้เป็นใครก็ไม่รู้ แต่กลับทำให้รู้สึกได้ถึงกลิ่นอายอันตรายถึงขีดสุด แววตาเย็นชาเรียบเฉยที่มองมา เหมือนไม่แยแสผู้อาวุโสระดับสำแดงฤทธิ์หลายคนทางฝั่งนี้เลย
โดยเฉพาะผู้ชายคนหนึ่งในบรรดาหกคนนั้น ไม่รู้ว่าสัมผัสความคิดของพวกเขาได้หรือเปล่า เผยฟันขาวหัวเราะเจ้าเล่ห์ออกมาเป็นระยะ แววตานั่นราวกับต้องการจะกรีดเสื้อผ้าของพวกนางออกให้หมด ทำให้ผู้อาวุโสหญิงรู้สึกอึดอัด แววตานั่นคุกคามเกินไปจริงๆ
ทั้งยังมีคนใส่หน้ากากอีกหลายสิบคนที่เฝ้าอยู่ทั้งในและนอกถ้ำ กลิ่นอายที่แผ่ออกมารางๆ ทำให้รู้สึกว่าไม่ใช่คนธรรมดา
เห็นได้ชัดว่าสถานการณ์ไม่ปกติ ไม่ต้องมีชิงเยว่กับหลงซิ่นคุ้มครอง แต่ก็ยังกล้าอยู่ใกล้กับกลุ่มยอดฝีมือเผ่าเทพอสรพิษดำ โม่โหยวแอบใช้สายตาควบคุมพวกผู้อาวุโสไม่ให้ทำอะไรบุ่มบ่าม เพราะค่อนข้างหวาดกลัวสิบกว่าคนที่เพิ่งโผล่ออกมาจากฝั่งเหมียวอี้ เพราะถ้าทำไม่สำเร็จขึ้นมา อ๋องอสรพิษดำก็จะอยู่ในอันตรายแล้ว
หยางเจาชิงเดินออกจากห้องถ้ำเล็กๆ แล้วใช้สองมือมอบเกราะรบสีแดงของตำหนักสวรรค์ชุดหนึ่งให้เหมียวอี้ ยื่นให้ตรงหน้าเหมียวอี้พร้อมบอกว่า “นายท่าน เรียบร้อยแล้ว”
เหมียวอี้มองธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์บนนั้นด้วยความสนใจ แล้วโยนให้โม่โหยวที่อยู่ตรงข้ามอีก “ผู้อาวุโสโม่ดูสิว่าเป็นยังไงบ้าง” ส่วนเขาก็ดึงเกราะรบบนนั้นขึ้นมาพลิกดู
โม่โหยวที่ได้ของมาไว้ในมืออึ้งชั่วขณะ ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์คันนี้เบาเกินไปจริงๆ พอตกอยู่ในมือแล้วค่อนข้างเบา พอลองเปลี่ยนมือ ก็พบว่าบนฝ่ามือเปื้อนสีแดง จึงอดไม่ได้ที่จะเงยหน้าถามอย่างงุนงง “ของปลอมเหรอ?”
เหมียวอี้พยักหน้า “ไม่ผิดหรอก แกะสลักจากไม้ ประดิษฐ์ได้สะดวกสุด”
กลุ่มคนในโถงถ้ำอ้าปากค้าง โม่โหยวรีบบอกว่า “เจ้าคงไม่ได้คิดจะนำของสิ่งนี้มาขู่อีกฝ่ายใช่มั้ย? มันใช้ประโยชน์ไม่ได้เลย ถ้าประมือกันจะต้องเผยพิรุธแน่”
“จะเอาของสิ่งนี้ไปสู้กับพวกเขาเสียที่ไหนล่ะ นั่นไม่ใช่รนหาที่ตายหรอกเหรอ? ถามหน่อยว่าถ้าผู้อาวุโสโม่ไม่ลงมือแล้วมองอยู่ไกลๆ จะเห็นพิรุธหรือเปล่า?” เหมียวอี้ถาม
โม่โหยวยกมือดูของ “ก็พอได้ ถ้าไม่ได้ดูใกล้ๆ ก็ไม่น่าจะปัญหาอะไร”
เหมียวอี้หิ้วเกราะรบขึ้นมาอีก “อาวุธพวกเกราะรบ ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ สั่งให้กำลังพลเผ่าเทพอสรพิษดำที่เตรียมรบประดิษฐ์แบบนี้ เอาไว้ใช้ยามจำเป็นในบางครั้ง”
“จัดการตามนี้แล้วกัน!” โม่โหยวหันกลับมาสั่ง แล้วโยนของปลอมกลับมาอีก “หัวหน้าภาคหนิว เจ้าคงไม่ได้คิดจะรออยู่ที่นี่ตลอดหรอกใช่มั้ย?”
เหมียวอี้ส่งของให้หยางเจาชิง ร่ายอิทธิฤทธิ์ลบสีแดงที่เปื้อนมือทิ้ง แล้วจ้องเข็มทิศพร้อมบอกว่า “ข้าแค่ไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายทำแบบนี้หมายความว่าอะไร ตั้งแต่ข้าเริ่มลงมือที่ตลาดมืด จนกระทั่งตอนนี้ อีกฝ่ายก็ยังไม่เคลื่อนไหวอะไรเลย แปลกจริงๆ จนป่านนี้แล้วยังไม่รู้อีกเหรอว่าข้ารู้เบื้องลึกของพวกเขาแล้ว ยังรอให้ข้าไปติดกับดักอยู่อีกเหรอ? เป็นไปไม่ได้มั้ง!”
เมื่อเจอกับสถานการณ์แบบนี้ เขาก็ไม่มีทางเลือก อีกฝ่ายให้ทัพตะวันออกห้าล้านเฝ้าอยู่ทางนั้นโดยไม่เคลื่อนไหวไปไหน ยามเผชิญหน้ากับกำลังที่เหนือกว่า ฝั่งนี้จะใช้อุบายตบตาอีกก็ไม่มีประโยชน์ แล้วก็รู้สึกว่าเป็นไปไม่ได้ด้วย ส่งทัพใหญ่ขนาดนี้มาก็แค่เพื่อสู้กับตนไม่ใช่เหรอ? จะยอมล่อยให้ตนหนีไปเชียวเหรอ?
โม่โหยวบอกว่า “ในเมื่ออีกฝ่ายไม่มีท่าทีจะลงมือ หัวหน้าภาคหนิว ไม่สู้หยุดไว้เพียงเท่านี้ ปล่อยอ๋องอสรพิษดำของพวกเราไป พวกเรารับปากว่าจะไม่เอาเรื่อง”
จะเป็นไปได้อย่างไร! เหมียวอี้ยิ้มบางๆ ยังไม่ต้องพูดถึงว่าจะช่วยสวีถังหรานหรือไม่ เห็นได้ชัดว่าตระกูลอิ๋งตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าจะเอาชีวิตเขา เขาไม่เชื่อว่าตัวเองยอมอดทนแล้วอีกฝ่ายจะมีเมตตาธรรม ในเมื่อฉีกหน้ากันแล้ว ยังมีอะไรให้เกรงใจกันอีก
ไม่พูดประเด็นนั้นต่อ เหมียวอี้ส่ายหน้าถามว่า “อิ๋งอู๋หม่านจะเล่นลูกไม้อะไรกันแน่?”
ในขณะนี้เอง ทหารสวรรค์คนหนึ่งที่สวมหน้ากากก็เดินออกจากถ้ำด้านข้าง ในถ้ำนั้นมีเผ่าเทพอสรพิษดำและทัพใหญ่แดนรัตติกาลที่ทำหน้าที่ติดต่อกับกำลังพลเบื้องล่าง เหมียวอี้ตั้งใจให้แดนอเวจีเลือกคนไปช่วยจัดการข่าวสารต่างๆ ล้วนเป็นผู้ชำนาญในสนามรบทั้งนั้น
“นายท่าน ฝ่ายศัตรูมีการเคลื่อนไหวแล้ว” นายทหารระดับสูงคนหนึ่งเข้ามารายงานเหมียวอี้
เหมียวอี้กระปรี้กระเปร่าทันที รีบถามว่า “มีความเคลื่อนไหวอะไร?”
นายทหารระดับสูงเดินมาตรงหน้าเข็มทิศ ชี้ตำแหน่งด้านบนแล้วพยักหน้าบอกว่า “กำลังพลสองกลุ่มประมาณหลายสิบคน กลุ่มหนึ่งไปทางนั้น อีกกลุ่มหนึ่งไปทางนี้”
เหมียวอี้จ้องเข็มทิศพลางหรี่ตาเล็กน้อย แล้วพึมพำว่า “ดูจากทิศทาง สงสัยคิดจะปิดทางเข้าออกสระน้ำมังกรดำ คนไม่กี่สิบคนปิดไม่อยู่หรอก คาดว่ากำลังพลที่ซ่อนตัวอยู่คงจะมีไม่น้อย”
ผ่านไปไม่นาน ในถ้ำศูนย์กลางติดต่อกมีแม่ทัพอีกคนรีบเดินเข้ามารายงาน “นายท่าน ฝ่ายศัตรูเคลื่อนกำลังพลประมาณหนึ่งล้าน แต่กลับไม่ได้สวมเกราะรบตำหนักสวรรค์ พอปรากฏตัวก็แบ่งเป็นกลุ่มเล็กแล้วกระจายกันทันที ฝ่ายเรามีสายลับส่วนหนึ่งที่ถูกพบแล้ว ตอนนี้กำลังถูกไล่ฆ่า!”
ในที่สุดก็เริ่มประมือกันแล้ว เหมียวอี้ทำสีหน้าจริงจังทันที
………………