บทที่ 226 คิดจะยกซานเป่าให้เป็นบุตรบุญธรรม
หลินเหราพยักหน้าและพูดเสียงเบา “หลุมฝังศพที่อยู่ถัดไปนั้นเป็นของท่านปู่ ส่วนของท่านพ่อและท่านแม่ ถูกฝังอยู่ที่นี่ขอรับ”
ในยามที่ได้ยินหลินเหราตอบกลับอย่างมั่นใจนั้น ความสงบที่เกาะกุมอยู่ในใจมาช้านานของเซี่ยเชียนเหมือนถูกทำลายลงไม่เหลือชิ้นดี โลหิตหล่อเลี้ยงหัวใจที่เดิมทีนิ่งสงบไร้เกลียวคลื่นก็เกิดการสั่นกระเพื่อมขึ้นอย่างฉับพลัน ทำให้ทั่วทั้งร่างของเขาตกอยู่ในความรู้สึกที่ไม่คาดคิดบางอย่าง
บ่งบอกว่าความรู้สึกที่ห่างหายไปนานได้ฟื้นกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง
ลำคอของเขาแห้งผาก แม้แต่เสียงก็ดูราวกับไม่ใช่ของตัวเอง กระทั่งขานเรียกออกไปหนึ่งคำ “พี่หญิง….”
หลินเหรามองไปยังใบหน้าด้านข้างของเขา ก่อนจะพูดเสียงต่ำว่า “ท่านแม่และท่านพ่อถูกฝังพร้อมกัน นั่นคือสถานที่ที่ท่านปู่เลือกไว้ บอกว่าอีกสองสามปีหลังจากนั้นต้องให้ลูกชายและลูกสะใภ้มาเฝ้าอยู่ข้างกายของเขา”
แพขนตาที่หลุบต่ำลงของเซี่ยเชียนค่อย ๆ เปียกชุ่มไปด้วยหยาดน้ำตาที่รื้นขึ้นมา ขับให้ขนตาที่มีสีดำอยู่แล้วดกดำยิ่งกว่าขนอีกา
เห็นได้ชัดว่าแม้ใบหน้ายังไม่ได้แสดงความรู้สึกใด แต่นัยน์ตาคู่นั้นกลับเปล่งประกายระยิบระยับ
หยดน้ำตาใสวาววับได้ไหลลงมาอาบแก้มทั้งสองด้าน ก่อนหยดลงไปบนหญ้าสีเขียวขจีโดยไร้ซึ่งอุปสรรคใด สิ่งที่สัมผัสกับพื้นดินต่อจากนั้น ก็คือหัวเข่าของเซี่ยเชียน
เขาพูดด้วยเสียงแหบแห้ง “พี่หญิง เชียนเอ๋อมาหาท่านแล้ว”
ในสัมภาระที่เขาแบกอยู่บนหลังนั้นคือกระดาษทองและธูปหอมที่เขาซื้อมาระหว่างเดินทาง เขาจุดธูปอย่างเงียบ ๆ หลังจากที่กราบไหว้แล้วก็ปักลงไปบนพื้นดิน
รอบตัวนอกจากเสียงต้นไม้ใบหญ้าที่พลิ้วไสวยามต้องลมแล้ว ก็ยังมีเสียงแมลงและนกขานร้องเป็นครั้งคราว เซี่ยเชียนรู้สึกว่าที่นี่ช่างเงียบสงบนัก ราวกับว่าทุกสิ่งทุกอย่างต่างพากันตั้งใจกดเสียงให้ต่ำลงเพื่อขับเสียงบทสนทนาของเขาและผู้เป็นพี่สาวให้ชัดขึ้น
“พี่หญิง ท่านรู้หรือไม่? ตอนนี้ตระกูลเซี่ยได้อยู่อย่างสงบแล้ว ท่านพ่อได้เลื่อนตำแหน่งเป็นไท่ฟู่* ส่วนท่านแม่ก็ได้ยศตำแหน่งของฮูหยินขุนนางคืนมา รายชื่อของลูกหลานตระกูลเซี่ยผู้ซึ่งถูกใส่ร้ายจนได้รับความไม่เป็นธรรมทุกคน ตอนนี้ต่างถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์เรียบร้อยแล้ว ทุกรายชื่อล้วนปรากฎอยู่ในนั้น”
*ไท่ฟู่ ตำแหน่งมหาราชครู ซึ่งเป็นตำแหน่งสูงสุด ในฐานะที่เป็นราชครูของพระเจ้าแผ่นดิน
“พี่หญิง ท่านดีใจหรือไม่? วันนั้นที่เราหนีตายออกมาได้ ดิ้นรนเอาตัวรอดสารพัด ตกกลางคืนต้องหลบ ๆ ซ่อน ๆ ไม่ได้หลับไม่ได้นอนก็เพื่อวันนี้! พี่หญิง ท่านดีใจหรือไม่?”
สายลมในห้วงอากาศพัดพาไอเย็นสบายเข้ามาปะทะ ทำให้ปอยผมเล็ก ๆ ที่หลุดลุ่ยออกมาจากมวยผมของเซี่ยเชียนปรกลงบนหน้าผาก เหมือนการปลอบโยนอันอบอุ่นจากพี่สาวที่ปลอบประโลมชายหนุ่มผู้คุกเข่าร้องไห้เหมือนเด็กน้อยบนพื้นหญ้าผู้นี้
เซี่ยเชียนหลั่งน้ำตาอยู่เงียบ ๆ ความว่างเปล่าที่เกาะกุมอยู่ในใจเนิ่นนานได้ถูกปกคลุมไปด้วยความเสียใจมหาศาล
เวลานี้เองเขาเพิ่งรู้ว่าความเกลียดชังจากการถูกใส่ร้ายจนตาย ความอัปยศที่ได้รับจนต้องอยู่อย่างหลบ ๆ ซ่อน ๆ ความเจ็บปวดจากการจากไปของผู้เป็นพี่สาวในครอบครัวตระกูลเซี่ย ล้วนถูกซ่อนลึกอยู่ในก้นบึ้งหัวใจของเขามาโดยตลอด และมันไม่เคยจางหายไปแม้เสี้ยววินาทีเดียว
หลังจากหยาดน้ำตาพรั่งพรูออกมาแล้ว ในที่สุดเขาก็รู้สึกเหมือนกับได้ยกภูเขาออกจากอก
วันนี้ถือเป็นวันที่ครอบครัวตระกูลเซี่ยได้รับการชำระล้างมลทิน และปลดเปลื้องภาระทุกอย่างแล้ว
“พี่หญิง ข้าขอโทษ วันนี้ข้าเพิ่งจะมาเยี่ยมท่าน รอข้านานหรือไม่? ท่านยังอยู่ใช่ไหม? ท่านเคยพูดไว้ หากไม่ได้เจอเชียนเอ๋อ ท่านจะรออยู่ที่เดิมเสมอ …แต่วันที่เราแยกทางกัน ข้าย้อนกลับไปนับครั้งไม่ถ้วน แต่กลับหาท่านไม่เจอ ท่านในตอนนี้ยังรอข้าอยู่ใช่หรือไม่?”
ใบหน้าของชายผู้นี้นิ่งสงบ น้ำเสียงก็นิ่งสงบ มีเพียงหยดน้ำตาที่ไหลรินออกมาอย่างต่อเนื่อง ระบายความเสียใจและความเจ็บปวดภายในใจออกมา
ในยามที่เซี่ยเชียนกำลังคุกเข่าอยู่บนพื้นหญ้าแห่งนี้ หลินเหราได้ยืนอยู่ในที่ที่ไกลออกไปเพียงเล็กน้อยอย่างเงียบงัน
เขารู้ว่าเซี่ยเชียนมีคำพูดมากมายที่อยากบอกกับสตรีผู้มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับพวกเขาผู้นั้น ในตอนที่รู้ว่าที่นี่คือหลุมฝังศพของนาง หลินเหราก็เคยมีสภาพเช่นเดียวกับเซี่ยเชียนในวันนี้ นั่งคุกเข่าร้องไห้อยู่เงียบ ๆ ที่นี่
พวกเขาคล้ายคลึงกัน แต่กลับมีจุดแตกต่างกัน
หลังจากที่หลินเหราร้องไห้เสร็จแล้วความรู้สึกที่ได้รับคือความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งยิ่งกว่าเดิม แต่เซี่ยเชียนเล่า? เมื่อน้ำตาของเขาแห้งเหือด เขายังคงอยู่ในโลกใบนี้ แต่จะมีใครหรือสิ่งใดให้อาลัยอาวรณ์อีกอย่างนั้นหรือ?
……
หลังจากที่ทั้งสองคนกราบไหว้หลุมศพเสร็จและเดินกลับนั้น เซี่ยเชียนก็ได้กลับมานิ่งเฉยและเงียบสงบเฉกเช่นวันปกติ มีเพียงดวงตาของเขาที่ยังคงแดงก่ำเล็กน้อย บ่งบอกว่าชายผู้นี้ได้ประสบพบเจอกับความรุนแรงทางอารมณ์มาก่อน
กระทั่งได้ยินเขาถามหลินเหรา “ท่านแม่ของเจ้า…ถูกผู้อื่นพบตัวได้อย่างไร? นางจากโลกนี้ไปได้อย่างไร?”
หลินเหราเพิ่งได้รู้ความจริงของเรื่องราวจากปากคนในตระกูลหลินเมื่อไม่นานมานี้ เขาจึงควบม้าส่งจดหมายตรงถึงเมืองหลวง ทว่าในจดหมายกลับบอกแค่ให้เซี่ยเชียนมาไหว้หลุมศพพี่สาว ไม่มีเรื่องอื่น
เวลานี้เมื่อได้ยินเซี่ยเชียนเอ่ยถาม หลินเหราจึงไม่ปิดบัง เล่าทุกอย่างให้เขาฟังอย่างละเอียด
“การพูดจาและอากัปกิริยาของท่านแม่ล้วนไม่เหมือนกับหญิงทั่วไป หลังจากที่แต่งงานออกเรือนแล้ว แม้ว่าจะไม่ค่อยออกจากบ้าน แต่กลับได้รู้จักมักจี่กับเพื่อนสตรีหลายคน ตอนนั้นมีหญิงคนหนึ่งเข้ามาคุยกับท่านแม่ ซึ่งท่านแม่เองก็เชื่อใจนางมาก และก็เป็นนางที่สังเกตเห็นสถานะของท่านแม่ สุดท้ายก็ทรยศท่านแม่”
ในใจของเซี่ยเชียนไม่ได้ตื่นเต้นมากนัก ระหว่างที่เขาลี้ภัยหนีหัวซุกหัวซุนไปกับพี่สาวนั้น เขาได้เรียนรู้ว่าใจคนเรานั้นยากหยั่งถึง เมื่อครั้งที่ท่านพ่อยังเยาว์วัยเขามีเพื่อนมากมาย แต่ในวันที่ตระกูลเซี่ยตกระกำลำบาก คนเหล่านั้นต่างพากันหลบซ่อนตัว บ้างหนีหายโดยสัญชาตญาณ บ้างถึงขั้นคิดอยากจับตัวสองพี่น้องอย่างพวกเขาไปส่งราชสำนักด้วยตัวเองเสียด้วยซ้ำ
แต่สำหรับหญิงที่คิดทรยศพี่สาว เขาไม่มีทางอ่อนข้อให้
เซี่ยเชียนจึงเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือกว่า “แล้วตอนนี้คนผู้นั้นอยู่ที่ใด?”
หลินเหราอ่านความคิดของเซี่ยเชียนออก จึงทำได้แค่ส่ายหน้า “ตายแล้วขอรับ”
เซี่ยเชียนขมวดคิ้ว “ตายแล้ว?”
หลินเหราพยักหน้า
วันนั้นเขาไปใช้หนี้แทนหลินหง และได้รู้เรื่องนี้จากปากของพ่อหลิน จึงได้แต่นิ่งเงียบอยู่เนิ่นนานอย่างอดไม่ได้
“หญิงคนนั้นได้ไปรายงานกับทางการในวันที่สอง ก่อนที่คนของทางการจะมานั้น ท่านพ่อได้เข้าไปในบ้านหลังนั้นเพียงลำพัง พร้อมกับมีดในมือ เขาสังหารทุกคนในบ้านจนเกลี้ยงต่อหน้าสตรีผู้นั้น…แม้แต่ลูกเล็กเด็กแดงก็ไม่มีเว้น สตรีผู้นั้นจึงกลายเป็นบ้าในที่สุด กระทั่งคนของขุนนางมาตรวจสอบถึงในบ้าน ก็ไม่มีใครสามารถให้การได้อีกแล้ว”
“เขาปกป้องท่านแม่ ตัวเองกลับถูกตัดสินโทษประหารชีวิต ท่านแม่ฝังร่างที่ไร้ลมหายใจของเขา แล้วตายตามไป ทิ้งข้าที่ยังแบเบาะไว้เพียงลำพัง ท่านปู่สั่งให้ผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมดปิดบังเรื่องนี้ไว้อย่างมิดชิด ประกาศต่อสาธารณะว่าลูกชายคนโตของตระกูลเป็นเด็กกำพร้าที่ถูกเก็บมาเลี้ยง หลังจากที่ตามหาพ่อแม่เจอแล้วก็ปล่อยเขาไป…ดังนั้นลูกชายคนที่สองของตระกูลหลินจึงกลายเป็นลูกคนเดียว ส่วนข้าก็กลายเป็นลูกชายของท่านอา”
แม้ว่าเขาจะไม่เคยเจอหน้าพ่อผู้ให้กำเนิด แต่เขาก็กล้าเมินเฉยต่อความผิดบาปทั้งปวง คนที่ยอมทำเรื่องที่แสนโหดร้ายในสายตาของคนทั่วไปเพื่อปกป้องคนคนเดียว เขาจะต้องรักท่านแม่มากอย่างแน่นอน
หลังจากที่เซี่ยเชียนได้ฟังเรี่องราวทั้งหมดจบลง เขาก็เงียบไปชั่วขณะ สุดท้ายก็พูดว่า “ในตอนที่พี่หญิงอยู่ในหมู่บ้านตระกูลหลิน คิดว่านางน่าจะมีความสุขและสงบมาก พ่อของเจ้าปกป้องนางเป็นอย่างดี”
นัยน์ตาของหลินเหราหม่นหมองลงโดยไม่พูดสิ่งใด
กระทั่งได้ยินเซี่ยเชียนเอ่ยถามขึ้นว่า “ได้ยินว่าเจ้าไม่เคยอยู่ในตระกูลหลินอย่างสงบสุขเลย อยากจะเปลี่ยนเป็นแซ่เซี่ย กลายเป็นหลานชายของตระกูลเซี่ยหรือไม่?”
หลินเหราส่ายหน้า “ข้าเป็นสายเลือดของตระกูลหลิน เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่ตระกูลหลินปฏิบัติกับข้า เหตุใดท่านน้าต้องทำเช่นนี้ขอรับ?”
สีหน้าของเซี่ยเชียนยังคงนิ่งเฉย “เจ้าไม่อยากก็ช่างเถอะ แค่นึกขึ้นได้เท่านั้น ตัวข้าไม่คิดที่จะแต่งงาน คงถึงเวลาแล้วกระมังที่ตระกูลเซี่ยจะต้องไร้ซึ่งทายาท”
การสืบทอดทางสายเลือดเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดของทุกตระกูล ไม่ว่าจะเป็นขุนนางชั้นสูง หรือคนสามัญธรรมดาทั่วไป การสืบสกุล ล้วนแต่เป็นเรื่องอันศักดิ์สิทธิ์ยิ่งกว่าความตายเสียอีก
หลินเหราขมวดคิ้วเล็กน้อย “ท่านลุงก็ยังหนุ่มยังแน่น เหตุใดถึง…”
เซี่ยเชียนยังมีอายุไม่มากนัก เขามีหน้าตาขาวเนียนสะอาดสะอ้าน ดูอ่อนเยาว์ยิ่ง
หากยืนอยู่กับหลินเหรา คนภายนอกจะต้องคิดว่าเป็นพี่น้องกัน ไม่ใช่น้าหลานกันเป็นแน่
เขาส่ายหน้า “ข้าไม่ชอบมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น คู่ชีวิตย่อมไม่เกิด”
ถ้าเหยาซูอยู่ที่นี่ด้วย จะต้องมองออกอย่างแน่นอนว่าเซี่ยเชียนนั้นได้รับความกระทบกระเทือนด้านจิตใจอย่างรุนแรง จนทำให้เขาไม่อยากมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น ไม่สนใจต่อเรื่องราวส่วนใหญ่ในใต้หล้าอย่างสิ้นเชิง ทั้งยังมักจะมีทัศนคติในเชิงลบบางอย่างเพื่อหนีสภาพสังคมที่ต้องเจอ
แต่หลินเหราไม่ได้รู้สึกว่าการที่เซี่ยเชียนเป็นเช่นนี้เป็นเรื่องไม่ปกติเสียทีเดียว
เขาแค่พยักหน้าบ่งบอกว่าตัวเองเข้าใจ จากนั้นก็พูดต่อว่า “ซานเป่ายังเด็ก ท่านน้าอยากเจอเขาหรือไม่ขอรับ?”
หลินเหราและเซี่ยเชียนต่างก็เป็นผู้ที่เฉลียวฉลาด การพูดคุยของพวกเขา แค่เกริ่นคำแรก อีกฝ่ายก็เข้าใจความหมายทั้งหมดที่แฝงอยู่ในคำพูดแล้ว
เวลานี้หลินเหราได้เอ่ยถึงซานเป่า เพราะเกิดความคิดเกี่ยวกับการรับหลานเป็นลูกบุญธรรม ขอแค่เซี่ยเชียนพยักหน้า เขาก็จะให้ซานเป่าเปลี่ยนเป็นแซ่เซี่ย
เรื่องการรับหลานเป็นลูกบุญธรรมมักจะเกิดขึ้นในสมัยโบราณ ทารกวัยแรกเกิดในยุคสมัยนี้มักจะตายก่อนวัยอันควร การยกลูกชายให้เป็นลูกบุญธรรมของพี่น้อง หรือตระกูลสามีของน้องสาวไม่ก็พี่สาว ก็เพื่อให้สืบทอดสกุลต่อไป
หลินเหรามีลูกชายสองคน การยกคนเล็กให้สืบทอดสกุลของตระกูลฝ่ายแม่ ก็ย่อมเป็นเรื่องปกติ
เซี่ยเชียนเข้าใจความหมายของหลินเหรา แต่กลับปฏิเสธ “ไม่ต้องหรอก ตระกูลเซี่ยเลื่องลือมานมนานแล้ว ความเสื่อมโทรมของวงศ์ตระกูลเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในชั่วพริบตาเดียว หากเบื้องบนกำหนดให้ต้องตาย ก็ไม่จำเป็นต้องมีผู้สืบทอดอีก”
หลินเหราไม่ได้บังคับ เพียงพูดว่า “แม้ว่าจะไม่เกี่ยวข้องกับตระกูลเซี่ย แต่ท่านน้าควรไปเยี่ยมที่บ้านนะขอรับ”
เซี่ยเชียนมองหลินเหราด้วยสายตาประหลาดใจแวบหนึ่ง ครั้นเห็นเขายังยืนกราน จึงได้พยักหน้าตกลง
ถ้าเป็นหลินเหราในวันปกติ คงไม่มีทางเสนอตัวเช่นนี้เด็ดขาด
นิสัยของเซี่ยเชียนเดิมทีก็เงียบขรึมอยู่แล้ว ไม่ชอบความวุ่นวาย หากเขาไม่อยากเจอเหยาซูและพวกเด็ก ๆ หลินเหราก็ไม่บังคับ
วันนี้เซี่ยเชียนร้องไห้ต่อหน้าหลุมศพที่ไร้วิญญาณอย่างหนักหน่วง แม้ใบหน้ายังคงนิ่งเฉยคล้ายกับท่อนไม้ ทำให้หลินเหราสัมผัสได้ถึงส่วนที่เปราะบางที่สุดในใจของตนไม่มากก็น้อย
ซึ่งหลินเหราเองก็สัมผัสได้ถึงความเบื่อโลกภายใต้ความนิ่งสงบของเซี่ยเชียน และความเสียใจที่มิอาจปิดบังได้
ถ้าได้เห็นคนที่มีความสัมพันธ์กันทางสายเลือดสามารถทำให้เขาเป็นที่นิยมจนทำให้เขาเบื่อหน่าย หลินเหราก็จะลองทำสักตั้ง…
…………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
ยกซานเป่าให้เป็นลูกบุญธรรมก็ดีนะคะ ท่านน้าจะได้มีสภาพจิตใจดีขึ้นบ้าง
ไหหม่า(海馬)