พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า – บทที่ 1852 ช่วยให้ขุนพลหลบหายนะได้

บทที่ 1852 ช่วยให้ขุนพลหลบหายนะได้

ภายใต้สถานการณ์ปกติ อ๋องสวรรค์อิ๋งผู้สง่าภูมิฐานให้ความสำคัญกับชื่อเสียงแน่นอน

แต่เมื่อเทียบกันแล้ว ชื่อเสียงล้วนเป็นเรื่องรอง ก็แค่ไร้ยางอายนิดหน่อยเท่านั้นเอง ตราบใดที่หาหลักฐานมาพิสูจน์ว่าเขาทำจริงไม่ได้ ไม่ว่าใครก็ทำอะไรเขาไม่ได้ทั้งนั้น ที่ทัพตะวันออกจะมีใครสืบหาหลักฐานว่าเขาทำได้ล่ะ? พูดในแง่ดีหน่อย ตราบใดที่ไม่มีทางควบคุมเขาได้ ก็ไม่มีใครกล้าสืบความจริงจากเขา ไม่อย่างนั้นก็จะเป็นการกดดันให้เขาหาทางลงไม่ได้จนต้องก่อกบฏ ตอนนี้เขากังวลแล้วจริงๆ ว่าข่าวลือนี้จะทำให้ขวัญกำลังใจทหารสั่นคลอน

การปรับปรุงสี่ทัพเพิ่งจะสงบลง แต่ยังมีคลื่นหลงเหลืออยู่ มีทั้งคนได้ประโยชน์และคนเสียประโยชน์ มีคนที่รู้สึกไม่ยอมบ้างเป็นเรื่องปกติ ในเวลานี้เกิดเรื่องระดับนี้ขึ้นจนขวัญกำลังใจทหารสั่นคลอนและโดนคนอื่นฉวยโอกาส สิ่งนี้ทำให้เขาเดือดดาลมาก

หลังจากกระฟัดกระเฟียดอยู่พักหนึ่ง ก็เริ่มปรับอารมณ์ตัวเอง อิ๋งจิ่วกวงหยุดฝีเท้า แล้วหันกลับไปจ้องจั่วเอ๋อร์ กล่าวด้วยสายตาดุร้ายเยือกเย็น “ส่งกำลังพลกลุ่มหนึ่งไปที่จวนหัวหน้าภาคแดนรัตติกาล จับคนในครอบครัวหนิวโหย่วเต๋อมาให้ข้าให้หมด ความบริสุทธิ์ของข้าจะต้องให้พวกเขายอมรับด้วยปากตัวเอง!”

“ท่านอ๋อง เกรงว่าจะไม่มีทางปฏิบัติการนี้เงียบๆ ได้ ทางปราสาทดำเนินจันทร์คงไม่ยอมนิ่งดูดาย” จั่วเอ๋อร์กล่าวอย่างลังเล

อิ๋งจิ่วกวงตอบว่า “ไม่ต้องปฏิบัติการเงียบๆ บอกแค่ว่าทางนั้นกระพือข่าวปลอมใส่ร้ายขุนนางใหญ่ตำหนักสวรรค์ จีบคนมาเลย ถ้าลี่หัวกล้าขัดขวาง ก็บอกนางว่า อย่าหาว่าอ๋องผู้นี้ล้างเลือดปราสาทดำเนินจันทร์ไปด้วยก็แล้วกัน! ถ้ายังกล้าขวางอีก ก็โจมตีได้เลย!”

จั่วเอ๋อร์มองออกแล้ว ครั้งนี้หนิวโหย่วเต๋อทำให้ท่านอ๋องเดือดดาลมากจริงๆ แม้แต่ลี่หัวก็ไม่ไว้หน้า จึงเอ่ยรับทันที “รับทราบ!”

“กวาดล้างสมาชิกโถงชุมนุมอัจฉริยะที่อยู่ในอาณาเขตทัพตะวันออกเดี๋ยวนี้!” อิ๋งจิ่วกวงสั่ง

“รับทราบ!” จั่วเอ๋อร์ตอบ

อิ๋งจิ่วกวงโบกมือให้นางไปจัดการ ส่วนตัวเองก็ถือระฆังดาราติดต่อกับภายนอกด้วยตัวเอง

จวนอ๋องสวรรค์ฮ่าว ในทางเดินยาวสวยวิจิตรที่เชื่อมต่อตึกศาลา นายกับบ่าวกำลังเดินเนิบนาบอยู่ด้วยกัน

ฮ่าวเต๋อฟางเอามือไขว้หลัง ขมวดคิ้วครุ่นคิดเรื่องบางอย่าง

ซูอวิ้นเดินตามอยู่ข้างๆ อย่างไม่ช้าไม่เร็ว “วุ่นวายอยู่ตั้งนาน ที่แท้ก็เกี่ยวข้องกับอ๋องสวรรค์อิ๋งจริงๆ นึกไม่ถึงว่าจะแอบระดมทัพตะวันออกห้าล้าน ประเมินหนิวโหย่วเต๋อสูงมากจริงๆ ไม่รู้ว่าสถานการณ์ทางสระน้ำมังกรดำเป็นยังไงกันแน่ ยังไม่มีรายละเอียดออกมา แต่พอข่าวนี้ออกมา ก็ชัดเจนแล้วว่าหนิวโหย่วเต๋อเองก็กดดันไม่น้อย”

ฮ่าวเต๋อฟางพลันหยุดเดิน หยิบระฆังดาราอันหนึ่งขึ้นมา แล้วแสยะหัวเราะสองที

“เป็นอะไรไปคะ?” ซูอวิ้นลองถาม

“อิ๋งจิ่วกวงส่งข่าวมา เจ้าว่าจะเป็นยังไงได้ล่ะ?” ฮ่าวเต๋อฟางส่ายหน้า หลังจากเขย่าระฆังดาราตอบ ก็ไม่รอให้อิ๋งจิ่วกวงบอกว่าเรื่องอะไร ถามไปตรงๆ เลยว่า : เจ้าแอบระดมทัพใหญ่ห้าล้านไปสู้กับหนิวโหย่วเต๋อที่สระน้ำมังกรดำจริงเหรอ?

อิ๋งจิ่วกวงเงียบไปครู่หนึ่ง แต่ก็รู้ว่าเรื่องนี้ถูกเปิดโปงแล้ว ปิดบังคนระดับฮ่าวเต๋อฟางไม่ได้ ถึงได้ยอมรับ : ไม่ผิดหรอก มีเรื่องแบบนี้จริงๆ

ฮ่าวเต๋อฟาง : อิ๋งจิ่วกวง เจ้าบ้าไปแล้วใช่มั้ย? ทัพใหญ่ห้าล้านรับมือกับหนิวโหย่วเต๋อคนเดียวน่ะเหรอ?

อิ๋งจิ่วกวง : แล้วเจ้าว่าจะให้รับมือยังไงล่ะ? เจ้าเวรนั่นมันยิ่งใหญ่แล้ว รอบกายมีทหารรายล้อมหนาแน่น ใช่ว่าส่งคนไม่กี่คนไปลอบสังหารแล้วจะแก้ไขปัญหาได้ เขาหลบอยู่ที่ปราสาทดำเนินจันทร์ตลอด แล้วพวกเราก็ไม่มีอำนาจระดมกำลังพลของเขาด้วย และไม่มีอำนาจจะส่งเขาไปทำภารกิจอะไร ถ้าไม่ใช่กำลังทหารจำนวนมากกำจัด แล้วจะทำยังไงได้?

ฮ่าวเต๋อฟาง : ได้ เจ้าพูดมีเหตุผล ตอนนี้เจอหมาบ้าเข้าแล้วสิ ถูกเล่นงานจนหาบันไดลงไม่ได้แล้วสินะ?

อิ๋งจิ่วกวง : อย่าพูดแดกดันนักเลย ข้าไม่ได้ติดต่อมาเพื่อฟังเจ้าบ่น ฝั่งนั้นของสระน้ำมังกรดำเป็นชายแดนอาณาเขตของเจ้า เจ้ายังไม่ต้องรีบเข้ามาก้าวก่าย แค่ปิดทางเข้าไว้ อย่าให้คนอื่นเข้าไป ให้เวลาข้าหน่อย

ฮ่าวเต๋อฟางขมวดคิ้ว ถามว่า : เจ้าล้อเล่นใช่มั้ย? ทัพตะวันออกห้าล้านรับมือกับกำลังพลหนึ่งแสนของหนิวโหย่วเต๋อ ยังต้องให้ข้าให้เวลาเจ้าอีกเหรอ? เจ้าเลี้ยงไว้แต่ลูกน้องเศษสวะหรือไง?

อิ๋งจิ่วกวง : รออีกไม่นาน เดี๋ยวก็แก้ไขปัญหาได้

ฮ่าวเต๋อฟาง : ประมุขชิงระดมกำลังพลหนึ่งกองแล้ว ถ้ารวมทัพใหญ่เสร็จเมื่อไร ก็จะเดินทางไปถึงเร็วมาก

อิ๋งจิ่วกวง : ข้ารู้แล้ว

ฮ่าวเต๋อฟาง : ประมุขชิงมีคำสั่งแล้ว ทางทัพใต้จะให้คนที่อยู่แถวนั้นไปดูสักหน่อย คนเล็กน้อยแค่นั้นต้านทัพใหญ่มหาศาลของกองทัพองครักษ์ไม่ไหวหรอก ข้าให้เวลาเจ้าได้แค่ห้าชั่วยาม ถ่วงให้นานกว่านี้ไม่ได้แล้ว!

อิ๋งจิ่วกวง : ได้ แค่ห้าชั่วยามพอ! ทางโถงชุมนุมอัจฉริยะเจ้าก็จัดการเองตามเห็นสมควร

ฮ่าวเต๋อฟางเก็บระฆังดาราแล้วไม่ได้พูดอะไร เอามือไขว้หลังเดินไปพิงระเบียงแล้วทอดสายตามองไปไกล

จวนอ๋องสวรรค์โค่ว ในห้องหนังสือ ถังเฮ่อเหนียนและโค่วเจิงที่ยืนเงียบมองโค่วหลิงซวีที่กำลังเก็บระฆังดาราเงียบๆ

หลังจากโค่วหลิงซวีหลับตาเงียบๆ ครู่หนึ่ง ก็กล่าวช้าๆ ว่า “สั่งให้กำลังพลในอาณาเขตทัพเหนือกวาดล้างโถงชุมนุมอัจฉริยะ”

ถังเฮ่อเหนียนกับโค่วเจิงสบตากันแวบหนึ่ง ถังเฮ่อเหนียนลองถามว่า “ถ้าทางคุณหนูเจ็ดถามจะบอกยังไงขอรับ?”

โค่วหลิงซวีค่อยๆ ลืมตา ในดวงตาฉายแววเย็นเยียบ “ไม่ต้องอธิบายอะไร! โถงชุมนุมอัจฉริยะมีคนเยอะอำนาจมาก ทั้งยังไม่เคารพกฎระเบียบ บังอาจถือวิสาสะใส่ร้ายขุนนางใหญ่ตำหนักสวรรค์ เรื่องบางอย่างจะพูดซี้ซั้วโดยไร้หลักฐานได้เลย? ต่อไปถ้ามีคนเอาเยี่ยงอย่าง ใต้หล้าจะไม่วุ่นวายหรอกหรือ? ในเมื่อควบคุมปากตัวเองไม่ได้ ก็อย่าเก็บไว้อีก กำจัดให้หมด!”

“รับทราบ!” ถังเฮ่อเหนียนโค้งตัวเอ่ยรับ

แดนอเวจี บนหน้าผาริมทะเลมรกต หยางชิ่งที่จอนผมแซมหงอกกำลังยืนอยู่กับจินม่านที่สวมชุดกระโปรงยาวสีทอง

“เฮ้อ!” หยางชิ่งเงยหน้าถอนหายใจยาว “โถงชุมนุมอัจฉริยะ นั่นคือช่องทางรายได้! ราชาปราชญ์บุ่มบ่ามเกินไปแล้ว ลำบากลำบนสร้างรากฐาน ทำไมต้องทำพังในครั้งเดี๋ยวอย่างนี้!”

จินม่านยิ้มเจื่อน “ทำเพื่อลูกน้องได้ขนาดนี้ อย่างน้อยก็ได้ใจคนแล้ว ไม่ใช่หรอกเหรอ? เจ้าไม่ต้องท้อใจขนาดนี้หรอก”

“ข้าท้อแท้เหรอ?” หยางชิ่งพึมพำกับฟ้า แล้วหันตัวมาบ่นพึมพำ ก่อนจะเดินจากไปช้าๆ

พอกลับมาถึงตึกในเรือนตัวเอง เขาก็อยู่เงียบๆ พักหนึ่ง แล้วหยิบระฆังดาราออกมา

พิภพเล็ก แดนอู๋เลี่ยง ในห้องสมาธิ ฉินเวยเวยที่กำลังฝึกตนหยุดฝึกวิชาแล้ว นางหยิบระฆังดาราออกมาถามว่า : ท่านพ่อ มีเรื่องอะไรเหรอ?

หยางชิ่ง : สนมฉินกับครอบครัวอยู่ทางนั้นเป็นยังไงบ้าง?

ฉินเวยเวย : ทุกอย่างปกติ

หยางชิ่ง : เฝ้าคนไว้ให้ดี อย่าให้มีอะไรผิดพลาด อาจจะได้นำมาใช้ประโยชน์เร็วๆ นี้แล้ว

ฉินเวยเวย : ทราบแล้วค่ะ

หยางชิ่ง : แล้วเจ้าเป็นยังไงบ้าง? แม่เจ้าเป็นยังไงบ้าง?

ฉินเวยเวย : ทุกคนสบายดีค่ะ เพียงแต่…ข้ากังวลนิดหน่อย

หยางชิ่ง : กังวลอะไร?

ฉินเวยเวย : นักพรตทางนี้ย้ายออกไปพอสมควรแล้ว ไม่มียอดฝีมืออะไร คนที่อยู่ตำหนักประมุขถิ่นกลางก็มีทรัพยากรฝึกตนไม่ขาด…

หยางชิ่งเข้าใจแล้ว นางกำลังกังวลว่าเมื่อเวลานั้นมาถึงจะยังควบคุมจูเก๋อชิงได้หรือไม่ หลังจากเงียบไปพักหนึ่ง ก็ตอบว่า : ข้าเข้าใจแล้ว เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องยุ่ง ไม่ต้องมาเกี่ยวข้องด้วย ข้าจะจัดการเอง!

เมื่อเก็บระฆังดาราแล้ว หยางชิ่งก็ยืนอยู่ริมหน้าต่าง ทอดสายตามองไปไกลอย่างเงียบงัน…

ในดาราจักรที่สวยแพรวพราว ตอนที่เหาะผ่านดาวดวงหนึ่งที่ลอยเงียบๆ อยู่บนท้องฟ้า หยางเจาชิงก็หยุดชั่วคราว แล้วกางนิ้วทั้งห้า ดูดเอากำไลเก็บสมบัติที่ทิ้งไว้ตอนขามา

อีกสองคนที่มาด้วยหยุดแล้ว อู๋เซียนฉีมองไปรอบๆ แวบหนึ่ง แล้วถามเสียงต่ำ “ตอนนี้ปล่อยคนได้แล้วละมั้ง?”

หยางเจาชิงใส่กำไลเก็บสมบัติกลับบนข้อมืออย่างเนิบนาบ แล้วเรียกสวีถังหรานกับอิ๋งอู๋หม่านออกจากกระเป๋าสัตว์ เสร็จแล้วถึงได้กล่าวด้วยน้ำเสียงปกติว่า “ถ้าไม่ปล่อยแล้วจะทำไม?”

อิ๋งอู๋หม่านที่อยู่ข้างๆ ทำสีหน้าเดือดดาลทันที ยังไม่ทันพูดอะไร ก็ถูกสวีถังหรานบีบคอจนออกเสียงลำบากแล้ว

อู๋เซียนฉีเผยสีหน้าโกรธจัด โบกมือชี้และถามว่า “เจ้าคิดว่าข้าไม่กล้าฆ่าเจ้าเหรอ?”

หยางเจาชิงกล่าวด้วยสายตาสุขุมเยือกเย็น “ปล่อยคนแล้วยังไงต่อล่ะ? อาศัยวรยุทธ์ของขุนพลอู๋ เดี๋ยวก็จับข้ากลับไปได้เหมือนเดิม คิดจะพาท่านโหวกลับไปแล้วทำเหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นงั้นเหรอ? จะเป็นไปได้ยังไง! ตอนนี้เจ้ายังไม่ได้รับข้อความจากระฆังดารา แต่ก็ไม่ได้แปลว่าอีกประเดี๋ยวจะไม่ได้รับ มีเรื่องหนึ่งที่ข้ารับประกันได้เลย ไม่ทันรอให้ขุนพลพาท่านโหวกลับไปถึงฝั่งนั้น อ๋าวเฟยก็รู้แล้วว่าเกิดเรื่องขึ้น ไม่แน่ว่าตอนนี้อาจกำลังตรวจสอบอยู่ก็ได้ ขุนพลอู๋ลองคิดดูสักหน่อยสิ อ๋าวเฟยกล้าลงโทษแม้กระทั่งผู้จัดการใหญ่ของท่านอ๋อง ก็แปลว่าเป็นคนที่ปกครองทัพอย่างเข้มงวด แล้วฐานะของขุนพลเมื่อเทียบกับเจ๋อชุนชิวเป็นยังไงล่ะ? ถ้าให้อ๋าวเฟยรู้ว่าขุนพลอู๋กล้าแอบทำเรื่องแบบนี้ยามศึกสงคราม เกือบจะทำให้ท่านโหวประสบอันตราย ขุนพลคิดว่าท่านโหวอิ๋งในตอนนี้จะปกป้องเจ้าไหวเหรอ? ถ้าดีหน่อยก็โดนลงโทษหนัก ถ้าแย่หน่อยก็ประหาร! เจ้าคิดว่าเรื่องนี้มีความเป็นไปได้หรือเปล่า?”

อู๋เซียนฉีราวกับใบหน้าโดนตะคริวกิน ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันบอกว่า “ความอดทนของข้ามีจำกัด ปล่อยคน!”

หยางเจาชิงส่ายหน้า “คนน่ะ ข้าไม่ปล่อยหรอก! แต่ข้ามีวิธีการอย่างหนึ่ง สามารถช่วยให้ขุนพลหลบหายนะ!”

อู๋เซียนฉีหรี่ตาจ้องเขา แล้วจู่ๆ ก็แสยะยิ้ม “เจ้าจะมีเจตนาดีอย่างนี้เชียวเหรอ? ลองพูดมาให้ข้าฟัง?”

อิ๋งอู๋หม่านที่ตกอยู่ในมือสวีถังหรานถลึงตามองอู๋เซียนฉีอย่างเดือดดาล

หยางเจาชิงบอกว่า “ก็อย่างที่บอก ข้าไม่มีทางปล่อยคน ต่อให้ทำเพื่อปกป้องตัวเอง ข้าก็ไม่มีทางที่จะปล่อยไป ขุนพลจับข้าไว้แล้วยังไงล่ะ?” เขาชี้อิ๋งอู๋หม่าน “ท่านโหวก็ต้องตายอยู่ดี พอเขาตายแล้ว ขุนพลกลับไปจะหนีโทษตายพ้นเหรอ น้ำหนักของชีวิตท่านโหวอิ๋งน่ะ ต่อให้จับข้ากลับไปคนเดียวก็ชดเชยความผิดไม่ได้หรอก ขุนพล ขออภัยที่ข้าพูดตรงๆ นะ เรื่องมาถึงป่านนี้แล้ว เจ้าอยู่ที่ทัพตะวันออกต่อไปไม่ได้แล้วล่ะ วิธีการเดียวก็คือรีบหนีไปซะ ไปหาสถานที่ปลอดภัยเพื่อใช้ชีวิตอย่างสงบ!”

บนใบหน้าอู๋เซียนฉีเผยรอยยิ้มชั่วร้าย จิตสังหารพรั่งพรูในดวงตา “เจ้าฝันหวานไปแล้ว เจ้าทำร้ายข้ายับเยินขนาดนี้ ยังคิดจะให้ข้าปล่อยเจ้าไปอีกเหรอ?”

หยางเจาชิงจึงบอกว่า “ไม่ต้องรีบลงมือหรอก ฟังข้าพูดก่อน พอท่านโหวอิ๋งตกอยู่ในมือผู้บัญชาการหนิว ผู้บัญชาการหนิวจะต้องนำเขามาขู่อ๋าวเฟยแน่ ถึงตอนนั้นความสนใจของอ๋าวเฟยก็จะไม่อยู่ที่ตัวเจ้าแล้ว ถ้าท่านโหวอิ๋งหายไปหรือว่าตายไป เจ้าคิดว่าอ๋าวเฟยจะสงสัยว่าใครเป็นผู้ร้ายล่ะ? ทางทัพใหม่มีคนไม่น้อยเห็นขุนพลออกมา ถึงตอนนั้นถ้าทัพใหญ่ใช้กำลังทั้งหมดมาจับกุมขุนพลล่ะ ขุนพลไม่รู้สึกว่าอันตรายเหรอ? เกรงว่าตระกูลอิ๋งคงไม่มีทางยกเลิกการจับกุมขุนพลตลอดไปแน่! ดังนั้นต้องให้ข้านำคนกลับไปดึงดูดความสนใจพวกนั้น นี่สิถึงจะเป็นกลยุทธ์ชั้นสูง ส่วนขุนพล…ยังไม่รีบหนีไปอีกเหรอ! เออใช่!” เขาหยิบระฆังดาราออกมาอีกสองอัน ลงตราอิทธิฤทธิ์ของตัวเองแล้วโยนให้อู๋เซียนฉี “ทิ้งช่องทางติดต่อไว้ ไม่แน่ว่าในอนาคตเราอาจจะช่วยเหลือกันได้ ข้าสามารถส่งทรัพยากรฝึกตนให้ขุนพลได้”

อู๋เซียนฉีกำระฆังดาราสองอันไว้แน่น จ้องหยางเจาชิงไม่ละสายตา หยางเจาชิงยิ้มเบาๆ ให้เขา

อิ๋งอู๋หม่านขยับตัวไม่ได้ จะพูดก็พูดไม่ได้ มีเพียงดวงตาสองข้างที่จ้องอู๋เซียนฉีราวกับจะมีไฟพ่นออกมา

อู๋เซียนฉีพลันหันกลับไปมองทหารยศเล็กที่อยู่ข้างๆ “เจ้ากลับไปก็คงจะไม่ได้มีจุดจบที่ดี!”

ทหารยศเล็กคนนั้นพยักหน้ากล่าวอย่างเกรงกลัว “ข้ายินดีติดตามขุนพล!” เขารู้ว่าถ้าไม่ทำอย่างนี้ ก็ยังไม่ต้องพูดถึงว่ากลับไปจะมีจุดจบอย่างไร อย่างน้อยตอนนี้อู๋เซียนฉีก็ไม่ปล่อยให้เขามีชีวิตอยู่ต่อแน่

อู๋เซียนฉีรีบลงตราอิทธิฤทธิ์บนระฆังดาราสองอัน แล้วโยนให้หยางเจาชิงอันหนึ่ง จากนั้นก็ดึงตัวทหารคนนั้นไว้ เร่งเหาะไปยังจุดลึกในดาราจักรโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง ไปอย่างรวดเร็วไม่ลังเล

หยางเจาชิงมองระฆังดาราในมือแล้วเก็บช้าๆ จากนั้นถอนหายใจเฮือกหนึ่ง

สวีถังหรานก็โล่งใจมากเช่นกัน มองหยางเจาชิงพลางส่ายหน้า “พี่หยาง วันนี้สวีขอหมอบกราบท่านเลย!”

หยางเจาชิงรีบหันมองไปรอบๆ “คำพูดเกรงใจพวกนี้เอาไว้พูดทีหลัง อยู่ที่นี่นานไม่ได้ ทางอ๋าวเฟยน่าจะยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ถ้าพบว่าอิ๋งอู๋หม่านหายตัวไป จะต้องรีบตามหาตรงทิศทางที่อู๋เซียนฉีเดินทางไปแน่นอน อู๋เซียนฉีหนีไปแบบนี้อาจจะเบี่ยงเบนความสนใจได้ ตอนที่ยังไม่รู้ว่าอิ๋งอู๋หม่านตกอยู่ในมือพวกเรา อิ๋งอู๋หม่านยังมีประโยชน์ต่อนายท่านมาก รีบติดต่อนายท่าน ให้นายท่านส่งคนมารับ”

……………

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

เหมียวอี้ เด็กหนุ่มธรรมดาแต่มีโชคชะตาที่ไม่ธรรมดา!

เขาคือเด็กกำพร้าที่ถูกเพื่อนบ้านตราหน้าว่าเป็น ‘ตัวหายนะ’

เพราะพ่อแม่บุญธรรมที่รับเลี้ยงเขาล้วนมีจุดจบอยู่ในกองเพลิงทั้งสิ้น

เขาจึงต้องเติบโตมากับน้องๆ ต่างสายเลือดอีกสองคนตามลำพัง

ไร้เงิน ไร้อำนาจ ไร้ความสามารถ ซ้ำยังเป็นตัวซวย โลกนี้มันช่างอยู่ยากเสียจริง!

หนทางที่จะลบคำครหาของชาวบ้านและก้าวพ้นชีวิตที่ยากไร้ไปได้ก็คือการสำเร็จเป็นเซียน

แม้ความปรารถนาจะอยู่สูงเกินเอื้อม แต่เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่น

ถึงจะลำบากและอันตรายเพียงใด

ก็ขอทะยานไปให้สุดขอบฟ้า!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท