บทที่ 269 อาซือไม่ควรแก่แดดเกินไปกระมัง?
บทที่ 269 อาซือไม่ควรแก่แดดเกินไปกระมัง?
ยามที่เหยาซูได้รับจดหมายที่หลินเหราส่งมานั้นเป็นช่วงเวลาที่อาทิตย์อัสดงพอดี
ในจดหมายยังคงเขียนในรูปแบบกะทัดรัดได้ใจความของชายหนุ่ม เขียนถึงชีวิตในวังหลวงของเขากับเหยาเฉา ส่วนเรื่องคดีความที่ทั้งสองคนต้องตรวจสอบ ได้ถูกเขียนออกมาเพียงประโยคเดียว
แต่เพียงแค่ประโยคเดียวนี้ ก็ได้เอ่ยถึงคนผู้นั้น ทำให้เหยาซูเหมือนนั่งอยู่บนปลายเข็ม เมื่อเอนตัวลงนอนก็นอนไม่หลับ
ความมืดมิดได้ปกคลุมไปทั่ว รอบตัวล้วนเงียบสงัดเหมือนกับทุกคนได้ตกสู่ห้วงนิทราแล้ว เหยาซูจึงอดคิดไม่ได้
สองสามวันหลังจากที่เขาส่งจดหมายมา …คดีความเป็นอย่างไรบ้าง? ตรวจสอบเสร็จแล้วหรือยัง? ออกจากวังได้แล้วใช่หรือไม่?
แล้วที่เขาพูดถึงตู้เหิง เหตุใดตู้เหิงถึงอยู่ในวัง?
พวกเขาพูดอะไรกัน ทำอะไรกันบ้าง?
เหยาซูยิ่งคิดยิ่งรู้สึกทนไม่ได้ สุดท้ายก็ลุกขึ้นจากเตียง จุดตะเกียงน้ำมัน หยิบจดหมายของหลินเหราขึ้นมาอีกครั้ง จากนั้นก็ไล่อ่านอย่างละเอียด
เสียงงัวเงียของอาซือดังมาจากเตียงนอน นางงึมงำด้วยเสียงเล็ก ๆ อย่างแผ่วเบาว่า “ท่านแม่…สว่างแล้วหรือเจ้าคะ?”
ส่วนซานเป่านั้นนอนหลับฝันหวานอยู่ด้านข้าง ไม่มีการเคลื่อนไหวแม้แต่น้อย
เหยาซูเห็นลูกสาวตื่น จึงรีบนั่งลงข้างกายของนาง และพูดปลอบนางอย่างอ่อนโยนว่า “เอ้อเป่า แม่ทำเจ้าตื่นหรือ? นอนเถอะ เพิ่งจะเที่ยงคืนเอง”
กระทั่งเห็นอาซือหาวหวอด พลางขยี้ตา ดวงตาที่เปล่งประกายคู่นั้นได้ส่งแสงระยิบระยับบาง ๆ ออกมาภายใต้แสงไฟอันอบอุ่น
นางถาม “เหตุใดท่านแม่ยังไม่นอนล่ะเจ้าคะ?”
ใบหน้าเล็ก ๆ ของอาซือปรากฏร่องรอยของการนอนกดทับเมื่อครู่ ส่งผลให้ใบหน้าที่ดูมีชีวิตชีวาของนางเพิ่มความน่าสนใจขึ้นไม่น้อย
สภาพจิตใจที่ร้อนรนของเหยาซูกลับสบายใจขึ้นมากอย่างไม่ทราบสาเหตุ
นางยิ้มพลางลูบศีรษะของเด็กสาว และพูดว่า “แม่อ่านจดหมายของพ่อเจ้าอยู่”
เมื่อเอ่ยถึงหลินเหรา อาซือก็แสดงออกถึงความคิดคะนึงหาทันที นางมองเหยาซู และถามเสียงเล็กว่า “ท่านแม่ เมื่อไหร่เราจะไปเมืองหลวงหรือเจ้าคะ? ข้าคิดถึงท่านพ่อและท่านพี่แล้ว”
เหยาซูตื่นตกใจเล็กน้อยในใจ จากนั้นก็โน้มตัวไปอุ้มอาซือเข้ามาในอ้อมกอด
นางลูบเส้นผมที่อ่อนนุ่มของลูกสาว และพูดว่า “อีกสองสามวันเราออกเดินทางกันเลยดีหรือไม่? ถ้าพ่อเจ้าที่อยู่เมืองหลวง ยังหาที่พักอาศัยให้เราไม่ได้ แม่จะพาเจ้าและซานเป่าไปพักโรงเตี๊ยมก่อน แม่มีเงิน เราพักได้”
บางทีอาจเพราะประโยคสุดท้ายถูกใจเด็กหญิง นางจึงหัวเราะออกมาทันใด
เหยาซูปล่อยตัวนาง กระทั่งเห็นดวงตาที่กลมโตของอาซือโค้งขึ้นเป็นพระจันทร์เสี้ยว ใบหน้าเล็ก ๆ เปื้อนไปด้วยรอยยิ้ม พลางเอ่ยถามอย่างตื่นเต้นว่า “ท่านแม่! เรามีเงินมากหรือเจ้าคะ? สามารถอยู่โรงเตี๊ยมได้นานเพียงใดก็ได้ใช่หรือไม่เจ้าคะ?”
เหยาซูติดใจท่าทางดีใจอันบริสุทธิ์ของเด็กสาว จึงอดคลี่ยิ้มออกมาไม่ได้
นางวางฝ่ามือของบนศีรษะของอาซืออย่างเบามือ และพูดว่า “เรามีเงิน ต่อให้ซื้อโรงเตี๊ยมหนึ่งหลัง เราก็ซื้อได้”
อาซือเบิกตากว้าง ความง่วงงุนหายเป็นปลิดทิ้ง จากนั้นก็ส่งเสียงร้อง ‘ว้าว’ ออกมาด้วยความตกใจ
นางซักถามอย่างตื่นเต้น “เงินของท่านแม่ ล้วนเป็นเงินที่ได้จากการทำการค้าใช่หรือไม่เจ้าคะ? ร้านชาดของเรามีขนาดเล็กไม่ใช่หรือเจ้าคะ?”
เหยาซูยิ้ม ครั้นเห็นลูกสาวสนใจจึงพูดกับนางว่า “เงินในนี้ของแม่รวมรางวัลชมเชยจากการปราบปรามโจรภูเขาของพ่อเจ้าส่วนหนึ่งด้วย ทว่าร้านขายชาดทำเงินได้ไม่น้อย ดังนั้นแม่จึงกล้าพูดว่าสามารถซื้อโรงเตี๊ยมได้ทั้งหลังอย่างไรเล่า”
อาซือเบิกตากว้างอย่างตกตะลึง อ้าปากค้างก่อนพูดอย่างทอดถอนใจ “ท่านพ่อและท่านแม่เก่งยิ่งนัก!”
เหยาซูยิ้ม พลางจูบแก้มที่นุ่มนิ่มของเด็กหญิง
อาซือพูดต่ออย่างจริงจังว่า “วันหน้าข้าจะเรียนรู้จากท่านแม่ให้จงได้ ทั้งเรื่องการทำการค้า ทั้งเรื่องหาเงินในทุกวันต้องทำอย่างไร!”
เหยาซูหลุดหัวเราะออกมาทันใด นางหัวเราะจนเกือบหงายหลังด้วยคำว่า ‘หาเงินในทุกวัน’ ของเด็กหญิง
คำพูดนี้พูดออกมาจากใจ เดิมทีนางไม่ได้สนใจกับเรื่องกำไรของร้านขายชาดสักเท่าไร
นับตั้งแต่เปิดร้านจนมีรายได้เข้ามาอย่างไม่ขาดสาย ในบ้านก็มีเงินใช้จ่ายเพียงพอ นางไม่ได้สนใจเรื่องเงินทองมากเกินไป แค่รู้สึกว่าใช้จ่ายเพียงพอก็พอแล้ว
แต่ครานี้หลินเหราต้องย้ายไปอยู่ในเมืองหลวง อาจื้อต้องเข้าเรียน จึงทำให้เหยาซูเกิดวิกฤติขึ้นมาฉับพลัน
ไม่ต้องเอ่ยถึงเรื่องค่าใช้จ่ายที่ต้องใช้สำหรับการเรียนในภายภาคหน้าของอาจื้อ แค่หลินเหราต้องเดินทางไปราชสำนัก เหยาซูก็รู้สึกว่าตัวเองไม่สามารถมีชีวิตอยู่ไปวัน ๆ ได้
ถ้าต้องรอให้เขาสร้างความดีความชอบอันเลื่องลือในราชสำนัก จากขุนนางเปลี่ยนเป็นท่านแม่ทัพ นางคงดูแลร้านขายชาดได้ถึงสองสามร้านโดยไม่เป็นเดือดเป็นร้อน ทำกิจการเล็ก ๆ ต่อไป
ถึงตอนนั้น นางจะเอาอะไรไปเทียบเคียงกับเขา?
ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงตู้เหิงที่ปรากฎตัวอยู่ข้างกายเขาอยู่บ่อยครั้ง!
หลังจากถึงเมืองหลวงแล้ว ถ้าตู้เหิงไม่ยอมรามือง่าย ๆ พวกนางคงต้องเจรจากันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ไม่ว่าอย่างไร ตู้เหิงก็เป็นหลานสาวของเจ้ากรมอาลักษณ์ เป็นสตรีผู้สูงศักดิ์ของเมืองหลวงโดยแท้จริง
ถ้านางไม่พัฒนา แล้วจะเอาอะไรไปเทียบเคียงอีกฝ่ายเล่า?
ครั้นเห็นเหยาซูไม่พูดไม่จา อาซือจึงเงยหน้าขึ้นและถามว่า “ท่านแม่กำลังคิดอะไรอยู่หรือเจ้าคะ? ไม่สบายใจใช่หรือไม่? คิ้วถึงได้ขมวดเป็นปมเชียว”
ช่วงฤดูวสันต์เดิมทีไม่ควรหนาว เพียงแต่สองสามวันนี้มีฝนตก ตกกลางคืนอากาศจึงค่อนข้างเย็นสบาย
เหยาซูหยิบเสื้อคลุมที่มักจะคลุมไหล่เป็นประจำตัวหนึ่งขึ้นมา จากนั้นก็ห่อตัวให้แก่อาซืออย่างมิดชิด เอาแขนเสื้อยาว ๆ มัดหลวม ๆ อยู่ด้านหลังของเด็กสาว ก่อนพูดอย่างอ่อนโยนว่า “แม่ไม่เป็นไร แค่คิดถึงวันข้างหน้าก็เท่านั้น”
เด็กหญิงยิ้มออกมา เผยให้เห็นฟันสีขาวสะอาดที่เรียงตัวกันเป็นระเบียบ ก่อนจะพูดเสียงเบาและว่องไว “วันข้างหน้า! ซานเป่าจะต้องหัดเดิน ท่านพี่จะต้องไปเรียนในเมืองหลวง ท่านพ่อได้เป็นขุนนางที่เก่งมากขึ้น กิจการของท่านแม่ก็จะใหญ่โตขึ้นเรื่อย ๆ! มีแต่วันข้างหน้าที่ดีขึ้น!”
ท่าทางที่ดูไร้กังวลของอาซือย่อมติดมาจากเหยาซูแน่นอน ความกังวลและความวิตกที่เดิมทียังคงวนเวียนอยู่ในใจ ค่อย ๆ จางหายไปไม่น้อย
มุมปากของนางกระตุกขึ้นโดยม่รู้ตัว และถามว่า “แล้วเอ้อเป่าละ? วันข้างหน้าเอ้อเป่าจะเป็นอย่างไร?”
เมื่อเอ่ยถามคำถามนี้ ใบหน้าที่ดูตื่นเต้นของเด็กหญิง จู่ ๆ ก็แสดงความสับสน และเงียบงันไปชั่วขณะ
เหยาซูรู้สึกประหลาดใจ ครั้นเห็นท่าทางนี้ของอาซือ จึงยิ่งประหลาดใจอย่างอดไม่ได้ “ทำไมล่ะ? ช่วงนี้เอ้อเป่าไม่คุยกับแม่เลย เจ้าปิดเงียบเกินไปหรือเปล่า?”
ใบหน้าของอาซือเต็มไปด้วยความสับสน นางขยำปลายเสื้อ เงียบอยู่เนิ่นนาน จนกระทั่งพูดว่า “ไม่ได้ปิดแต่อย่างใด….เพียงแต่ ไม่รู้ว่าจะเปิดประเด็นกับท่านแม่อย่างไรเจ้าค่ะ”
เหยาซูเลิกคิ้วสูง นางนั่งอยู่ข้างกายอาซือพร้อมกับโอบกอดนางไว้ในอ้อมแขน
“เอ้อเป่ามีเรื่องอะไร เจ้าพูดกับแม่ได้ทุกเรื่อง ทว่าบางเรื่องก็ไม่อยากบอกความในใจกับผู้อื่น ถ้าไม่อยากบอกแม่ก็จะไม่ถาม”
อาซือคุ้นชินไปแล้ว ท่าทีที่ไร้ความกังวล แต่ความเป็นจริงหนักหน่วงกว่าความคิดของเด็กเสียอีก
หรือพูดได้ว่า ไม่เพียงแต่อาซือที่เป็นเช่นนี้ นิสัยของอาจื้อก็เป็นเช่นนี้ เวลามีความคิดอะไร มักจะไม่ชอบพูด
แต่เด็กหญิงคงปกปิดความในใจไว้ไม่ได้ นางอิงแอบอยู่ในอ้อมกอดของเหยาซู เล่าถึงปัญหาที่กวนใจนางมาเนิ่นนาน
“ท่านแม่…คราวที่แล้วที่ไปบ้านของพี่เถิง ข้าเจอกับฮูหยินใหญ่เจี่ยง”
ฮูหยินใหญ่มีบุตรสาวก็คือเจี่ยงฉีเพียงคนเดียว ตั้งแต่เด็กก็มักจะได้รับการเอาใจใส่จนเติบใหญ่ ถึงขั้นให้ความสนใจแก่เถิงเอ๋อมากเป็นพิเศษ
เจี่ยงเถิงพาเพื่อนเล่นกลับมาด้วย นางจึงบอกว่าอยากเจอ
เหยาซูได้ยินอาซูเอ่ยถึงเรื่องนี้ จึงถามว่า “ฮูหยินใหญ่ไม่ชอบเจ้ามากใช่หรือไม่? ทำไมล่ะ?”
ใบหน้าเล็ก ๆ ของอาซือเกิดรอยย่นเล็กน้อย ไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไร “ฮูหยินใหญ่โอบกอดข้าและพูดอยู่นานมาก ข้าเองก็ชอบฮูหยินใหญ่…”
เหยาซูไม่เร่งเร้า แต่ฟังนางพูดอย่างอดทน นัยน์ตาแสดงสีหน้าให้กำลังใจ
เด็กสาวถอนหายใจออกมายาว ๆ และพูดว่า “กลับเป็นพี่เถิง หลังจากที่กินมื้อค่ำเสร็จแล้ว เขาพูดว่าจะมาสู่ขอข้า”
เหยาซูตัวแข็งทื่อไปชั่วขณะ ความคิดนับไม่ถ้วนที่ยากจะเปล่งออกมาเป็นคำพูดได้ผุดขึ้นมาในใจ สุดท้ายก็รวมตัวกลายเป็นคำแค่สองพยางค์ เหลวไหล!
อาซือและเถิงเอ๋อเพิ่งจะอายุเท่าไรกันเชียว?!
เด็กชายและเด็กหญิงที่อายุเจ็ดขวบคงไม่นั่งด้วยกันแล้ว หากพูดเช่นนี้เจี่ยงเถิงเพิ่งจะอายุเจ็ดขวบเต็ม…
แต่อาซือเด็กกว่าเขาสองปี!
ครั้นเห็นอาซือกลุ้มใจอย่างจริงจัง ร่างทั้งร่างของเหยาซูจึงตกอยู่ในวังวนความสงสัยของตัวเอง
คนโบราณมักจะออกเรือนกันตอนอายุสิบสามปี แต่เด็กอายุเท่าอาซือความจริงแล้วไม่ควรทำตัวแก่แดดแก่ลมเร็วเพียงนี้กระมัง?
หรือวิธีการสอนเด็กของนางมีปัญหา?
หรือว่านางไม่ควรอยู่ใกล้ชิดกับหลินเหราเวลาที่อยู่ในบ้านมากเกินไป?
ต่อไปควรต้องแยกห้องกันหรือไม่ อย่างน้อยก็แยกผู้ใหญ่กับเด็กออกจากกัน?
ครั้นเห็นเหยาซูไม่พูดไม่จา อาซือจึงเงยหน้าขึ้น และเปล่งเสียงเรียกด้วยความสงสัย “ท่านแม่?”
ในใจของเหยาซูไม่อาจสงบนิ่งลงได้ แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าอาซือ นางก็พยายามไม่แสดงสีหน้าตื่นตกใจมากเพียงนั้น
นางสูดลมหายใจเข้าอย่างเงียบ ๆ ใช้น้ำเสียงที่ราบเรียบ เหมือนกับกำลังถามอาซือว่าวันนี้อยากกินอะไร “เอ้อเป่าคิดว่ายังไงล่ะ? อยากแต่งงานกับพี่เถิงหรือไม่?”
อาซือขมวดคิ้ว พลางพูดด้วยสีหน้าลำบากใจ “ข้าเองก็ไม่รู้ ไม่รู้ จึงได้สับสนเช่นนี้…”
เหยาซูจึงอดกุมขมับไม่ได้ จากนั้นก็เอ่ยถามลูกสาวอย่างหมดหนทาง นางไม่ตอบว่า ‘ชอบ’
ถ้าถามอีก อาซือจะต้องตอบว่า ‘ชอบ’ แน่นอน
นางอายุเพียงเท่านี้ ไฉนเลยจะแยกแยะคำว่าชอบได้อย่างชัดเจน?
เหยาซูทำได้แค่ข่มความรู้สึกไว้ อดทนและถามกลับว่า “พี่เถิงพูดเช่นนี้ เอ้อเป่าตอบกลับว่าอย่างไร?”
อาซือพูดอย่างจริงจัง “ข้าพูดกับพี่เถิงว่า ข้าอยากถามความคิดเห็นของท่านพ่อและท่านแม่ก่อน”
เหยาซูถอนหายใจออกมายาว ๆ
นางโอบกอดอาซือ พลางปลอบใจอย่างอ่อนโยนว่า “คำตอบของเอ้อเป่านั้นฉลาดมาก การแต่งงานคือเรื่องใหญ่ เดิมทีจะขึ้นอยู่กับคำสั่งของพ่อแม่และการชักนำของแม่สื่อ พี่เถิงอายุยังน้อย มีอีกหลายเรื่องที่ยังไม่เข้าใจ แม่ไม่โทษเขา เพียงแต่วันข้างหน้าถ้ามีคนถามเช่นนี้กับเจ้า เอ้อเป่าต้องจำไว้ ห้ามตอบเด็ดขาด”
อาซือพยักหน้า เหมือนกับยกภูเขาออกจากอก ก่อนจะยิ้มและพูดว่า “เช่นนั้นก็ดี! ต่อไปเรื่องนี้ ท่านพ่อและท่านแม่เป็นคนตัดสินใจเจ้าค่ะ!”
เหยาซูพูดกับอาซืออีกครู่หนึ่ง กระทั่งกล่อมเด็กน้อยจนหลับปุ๋ยไป จึงสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ คลุมเสื้อและออกไปจากห้องนอน
เขียนจดหมาย เขียนจดหมาย!
นางต้องเขียนจดหมายถึงหลินเหรา!
เรื่องของลูกสาว จะให้นางปวดหัวและสับสนเพียงคนเดียวไม่ได้!
ไม่นานก็มีไฟสว่างจ้าขึ้นในห้องหนังสือ เหยาซูขยับพู่กันเขียนไม่หยุดไปพลาง ครุ่นคิดไปพลาง
ต้องรีบไปเมืองหลวง ส่งจดหมายไปกลับเช่นนี้ ทำคนร้อนใจแทบแย่แล้ว!
……………………………………………………………………………………………………..
สารจากผู้แปล
โดนทาบทามสู่ขอตั้งแต่เด็กเลยเอ้อเป่าเอ๊ย ดีที่ฉลาดมาถามท่านแม่ก่อน
รีบไปเมืองหลวงเลยค่ะอาซู จะได้หายห่วง เพราะมีงูเหลือมตัวหนึ่งกำลังรอลักกินไก่อยู่
ไหหม่า(海馬)