บทที่ 223 จะฟ้องพวกเราหรือไม่
ทันใดนั้นบรรยากาศก็ชะงักงันไปชั่วขณะ
ในวันปกติ เด็กในเมืองกลุ่มนี้จะชอบเที่ยวเตร่ไม่เป็นอันทำอะไร แม้ว่าจะดูท่าทางไม่เอาไหน แต่อายุก็ยังไม่มาก หวังเทาที่เป็นผู้นำของกลุ่มปีนี้เพิ่งจะอายุเก้าขวบเท่านั้น
พวกเขาไม่เคยเจอกับเหตุการณ์แบบนี้มาก่อน มีดที่แวววาวยามต้องแสงเล่มนั้น พาให้ทุกคนโง่งมไปชั่วขณะ
ยิ่งไปกว่านั้นข้างหูของหวังเทาก็มีเสียงร้องตะโกนอย่างน่าเวทนาเพราะความเจ็บปวดและหวาดกลัวดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง มีดสั้นแวววาวในมือของอาจื้อมีเลือดสีแดงสดไหลรินออกมา
เมื่อเห็นสีหน้าของอาจื้อที่เคร่งขรึมจนน่ากลัว จับจ้องอยู่ที่ใบหน้าของอันธพาลเหล่านั้น เขาถือมีดและย่างเท้าเข้าไปหาพวกเขาทีละก้าว
เด็กชายที่ด่าทอเถิงเอ๋อในตอนแรกทนไม่ไหว ร้องไห้ออกมาก่อนใคร
“อย่า อย่าเข้ามานะ! อ๊าก ใคร…ใครเขาใช้มีดในการทะเลาะกันเล่า อย่าเข้ามา! ข้าไม่เอาด้วยแล้ว ข้าจะกลับบ้าน ฮือ!”
อาจื้อหัวเราะด้วยเสียงเย็นเยียบพร้อมก้าวรุดหน้า จากนั้นเขาก็ใช้ชายเสื้อของเด็กชายที่แหกปากร้องตะโกนไม่หยุดผู้นั้นเช็ดมีด หลังจากที่เช็ดจนสะอาดแล้วก็เก็บกลับไป
เมื่อทุกคนเห็นเขาเก็บอาวุธแล้ว ก็พากันถอนหายใจด้วยความโล่งใจโดยมิได้นัดหมาย แต่กลับคาดไม่ถึงว่าเขาจะลงมือต่อ หมัดที่กำไว้แน่นได้ถูกเหวี่ยงออกไปชกหน้าของเด็กผู้ชายตรงหน้าอย่างแรง
ใบหน้าของเขาไร้ความรู้สึกใด นัยน์ตาก็เย็นยะเยือกจนน่ากลัว “ปากสกปรก ข้าจะซัดให้สะอาดเอง!”
อย่าว่าแต่ฉากเลือดสาดเช่นนี้เลย แม้แต่การลงไปร่วมทะเลาะวิวาทกับเด็กกลุ่มเล็ก ๆ เถิงเอ๋อก็ยังไม่เคย เวลานี้เขาจับมือของอาซือแน่น ใบหน้าซีดเผือด รู้สึกว่าเลือดสดตรงหน้าทำให้เขาวิงเวียนไม่หยุด แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้นสมองกลับตื่นตัวเป็นพิเศษ
ครั้นได้ยินคำพูดของอาจื้อ เถิงเอ๋อก็รู้ทันทีว่าหมัดที่เขาชกออกไปคือการล้างแค้นเพื่อตน
อาจื้อยื่นมือออกไปคว้าคอเสื้อของฝ่ายตรงข้ามแล้วกระชากตัวเขาขึ้นมาจากพื้นด้วยมือข้างเดียว ก่อนจะเอ่ยถามด้วยเสียงเย็นเยือกว่า “ยังจะกล้าพูดเหลวไหลอีกหรือไม่?”
เด็กชายที่ถูกต่อยทั้งกลัวทั้งเจ็บปวด มุมปากก็แตกจนเลือดกบปาก ทำได้แค่พูดไปร้องไห้ไปว่า “ข้า ข้าไม่กล้าอีกแล้ว! เขาไม่ใช่ไอ้ขี้โรค แต่เป็นข้าต่างหาก เขาจะมีอายุยืนยาวเป็นร้อยปี ยืนยาวเป็นร้อยปี!”
เด็กผู้ชายเหล่านั้นพากันตื่นตกใจไม่กล้าพูดสิ่งใดอีก แต่กลายเป็นอาซือที่ได้รับการปกป้องจากอาจื้อกลับอยากระบายอารมณ์จึงพูดขึ้นเสียงดังว่า “ท่านพี่เก่งที่สุด!”
เด็กชายที่เอ็ดตะโรเมื่อครู่ไม่กล้าขยับตัวคล้ายกับนกกระทาไปทีละคน และไม่กล้าพูดสิ่งใด ทุกครั้งที่อาจื้อเดินเข้าใกล้หนึ่งก้าว พวกเขาก็พากันถอยหลังหนึ่งก้าวอย่างอดไม่ได้
ในขณะที่อาจื้อกำลังเดินขึ้นหน้า ก็ถูกเหยาเอ้อหลางดึงแขนไว้
บาดแผลบนใบหน้าของเหยาเอ้อหลางค่อย ๆ บวมเป่งขึ้น ฟกช้ำดำเขียวเป็นจ้ำ ๆ ทั้งยังมีรอยปูดนูนขึ้นมาบนหน้าผาก ดูท่าทางจะบาดเจ็บอย่างหนักหน่วงมากกว่าเมื่อครู่
เหยาเอ้อหลางส่ายหน้าให้อาจื้อและพูดเสียงเบาว่า “ต้าเป่า ช่างเถอะ พวกเขารู้ตัวแล้วว่าผิด”
ในยามที่ใบหน้าอันน่าหวาดกลัวของอาจื้อเผชิญหน้ากับเหยาเอ้อหลาง มันกลับอ่อนโยนลงอย่างรวดเร็ว
เขาไม่เข้าใจการกระทำที่เหยาเอ้อหลางต้องการห้ามปรามเขาจึงเอ่ยขึ้น “พี่รอง พวกเขารังแกพี่นะ”
เหยาเอ้อหลางแสดงสีหน้าเคร่งขรึมที่น้อยนักจะได้เห็น ก่อนจะพูดกับอาจื้ออย่างจริงจัง “เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ กล่าวขอโทษก็จบแล้วไม่จำเป็นต้องทำให้เป็นเรื่องใหญ่”
เขารู้จักนิสัยของอาจื้อดี ปกติมักไม่ชอบมีปากมีเสียง เห็นท่าทางอารมณ์ดีอย่างนั้น แต่ในใจกลับดื้อรั้นยิ่งกว่าใคร
ในวันที่เขาและอาซือถูกเจ้าอ้วนหวังและพรรคพวกกลุ่มหนึ่งรังแกในหมู่บ้านตระกูลเหยา ตอนนั้นเขาซูบผอมกว่าในตอนนี้มาก แต่เมื่อเหวี่ยงหมัดออกไป เขากลับสู้สุดแรงเกิดเพื่อโต้ตอบเจตนาร้ายของศัตรู
ต่อมาเหยาเอ้อหลางก็ได้รู้ว่าญาติผู้น้องได้เข้าไปชกเจ้าอ้วนหวังเป็นการส่วนตัวอีกฉากหนึ่ง แต่ครั้นเห็นอาจื้อไม่ได้แสดงความรู้สึก เหยาเอ้อหลางจึงแกล้งทำเป็นไม่มีอะไรเกิดขึ้นเช่นกัน
เพียงแต่วันนี้เขาใช้มีดทำร้ายผู้อื่น เหยาเอ้อหลางจึงอดหวาดกลัวอยู่ในก้นบึ้งหัวใจไม่ได้ เป็นกังวลว่าเรื่องมันจะบานปลายไปถึงจุดจบที่ยากเกินจะควบคุม
อาจื้อไม่ได้ไร้ซึ่งสติปัญญาอย่างที่เหยาเอ้อหลางเป็นกังวล ตรงกันข้ามเขารู้ตัวทุกอย่าง
เรื่องที่เหนือความคาดหมายคือมีดที่เขาพกมาก็เพื่อมาข่มขู่คนกลุ่มนี้ ให้พวกเขาไม่มีโอกาสทำร้ายอาซือและเถิงเอ๋อ ตอนนี้ในเมื่ออีกฝ่ายไม่กล้าจะสวนกลับแล้ว เขาจึงเก็บอาวุธสังหาร
เขามองไปทางหวังเทาและพรรคพวกคนอื่นด้วยสายตาเย็นชา “ขอโทษด้วย”
จากนั้นลูกกระจ๊อกที่ติดตามหวังเทาทั้งสามคนก็รีบกล่าวขอโทษนับครั้งไม่ถ้วน ไอ้คนขี้ขลาดตาขาวก็เอาแต่ร้องห่มร้องไห้ ลั่นวาจาสาบานว่าต่อไปถ้าเจอพวกเขาจะพยายามบ่ายเบี่ยง เมื่อหวังเทาถูกอาจื้อจับจ้องด้วยสายตาเย็นเยือกเช่นนี้ ก็รู้สึกเหมือนกับถูกสัตว์ป่าที่พร้อมจะจู่โจมเล็งเป้าหมายอยู่ก็มิปาน หน้าผากของเขามีเหงื่อเย็นผุดซึมออกมาเป็นระลอก
เขากัดฟันกรอด พร้อมกับแขนที่เจ็บปวดจนชาเหมือนท่อนไม้ จากนั้นก็พูดเสียงแหบแห้งกับเหยาเอ้อหลางว่า “ขอโทษนะ ข้าผิดเอง”
เหยาเอ้อหลางถอนหายใจด้วยความโล่งใจ
เขาไม่กลัวว่าหวังเทาจะหน้าอย่างลับหลังอย่าง หากกลัวก็คงกลัวว่าเขาจะหยิ่งทระนงเกินไป จนสุดท้ายก็ไม่รู้ว่าตัวเองควรจะยุติอย่างไร
เรื่องในวันนี้ในเมื่อกล่าวขอโทษไปแล้ว ก็ถือว่าจบสิ้น ต่อให้วันข้างหน้าเขาต้องการกลับมาแก้แค้น ก็เป็นเรื่องของวันข้างหน้า
ในปากของเหยาเอ้อหลางเต็มไปด้วยเลือด แค่ขยับก็เจ็บแล้วแต่ยังฝืนเอ่ย “ในเมื่อพวกเจ้ากล่าวขอโทษแล้ว งั้นเราก็ไม่ติดใจเอาความ เราพอแค่นี้เถอะ! อาจื้อ กลับกันเถอะ”
เขาดึงเสื้อของอาจื้อ อาซือและเถิงเอ๋อยังคงมองอาจื้ออยู่อีกด้านด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยอารมณ์อยากกลับบ้าน
อาจื้อพยักหน้า ตอบรับคำพูดของญาติผู้พี่ เด็กผู้ชายที่มองพวกเขาอยู่ด้านข้างก็พากันถอนหายใจ
ก่อนที่เด็กทั้งสี่คนจะเดินจากไป อาจื้อได้ขยับเข้าใกล้หวังเทา และพูดกับเขาเสียงต่ำประโยคหนึ่ง ซึ่งทุกคน ณ ที่นี้ต่างไม่มีใครได้ยิน
รอจนกระทั่งเหล่าตัวซวยพวกนั้นเดินออกไปไกลแล้ว แม้แต่เสียงฝีเท้าก็ไม่ได้ยิน หวังเทาและพวกจึงได้รู้สึกเหมือนรอดตายจากหายนะ กลับมามีชีวิตอีกครั้ง
เด็กชายที่สนิทกับหวังเทาที่สุดคนหนึ่งได้เดินขึ้นหน้า มองเขาด้วยความกังวล “แขนของท่านเป็นอย่างบ้าง?”
หวังเทาเหมือนจะได้สติกลับมา สั่นสะท้านไปทั้งตัว
ริมฝีปากของหวังเทาสั่นระริก คำที่พูดออกมาและเส้นเสียงล้วนแต่สั่นเครือ “ไม่ ไม่เป็นไร”
เด็กชายถามอีกว่า “พี่เทา ไอ้ตัวซวยนั้นพูดอะไรกับพี่?”
ครั้นหวังเทานึกถึงสายตาที่อีกฝ่ายมองมาทางตนอย่างไร้ความรู้สึกเมื่อครู่ ก็พลันตัวแข็งทื่อเหมือนกับตกลงในไปถ้ำน้ำแข็ง ผ่านไปเนิ่นนานก็ยังไม่รู้สึกตัว
เขารู้สึกว่าฟันกรามด้านหลังของตัวเองกำลังกระแทกกันจนมิอาจควบคุมได้ จึงพยายามออกแรงเปล่งเสียงพูดกับน้องชายที่อยู่ข้างกายว่า “เขาบอกว่า เขาบอกว่า ถ้ากล้าบอกผู้ใหญ่ บางทีอาจจะสร้างปัญหาให้พวกเขาในวันข้างหน้า…”
เด็กผู้ชายเหล่านั้นถอนหายใจ กระทั่งมองเห็นถึงความรู้สึกที่สะท้อนออกมาทางแววตาของหวังเทาอย่างชัดเจน จึงพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่า “เขารู้ว่าบ้านข้าขายเนื้อ เราทุกคนจะเป็นเหมือนหมูที่แขวนอยู่หน้าร้าน ถูกใบมีดกรีด และค่อย ๆ เฉือนเนื้อออก…”
ยามอู๋ในช่วงฤดูวสันต์นั้นอากาศดียิ่ง แสงแดดสาดส่องเข้ามาในลานเล็กที่ทั้งแคบและรกรุงรังแห่งนี้ ทำให้ทั่วทุกหนแห่งถูกปกคลุมด้วยความอบอุ่นจากแสงสีทองเรืองรองหนึ่งชั้น แต่คนที่ถูกแดดสาดส่องกลับหนาวสะท้านไปทั่วทั้งตัว เงียบกันอยู่เนิ่นนาน
อีกด้านหนึ่งในระหว่างที่เด็กทั้งสี่คนกำลังเดินกลับบ้านช้า ๆ พวกเขาก็เงียบกันอยู่เนิ่นนานเช่นกัน
เหยาเอ้อหลางเปล่งเสียงเป็นคนแรก เขาพูดกับเหล่าน้องชายและน้องสาวว่า “เรื่องในวันนี้ กลับไปห้ามพูดโดยเด็ดขาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องที่ต้าเป่าพกมีดออกมา จะต้องปิดปากเงียบ เข้าใจหรือไม่?”
เหยาเอ้อหลางมักสร้างปัญหามาตั้งแต่เด็กจนโต จึงจับจุดอ่อนของผู้ใหญ่ได้ชัดเจน
เรื่องเล็กน้อยพวกผู้ใหญ่ล้วนไม่สนใจ แต่ถ้าเหยาซูและหลินเหรารู้เรื่องที่อาจื้อใช้มีด อย่างน้อยเขาจะต้องถูกลงโทษสถานหนักแน่
อาจื้อมองไปทางญาติผู้พี่แวบหนึ่ง อาซือและเถิงเอ๋อก็พากันพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง
อาซือเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “แผลบนหน้าของพี่รองเจ็บมากหรือไม่?”
สีหน้าของนางแสดงออกถึงความเป็นห่วงและกังวลอย่างเห็นได้ชัด เหยาเอ้อหลางมองไปทางน้องสาวและยิ้ม “ไม่เจ็บเลย”
ตั้งแต่เด็กจนโตเหยาเอ้อหลางผ่านการทะเลาะวิวาทมานับครั้งไม่ถ้วน แผลเล็กแค่นี้เขาไม่ได้ใส่ใจนัก
อาซือเบะปากและพูดอย่างไม่สบอารมณ์ “คนเหล่านี้น่ารังเกียจยิ่งนัก! พี่รองไปหาเรื่องพวกเขาทำไม?”
เหยาเอ้อหลางพูดขึ้น “ไม่ใช่เพราะเจ้าอ้วนหวังคนนั้นหรือไร วันนี้หลังจากที่ข้ายิ่งธนูเสร็จก็กลับมารอพวกเจ้า คาดไม่ถึงว่าจะเจอกับเจ้าอ้วนหวังที่เข้าเมืองมาพอดี เมื่อเขาเห็นข้าเดิมทีก็อยากจะหลบเลี่ยง แต่ดันถูกญาติผู้พี่ของเขาคว้าตัวไว้ คนพวกนั้นก็เลยมาล้อมตัวข้า”
อาซือขมวดคิ้วแน่น “เหตุใดพวกเขาต้องมารังแกพี่รองด้วย?”
เหยาเอ้อหลางพูดอย่างจนปัญญา “ก็เพราะอยากได้เงินน่ะสิ ข้าไม่ให้ ก็เลยถูกรุมทำร้ายไปหนึ่งฉาก”
อาซือมองดูใบหน้าที่ฟกช้ำดำเขียวของญาติผู้พี่ จึงอดพูดด้วยความโกรธไม่ได้ “วันนี้ท่านพี่ทำถูกแล้ว! ควรจะต้องสั่งสอนคนพวกนี้บ้าง ชักไร้เหตุผลเกินไปแล้ว!”
เหยาเอ้อหลางยิ้มอย่างลำบากใจ แต่ในใจครุ่นคิดพวกเจ้าสองพี่น้องช่างเหมือนกันเสียจริง ปกติก็ไม่ค่อยมีปากมีเสียง ผลสุดท้ายกลับเห็นเลือดสดทันทีที่ลงมือ
ในตอนที่อาซือใช้หินทุบศีรษะของอีกฝ่าย แม้แต่เหยาเอ้อหลางก็ยังตกใจ
ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงบาดแผลจากการโดนอาจื้อกรีดจนเป็นเส้นยาวอยู่บนแขนของหวังเทา…
กระทั่งได้ยินเถิงเอ๋อพูดด้วยความกังวลว่า “พวกเขาจะกลับไปฟ้องผู้ใหญ่หรือไม่? ถึงตอนนั้นอาจื้อจะโดนลงโทษไหม?”
อาซือกำลังจะพูดว่าไม่มีทาง แต่ก็พลันนึกถึงบาดแผลทางยาวบนแขนของอีกฝ่ายขึ้นมาได้ อย่างน้อยก็ต้องเรียกผู้ใหญ่มาดู ถึงตอนนั้นก็ต้องมาลุ้นกันว่าจะฟ้องพวกเขาหรือไม่…
จนเห็นอาจื้อส่ายหน้า และปลอบใจเถิงเอ๋อว่า “ไม่หรอก พวกเขาไม่กล้า”
………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
ถ้าผู้ใหญ่รู้ก็น่าตกใจอยู่ล่ะค่ะ เล่นฝ่ายตรงข้ามเสียเลือดตกยางออกขนาดนี้ ดีที่ไม่บันดาลโทสะทำจนถึงแก่ชีวิต
ไหหม่า(海馬)