ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม [穿书后,我成了三个反派的娘] – บทที่ 242 ใต้เท้าหลินเหราไม่ต้องกังวล

ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม [穿书后,我成了三个反派的娘]

บทที่ 242 ใต้เท้าหลินเหราไม่ต้องกังวล

บทที่ 242 ใต้เท้าหลินเหราไม่ต้องกังวล

แม้ว่าเหยาเฉาจะไม่พูด แต่ในใจกลับยังเป็นกังวลอนาคตอยู่ไม่น้อย

เดิมทีเขาไม่อยากถูกผูกมัดด้วยเครื่องแบบขุนนาง จวนตรวจการก็ไม่มีตำแหน่งชั่วคราว แต่บัดนี้…

หวังเพียงว่าองค์จักรพรรดิจะแค่ฉุกคิด อยากเห็นสายเลือดตระกูลเซี่ยเท่านั้น ไม่ได้มีความสนใจต่อเขามากนัก

ครั้นเห็นหลินเหราไม่พูดสิ่งใดไปชั่วขณะ เหยาเฉาจึงขานเรียกเขาหนึ่งครั้ง “อาเหรา?”

หลินเหราหันกลับไปด้วยสีหน้าแปลกใจ น้อยนักที่ใบหน้าอันหล่อเหลานี้จะแสดงสีหน้างงงวย “มีอะไรหรือขอรับ?”

เหยาเฉาเพิ่งค้นพบว่า ที่เขามีสีหน้าไร้ความรู้สึกเมื่อครู่ เป็นเพราะกำลังเหม่อลอย

ปกติแล้วเวลาอยู่ในจวนตรวจการ หลินเหราล้วนแต่มีท่าทางเย็นชาและเด็ดขาด น้อยนักที่จะได้เห็นเขาในมุมผ่อนคลายเช่นนี้ ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงอาการเหม่อลอย

เหยาเฉายิ้ม​ จากนั้นก็ทิ้งความกลัดกลุ้มใจไว้ข้างหลัง และเอ่ยถามด้วยความอยากรู้ว่า “เจ้ากำลังคิดสิ่งใด?”

ชายหนุ่มชี้ไปยังแผงลอยริมถนน หัวคิ้วขมวดเข้าหากันเล็กน้อย ราวกับว่ามีเรื่องให้ลังเลตัดสินใจไม่ได้ “ข้ากำลังคิดว่าน่าจะมีของฝากติดไม้ติดมือกลับไปให้อาซูและเด็ก ๆ”

สายตาของเหยาเฉามองไปตามมือของหลินเหราตรงไปยังริมถนน ซึ่งสบเข้ากับสายตาของแม่ค้าแผงลอยวัยเยาว์ผู้หนึ่งเข้าพอดี

นางกำลังมองมายังเขาอย่างนิ่งงัน ราวกับคาดไม่ถึงว่าจะถูกเขาจับได้ จู่ ๆ ใบหน้าของนางก็ขึ้นสีแดงระเรื่อ และมีท่าทางกระวนกระวายใจไม่น้อย

เหยาเฉาส่งยิ้มอย่างใจดีให้นางพลางพยักหน้า

หญิงสาวผู้นั้นเห็นทั้งสองคนกำลังจะเดินจากไป ในที่สุดก็รวบรวมความกล้าขานเรียกออกไป “คุณชาย ช้าก่อน”

แต่ครั้นขานเรียกแล้ว นางกลับรู้สึกเสียใจ ใบหน้าซับสีแดงระเรื่อจนไม่กล้าจะเงยขึ้น

เสื้อผ้าที่คุณชายสองคนนี้สวมใส่ล้วนดูไม่ธรรมดา มองแวบเดียวก็รู้ว่าไม่ได้มีสถานะทั่วไป นางกล้าหาญเช่นนี้ได้อย่างไร กล้าเรียกพวกเขากลางถนนเช่นนี้ได้อย่างไร…

ระหว่างที่หญิงสาวผู้นั้นกำลังสับสนและเสียใจอยู่นั้น สายตาเบื้องหน้าก็ปรากฏรองเท้าหุ้มข้อเท้าสีเมล็ดข้าวคู่หนึ่ง ครั้นมองเลยขึ้นไป ก็เห็นชุดคลุมสีอ่อนของคุณชายที่สบสายตาของตนเมื่อครู่ จึงลุกพรวดขึ้นยืนหน้าแผงลอยของตนทันที

นัยน์ตาสีอ่อนของเขาเปล่งประกายราวกับแก้วหลิวหลีที่อยู่ภายใต้แสงอาทิตย์ และกำลังมองนางด้วยสายตาอบอุ่น

นางไม่รู้ว่าจะต้องทำตัวอย่างไร พลันได้ยินคุณชายใบหน้าขาวเนียนดุจหยกเอ่ยถามว่า “แม่นางอยากให้เราดูสิ่งของที่เจ้าขายอย่างนั้นหรือ?”

หญิงสาวผู้นั้นไม่รู้ว่าเหยาเฉาได้กู้หน้าให้ตัวเองแล้ว ในใจกลับถอนหายใจด้วยความโล่งอก รีบพยักหน้า “ใช่ ใช่ เชิญคุณชายดูก่อนเจ้าค่ะ”

จากนั้นก็ได้ยินเขาขานเรียกสหายของตัวเอง “อาเหรา เจ้าอยากซื้อของสักอย่างไม่ใช่หรือ? มิสู้มาดูก่อน”

ครั้นชายหนุ่มที่เดินเคียงคู่กันเมื่อครู่ได้ยินก็เดินรุดขึ้นหน้า มายืนอยู่ตรงหน้าแผงลอย

หญิงสาวจึงได้เห็นอย่างชัดเจน

ชายหนุ่มที่แต่งกายด้วยชุดคลุมสีเข้มข้างกายเขาผู้นี้ มีองค์ประกอบทั้งห้าอันงดงามไม่มีผู้ใดเทียบเทียม ตรงกันข้ามเพราะกลิ่นอายที่เย็นเยือกรอบตัวเขาจึงยิ่งทำให้เขามีตัวตนมากขึ้น

เมื่อครู่เหตุใดนางถึงไม่เห็นเขา?

แม้วันนี้จะน่าอับอาย แต่ทำให้คุณชายที่มีคุณสมบัติยอดเยี่ยมสองท่านนี้หยุดเดินได้ ก็ถือว่านางได้กำไรแล้ว

กระทั่งได้ยินคุณชายที่มีสีหน้าเย็นชาผู้นั้นเอ่ยถามเพียงสั้น ๆ ดั่งสำนวนที่ว่าผู้แข็งแกร่งล้วนมีวาจาสูงค่าดั่งทอง “สองชิ้นนี้ราคาเท่าไร?”

นิ้วมือเรียวยาวของเขาชี้ไปยังสุนัขไม้แกะสลักคู่หนึ่ง ดูมีท่าทางอยากซื้อ

หญิงสาวผู้นั้นจึงรีบตอบว่า “นี่เป็นไม้ท้อแกะสลัก แม้ว่าจะไม่ใช่วัสดุไม้ที่มีราคานัก แต่มีอิทธิฤทธิ์ปัดเป่าวิญญาณชั่วร้าย สองชิ้นห้าสิบเหรียญเจ้าค่ะ”

หลินเหราตัดสินใจซื้อมันทันที ก่อนจะพูดกับเหยาเฉาว่า “ไปกันเถอะ”

ขณะพูด เขาเก็บสิ่งของในมือและก้าวเดินตรงไปข้างหน้า

เหยาเฉาส่งยิ้มให้เจ้าของแผงลอย และเดินตามไปทันใด

หญิงสาวผู้นั้นจึงไม่มีเหตุผลอะไรรั้งพวกเขาไว้อีก ได้ยินเพียงแค่เสียงของคุณชายในชุดสีอ่อนถามสหายของเขาดังขึ้นจากที่ไกล ๆ ว่า “อาเหรา ในบ้านมีของเล่นที่ทำจากไม้มากมายแล้วไม่ใช่หรือ? เหตุใดถึงซื้อสุนัขคู่นี้กลับไปอีก?”

คุณชายสีหน้าเย็นชาผู้นั้นตอบเพียงไม่กี่คำว่า “อาซูชอบ”

ทั้งสองคนค่อย ๆ ไกลออกไป หญิงสาวเจ้าของแผงลอยยังคงครุ่นคิด เสียงของคุณชายที่ดูอบอุ่นผู้นั้นช่างไพเราะยิ่งนัก…

หลินเหราและเหยาเฉาไม่ได้เถลไถลอยู่บนถนนนานนัก ทว่าครั้นมาถึงจวนเซี่ย ก็เห็นขันทีผู้รับหน้าที่นำพระราชโองการจากในวังมาส่งยืนรอเขาอยู่หน้าห้องโถงกลางแล้ว

ครั้นขันทีน้อยผู้นั้นชำเลืองเห็นพวกเขาสองคน ใบหน้าก็เผยรอยยิ้มเบิกบานใจทันที จากนั้นก็พูดด้วยน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความดีใจว่า “ใต้เท้าทั้งสองกลับมาแล้ว ข้าน้อยอดใจที่จะประกาศข่าวดีให้แก่ใต้เท้าทั้งสองฟังแทบไม่ไหว ก็เลยรีบมาถึงก่อนใต้เท้าทั้งสอง!”

ทั้งสองคนมองหน้ากัน เหยาเฉายิ้มบางเบาและเอ่ยถามว่า “ไม่ทราบว่ากงกงต้องการบอกข่าวอะไรหรือ?”

ขันทีผู้นั้นหยิบพระราชโองการขึ้นมา ยิ้มตาหยีและพูดว่า “พระราชโองการของท่านทั้งสองขอรับ”

แม้ว่าในใจของหลินเหราและเหยาเฉาจะแปลกใจกับความรวดเร็วของพระราชโองการ แต่ก็ยังคงตั้งใจฟังพระราชโองการนั้น

กระทั่งขันทีน้อยประกาศพระราชโองการนั้นจบลง ทั้งสองคนจึงรับพระราชโองการด้วยความนอบน้อม

ขันทีที่ประกาศพระราชโองการได้เอ่ยขึ้น “วันข้างหน้าท่านทั้งสองถือว่าเป็นคนของฝ่าบาท ถึงตอนนั้นเราคงจะได้ปฏิสัมพันธ์กันมากขึ้น เชิญท่านทั้งสองไปช่วยดูแลกันอีกแรง”

เหยาเฉาพูดอย่างอบอุ่นและมีมารยาท “มิบังอาจ กงกงก็พูดเกินไป เราสองคนเพิ่งมาที่นี่ครั้งแรก ไม่เข้าใจเรื่องราวในวัง วันข้างหน้าหวังให้กงกงช่วยชี้แนะ”

เขากล่าวทักทายขันทีน้อยอย่างชำนาญ เบิกบานใจกับสิ่งที่พูดเมื่อครู่ ระหว่างที่พูดคุยกับเหยาเฉาก็ใส่ความจริงใจเข้าไปทีละน้อย

หลินเหราที่ยืนอยู่ข้างกายมักพูดน้อย แต่เพราะเขามีความสัมพันธ์กับเซี่ยเชียน จึงไม่ทำให้รู้สึกว่าเขากำลังแกล้งทำตัวเย็นชา เพียงแค่คิดว่าเขานั้นสุขุมและเป็นที่พึ่งพิงให้แก่ผู้อื่น

ถึงอย่างไรหัวหน้าเซี่ยผู้นี้ก็เป็นดั่งสำนวนที่ว่าคนแข็งแกร่งล้วนมีวาจาสูงค่าดั่งทองเช่นกัน ยามต้องเผชิญหน้ากับเขา อย่างมากสุดก็แค่พยักหน้าเท่านั้น

เขายิ้มเอาใจทั้งสองคน “ใต้เท้าทั้งสองไม่ต้องกังวล เราไม่กล้าคาดเดาเจตนารมณ์ของฝ่าบาท แต่ฝ่าบาททรงรับสั่งแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นก็ยังมีใต้เท้าเซี่ยอยู่ด้วย วันข้างหน้าใต้เท้าทั้งสองจะได้เสพสุขกับยศถาบรรดาศักดิ์ ได้เลื่อนขั้นโดยมิต้องเปลืองแรงแน่นอน!”

เหยาเฉาพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ขอบคุณกงกงที่มาส่งข่าว”

ก่อนจะกลับ​ ทั้งสองคนได้แยกกันยัดถุงเงินคนละใบใส่มือเขา ขันทีน้อยผู้นั้นบีบของที่อยู่ภายในอย่างคุ้นเคย กระทั่งเผยรอยยิ้มที่ลึกซึ้งออกมา

เขาเก็บถุงเงินสองใบนั้น และพูดด้วยรอยยิ้มว่า “เอาล่ะ ในวังยังมีเรื่องต้องจัดการ คงไม่ขออยู่รบกวนใต้เท้าทั้งสองแล้ว ข้าน้อยขอตัวลา”

หลังจากส่งขันทีที่รับหน้าที่ส่งพระราชโองการแล้ว เหล่าคนรับใช้ในตระกูลเซี่ยต่างก็ทยอยกันล้อมเข้ามา ปากก็พูดแต่คำมงคล

วันนี้พ่อบ้านออกไปข้างนอกไม่ได้อยู่ในจวน เหลือเพียงเด็กรับใช้ที่เฉลียวฉลาดเพียงไม่กี่คน และก็ยังมีเหล่าสาวใช้ที่คอยปรนนิบัติอยู่ในจวน ทุกคนล้วนผ่อนคลายมากทีเดียว

“ขอแสดงความยินดีกับคุณชายทั้งสอง! จวนเซี่ยของเรามีความปีติยินดียิ่งนัก!”

เหยาเฉาพักอยู่ในเรือนกล้วยไม้ เพราะนิสัยอ่อนโยนพูดง่าย และมีท่าทีเป็นสุภาพบุรุษ ยามที่ฝูเซิง ฝูจู๋ทั้งสองคนอยู่ต่อหน้า​ เขาจึงไม่ได้มีความกังวลมากมายขนาดนั้น

ทั้งสองคนคลี่ยิ้มและพูดหยอกเย้า “คุณชายเหยา เครื่องแต่งกายที่ใส่เข้าวังไปเข้าเฝ้าฝ่าบาทในวันนี้ เป็นฝีมือของสองพี่น้องอย่างเราเองเจ้าค่ะ ใต้เท้าจะไม่ขอบคุณเราหน่อยหรือเจ้าคะ?”

เหยาเฉารู้สึกปลื้มใจอย่างมาก เสื้อผ้าสะอาดสะอ้านที่พกมาด้วยระหว่างทางเขาได้หยิบมาใส่รอบหนึ่งแล้ว ขืนใส่ไปเข้าเฝ้าฝ่าบาทอีก คงดูไม่ให้เกียรติแน่

ก่อนหน้าที่พวกเขาจะมาถึงจวนเซี่ยหนึ่งวันท้องฟ้าได้เริ่มหมดแสงลงแล้ว ฝูเซิงบังเกิดความคิด จึงไปถามหาเสื้อผ้าที่เซี่ยเซียนไม่เคยใส่กับฝูฉวี นางและฝูจู๋ทั้งสองคนยอมอดหลับอดนอน แก้ไขให้เป็นขนาดและส่วนสูงของเหยาเฉา

เหยาเฉาพูดด้วยรอยยิ้มว่า “การช่วยเหลือของแม่นางทั้งสอง ข้าน้อยเหยาซาบซึ้งใจยิ่งนัก ไม่ทราบว่าแม่นางทั้งสองอยากให้ข้าน้อยเหยาตอบแทนอย่างไร?”

ฝูจู๋และฝูเซิงมองหน้ากัน ก่อนจะพากันคลี่ยิ้มอย่างพร้อมเพรียง “เราสองพี่น้องพูดเล่นเจ้าค่ะ คุณชายไม่ต้องเก็บมาใส่ใจหรอก”

ต้องบอกว่าเหยาเฉามีนิสัยอ่อนโยน หน้าตาก็หล่อเหลา ยากนักที่จะไม่ได้รับการต้อนรับจากทุกคน

ฝูหยาเอ่ยถามอย่างอ่อนโยน “คุณชายทั้งสองคงจะเหนื่อยมากสินะ? กลับไปพักผ่อนในห้องสักหน่อยเถิดเจ้าคะ”

เมื่อเจ้าบ้านไม่อยู่ พวกเขาสองคนน้อมรับพระราชโองการอยู่ในห้องโถงด้านหน้า คงจะอยู่ต่อไม่ได้ จึงพยักหน้าตอบรับ

ทั้งสองคนเดินไปยังจวนด้านหลัง และทุกคนในห้องโถงกลางต่างพากันแยกย้าย

ฝูหยาครุ่นคิดในใจ ระหว่างที่พาหลินเหราไปยังสวนไผ่เบื้องหน้า นางก็ได้พูดกับเขาว่า “วันนี้น้องฝูลี่ไปเดินเล่นเป็นเพื่อนนายน้อย ใต้เท้าหลินไม่ต้องกังวลนะเจ้าคะ”

หลินเหราพยักหน้า “รบกวนหน่อยนะ”

ฝูหยายิ้มบาง ๆ พลางพูดอย่างเกรงใจ

หลินเหราและเซี่ยเชียนมีใบหน้าที่คล้ายกันมาก แม้แต่กลิ่นอายรอบตัวก็ยังเหมือนกันจนแทบแยกไม่ออก ถ้าคนนอกไม่รู้ว่าพวกเขาเป็นลุงหลานกัน อาจจะเดาว่าพวกเขาเป็นพ่อลูกกัน

เพียงแต่เซี่ยเชียนมีท่าทีเย็นชา ไม่เหมือนกับหลินเหราที่มีท่าทีเคร่งขรึม

เมื่อต้องเผชิญหน้ากับหลินเหราเช่นนี้ ฝูหยาจึงไม่ค่อยกล้าพูดมากนัก กระทั่งพาเขาเข้าไปในลานบ้าน จึงได้เอ่ยถามอย่างละเอียดมากขึ้น ครั้นเห็นหลินเหราไม่ต้องการตัวเองแล้ว จึงถอยออกไปอย่างเงียบ ๆ

อีกด้านหนึ่งฝูเซิงและฝูจู๋ทั้งสองคนได้พาเหยาเฉาไปยังเรือนกล้วยไม้ โดยที่ไม่ได้เป็นกังวลมากมายเช่นกัน

เสียงของฝูเซิงนั้นไพเราะมาก เป็นที่เลื่องลือของที่นี่

เสียงพูดเจื้อยแจ้วที่แฝงไปด้วยความตื่นเต้นเล็กน้อยของนางไม่ทำให้รู้สึกรังเกียจแต่อย่างใด ตรงกันข้ามยังมีเสน่ห์มากอีกด้วย “คุณชายเหยา ต่อไปท่านกับคุณชายหลินจะกลายเป็นองครักษ์พิเศษของฝ่าบาท แต่คุณชายเหยาไม่เหมือนกับคนที่จับกระบี่ถือปืนเลยแม้แต่น้อย”

เหยาเฉายิ้ม “แล้วคุณชายผู้นั้นเหมือนอย่างนั้นหรือ?”

ฝูเซิงก้มหน้าลง นัยน์ตาฉายแววสับสนไม่เข้าใจ…

………………………………………

สารจากผู้แปล

ได้เป็นองครักษ์พิเศษของฮ่องเต้แล้ว​ อาเหราจะพาอาซูมาเมืองหลวงยังไงนะ

ไห​หม่า(海馬)

ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม [穿书后,我成了三个反派的娘]

ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม [穿书后,我成了三个反派的娘]

Status: Ongoing
เหยาซูเสียชีวิตเนื่องจากเครื่องบินตก ตื่นขึ้นมาอีกทีก็พบว่าตนเองได้มาอยู่ในร่างตัวละครหนึ่งในนิยายที่ตัวเองกำลังอ่าน!หญิงสาวเสียชีวิตจากอุบัติเหตุเครื่องบินตกและมาเกิดใหม่ในนิยายยุคโบราณที่ตนเองกำลังอ่าน หลังฟื้นขึ้นมาจึงพบว่าตนเองอยู่ในร่างของ เหยาซู มารดาของวายร้ายทั้งสามในเรื่อง กลายเป็นแม่ม่ายลูกติดโฉมสะคราญที่ผู้คนต่างชี้หน้าบอกว่าเป็นตัวซวยทำให้สามีต้องตาย เมื่อได้ทราบว่าชีวิตของลูก ๆ ต้องเผชิญกับการดูถูก นางจึงทนไม่ไหวเก็บข้าวของหอบลูกกลับบ้านเก่า เริ่มต้นชีวิตใหม่กับลูกและครอบครัวทางแม่ของตน ด้วยคิดว่าหากสั่งสอนลูกดี ๆ พวกเขาคงไม่กลายเป็นตัวร้าย จนกระทั่งวันหนึ่งสามีของนางได้กลับมา พวกเขาจึงได้ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขอีกครั้ง แต่แล้วนางก็นึกขึ้นมาได้ว่าตามนิยายต้นฉบับสามีของตนจะตกหลุมรักสตรีอื่น จึงคิดหาวิธีที่จะหย่าขาดกับเขาอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท