ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม [穿书后,我成了三个反派的娘] – บทที่ 299 ตู้เหิงเล่นละคร

ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม [穿书后,我成了三个反派的娘]

บทที่ 299 ตู้เหิงเล่นละคร

บทที่ 299 ตู้เหิงเล่นละคร

ตู้เหิงจิบชาหนึ่งอึก แล้วเอ่ยเสียงราบเรียบว่า “พูดต่อสิ”

อาซู่จึงรายงานต่อ “ต่อมา คุณชายลู่จึงเชิญคุณหนูรองไปทะเลสาบด้วยกัน…”

ตู้เหิงตอบแค่ ‘อื้อ’ โดยไม่ได้พูดอะไรให้มากความ

ในใจของอาซู่ราวกับมีเปลวไฟสุมทรวง ก่อนจะกล่าวเสียงเบา “คุณหนูไม่ต้องคิดมากหรอกเจ้าค่ะ พฤติกรรมของคุณชายลู่ อยู่ในสายตาของคนทั้งเมือง อีกอย่างคุณชายลู่ก็จริงใจกับคุณหนู…”

ตู้เหิงยิ้มทันใด ดวงตาคู่งามฉายแววเย็นชา ก่อนจะชำเลืองมองอาซู่แวบหนึ่ง พร้อมกับกล่าวเสียงเบา “เจ้าจะร้อนใจทำไม? หรือกลัวข้าคิดแง่ร้าย จนไม่ยอมแต่งงานออกเรือน กลัวว่าความรู้สึกที่เจ้ามีต่อคุณชายลู่จะสูญเปล่าเช่นนั้นสินะ?”

อาซู่ตะลึงงันทันที จากนั้นก็มีใบหน้าถอดสี

นัยน์ตาของสาวใช้ค่อย ๆ รื้นหยาดน้ำใส แต่กลับพยายามอดกลั้นไว้ ไม่ให้ตนเองส่งเสียงสะอื้นออกมา แล้วเอ่ยถามตู้เหิงเสียงแผ่วเบา “ในสายตาของคุณหนู ข้าคิดเช่นนี้หรือเจ้าคะ?”

ตู้เหิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ทางที่ดี ต่อไปเจ้าอย่าได้คิดเช่นนี้แล้วกัน”

นางไม่ได้พูดเช่นนี้โดยไร้เหตุผล

ในอดีตชาติที่ตู้เหิงออกเรือนเข้าไปอยู่ในจวนลู่ อาซู่สาวใช้คนนี้ได้หลงเสน่ห์ลู่หัวอย่างรวดเร็ว

แม้ว่านางจะมีใจจงรักภักดีต่อตู้เหิง แต่ทั่วทุกหนแห่งเอาแต่พูดถึงลู่หัว ซึ่งนั่นทำให้ตู้เหิงหงุดหงิดใจไม่น้อย

หากไม่ใช่เพราะสุดท้ายแล้วนางยอมตายเพื่อตู้เหิง ชาตินี้ตู้เหิงคงไม่มีทางยอมให้อาซู่ปรนนิบัติอยู่ข้างกายเป็นแน่

การโจมตีเช่นนี้ ดูเหมือนว่าตอนนี้จะยังหนักหน่วงเกินไป อีกทั้งยังสร้างบาดแผลในหัวใจของสาวใช้อยู่ไม่น้อย ตู้เหิงไม่อยากให้มีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นอีก

เมื่อนางเห็นว่าอาซู่ไม่พูดสิ่งใด น้ำเสียงจึงแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชายิ่งกว่าเดิม “สิ่งที่ข้าพูด จำได้แล้วหรือไม่?”

อาซู่คุกเข่าลง แล้วเช็ดคราบน้ำตาข้างแก้ม ก่อนจะพูดเสียงเบาว่า “อาซู่จำได้เจ้าค่ะ”

เมื่อตู้เหิงเห็นนางร้องไห้อย่างหนักหน่วง จึงลดความเย็นชาลง แล้วพูดว่า “เอาละ ลุกขึ้นเถอะ แล้วเช็ดน้ำตาเสีย”

อาซู่จึงลุกขึ้นยืนตามคำสั่ง เพียงแต่น้ำตาเหล่านั้น ไม่ว่าจะเช็ดอย่างไรก็ไม่หมดเสียที

ตู้เหิงมองเข้าไปในดวงตาของอาซู่ และพูดกับนาง “อาซู่ เจ้าเติบโตมากับข้าตั้งแต่ยังเด็ก มิตรภาพของเราสองคน ไม่มีทางที่ผู้อื่นจะเทียบเคียงได้ แต่บัดนี้ข้าอยู่โดดเดี่ยวภายในจวน ท่านพ่อก็ยุ่งแต่เรื่องในราชสำนัก ท่านย่าก็รักใคร่แต่อนุภรรยา น้องชายและน้องสาวต่างมารดาก็ไม่ชอบข้า อาซู่ เจ้าคงรู้จักสภาพแวดล้อมรอบตัวของข้าดี”

สาวใช้เบิกตากว้าง ไม่ให้หยาดน้ำตาขวางสายตาที่นางใช้มองไปยังตู้เหิง จากนั้นก็พยักหน้า “คุณหนู อาซู่เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ”

ตู้เหิงตอบแค่ ‘อื้อ’ และพูดต่อว่า “เจ้าและแม่นมอยากให้ข้าออกเรือนไปอยู่กับจวนลู่ ครั้นหลุดพ้นจากพันธนาการนี้แล้ว จะรู้ได้อย่างไรว่าจวนลู่ไม่ใช่พันธนาการที่โหดร้ายยิ่งกว่า?”

อาซู่เกิดความลังเลเล็กน้อย ก่อนจะพูดเสียงเบา “คุณหนู อาซู่ไม่เข้าใจ”

ยากนักที่ตู้เหิงจะมีความอดทนมากมายต่ออาซู่เพียงนี้ นางพยายามอธิบายด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนลง “ตอนนี้ข้ายังไม่ออกเรือน ยังเป็นหลานสาวของขุนนางเจ้าอาลักษณ์ แต่ถ้าแต่งงานออกเรือนกับผู้อื่นแล้วกลายเป็นภรรยาของอีกฝ่าย นี่ไม่เป็นการเปิดโอกาสให้ผู้อื่นรังแกข้าหรอกหรือ?”

อาซู่ลืมหยาดน้ำตาไปหมดสิ้น นางเบิกตากว้าง “แต่…คุณชายลู่จะไม่มีวันทรยศต่อคุณหนูเจ้าค่ะ”

สีหน้าของตู้เหิงค่อย ๆ เย็นชาลง ดวงตาคู่งามไม่แสดงความรู้สึกใด นางมองอาซู่ และเอ่ยถามอย่างเยือกเย็น “เจ้ารู้ได้อย่างไร?”

สาวใช้ตอบไม่ได้

ตู้เหิงส่ายหน้าและพูดว่า “อย่าหาว่าข้าใจร้ายกับเจ้าเลย อาซู่ เจ้ายังไร้เดียงสาเกินไป ลู่หัวให้ประโยชน์กับเจ้าเท่าไรกันเชียว? เจ้าถึงช่างกล้าพูดเช่นนี้แทนเขา?”

อาซู่ส่ายหน้า “ข้าน้อย ข้าน้อยไม่ได้…”

ตู้เหิงเห็นท่าทางของอาซู่จึงพูดว่า “ดูคนจะดูแค่ภายนอกไม่ได้ ต่อไปเจ้าต้องค่อย ๆ เรียนรู้จากข้า”

อาซู่กัดริมฝีปาก นึกถึงเรื่องที่ลู่หัวและตู้หวู่ไปนั่งเรือเล่นด้วยกันวันนี้ ในใจก็บังเกิดความกังวลบางอย่างขึ้น พลางเอ่ยถามว่า “คุณหนู…ถ้าคุณชายลู่ไม่ใช่คนใจดี ต่อไปคุณหนูจะทำอย่างไรเจ้าคะ?”

ตู้เหิงยิ้มบาง ๆ “เจ้าลืมร้านขายของที่ท่านแม่ข้าทิ้งไว้ให้แล้วหรือ? ก็ทำกิจการสักอย่าง หาเงินให้ได้มาก ๆ ในเมื่อเราพึ่งพาใครไม่ได้ อย่างน้อยก็มีอำนาจปกป้องตัวเอง”

นับตั้งแต่ที่นางย้อนเวลากลับมา หญิงสาวก็ตั้งใจไว้เช่นนี้

อาซู่ได้ยินดังนั้นก็เอ่ยถามขึ้น “ที่คุณหนูให้ข้าไปจวนโจวเมื่อสองสามวันก่อน เพื่อร้านขายของที่ฮูหยินทิ้งไว้ให้ใช่หรือไม่เจ้าคะ?”

ตู้เหิงพยักหน้า “จวนโจวยังมีคนที่ใช้การได้อีกไม่น้อย เพียงแต่คนของข้านั้น จะต้องค่อย ๆ ฝึกฝน”

เมื่ออาซู่เข้าใจความหมายที่แฝงในคำพูดเหล่านั้น จึงตัดสินใจได้ “อาซู่จะพยายามอย่างเต็มที่เจ้าค่ะ”

เมื่อเห็นแววตามุ่งมั่นของสาวใช้ ตู้เหิงจึงหัวเราะเบา ๆ และพูดว่า “เรื่องโจวหลายในวันนี้ ทำได้ยอดเยี่ยมมาก”

เมื่อโจวหลายได้รับข่าวก็ตรงมายังจวนตู้ทันที จนได้ยินคำสั่งของตู้เหิง ให้ไปจัดการเก็บหยางซินให้เรียบร้อย ถือว่าจัดการความยุ่งยากขนาดใหญ่ให้นางด้วย

ในที่สุดอาซู่ก็รู้สึกโล่งใจอยู่ภายใน นางเม้มปากก่อนจะพูดว่า “อาซู่อยากแบ่งปันความกังวลแทนคุณหนูนะเจ้าคะ”

ตู้เหิงยังคงมีสีหน้าเรียบเฉย จากนั้นก็ปรายตามอง “เอาละ ถ้าอยากช่วยแบ่งเบาภาระข้า ก็จงช่วยข้าแต่งตัวเสีย ดูจากเวลาแล้วคิดว่าสองคนนั้นคงจะต้องตาต้องใจกันแล้วกระมัง? เราควรจับตามองไว้ไม่ให้คลาดสายตา”

อาซู่ตื่นตระหนกอยู่ในใจ แต่ก็ยังแต่งตัวให้แก่ตู้เหิง

นางไม่ได้ฉลาดมากพอ ต่อไปแค่เชื่อฟังคุณหนูก็พอ

ตู้เหิงพาสาวใช้ทั้งสี่คนมาชานเมืองด้วยความเกรียงไกร กระทั่งเห็นเด็กรับใช้ของลู่หัวยืนเฝ้าอยู่ในศาลาข้างทะเลสาบ

นางเดินจึงรุดเดินขึ้นหน้า จากนั้นก็ตะโกนเสียงดังสนั่น “อาเหลียง? เหตุใดมีแค่เจ้าอยู่ที่นี่? นายน้อยของเจ้าเล่า?”

เมื่ออาเหลียงเห็นตู้เหิง ใบหน้าของเขาก็ดูเลิกลั่กในทันที

ตู้เหิงขมวดคิ้วแน่น ก่อนจะพูดด้วยเสียงเคร่งขรึม “เหตุใดเจ้าต้องแสดงท่าทางเช่นนี้ด้วย?”

อาเหลียงรีบขจัดสีหน้าตื่นตระหนกนั้นทันที หัวใจของเขาตอนนี้กำลังเต้นตึกตักรุนแรง ในสมองกำลังประมวลผลอย่างรวดเร็ว

“รายงานแม่นางตู้ ข้าแค่ตกใจเท่านั้น…แม่นางตู้ให้คนมาส่งข่าวไม่ใช่หรือว่าวันนี้ไม่ค่อยสบาย มาไม่ได้น่ะขอรับ?”

ตู้เหิงเดินเข้ามาในศาลาอย่างเชื่องช้า รอให้สาวใช้ที่อยู่ด้านหลังปูเบาะรองนั่งเรียบร้อย จึงทิ้งตัวนั่งบนม้านั่งหิน

น้ำเสียงของนางอ่อนโยนลง และเอ่ยอย่างอารมณ์ดีว่า “ยามเช้าข้าตื่นขึ้นมาแล้วรู้สึกไม่ค่อยสบาย คิดว่าคุณชายลู่คงจะเตรียมการมาอย่างดี ถ้าข้าไม่มาวันนี้ ก็คงจะเสียมารยาท… โชคดีที่คุณชายลู่ยังไม่กลับ”

ตู้เหิงกล่าวเช่นนี้ ดวงตาคู่งามใต้ผ้าคลุมหน้าพลันฉายแววตาเอียงอายราวกับดรุณีน้อย เมื่ออาเหลียงเห็นดังนั้นก็พึมพำในใจ ‘เวรแล้ว’

ท่าทางเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าแม่นางตู้มีใจให้นายน้อยแน่นอน

ถ้านางเห็นว่านายน้อยขึ้นเรือไปกับคุณหนูรอง ฟ้าจะไม่ถล่มลงมาหรอกหรือ?!

เรื่องการแต่งงานของนายน้อยและจวนตู้ คงได้จบเห่ก็งานนี้…

ไม่ทันรอให้อาเหลียงได้มีปฏิกิริยาตอบสนอง ดวงตาคู่งามของตู้เหิงได้กวาดมองไปรอบ ๆ พร้อมเอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจ “เจ้าอยู่ที่นี่ แล้วนายน้อยของเจ้าไปไหนเล่า?”

อาเหลียงเกิดความลำบากใจขึ้นมา อยากจะทุบศีรษะให้คิดหาข้อแก้ตัวให้กับนายน้อย แต่กลับได้ยินสาวใช้ที่ไม่รู้โผล่มาจากไหนตะโกนขึ้นว่า “คุณหนู ดูเรือในทะเลสาบนั่นสิเจ้าคะ!”

สายตาของทุกคนจับจ้องไปบนทะเลสาบอย่างอดไม่ได้ เรือลำเล็กที่ตกแต่งอย่างงดงามกำลังแล่นเข้าสู่ฝั่ง

เงาร่างของชายหญิงคู่หนึ่งยืนอยู่บนหัวเรือ ระยะทางค่อนข้างไกล จึงมองไม่เห็นรูปร่างหน้าตาอย่างชัดเจน

เมื่ออาเหลียงเห็นเรือที่เขาตั้งใจตระเตรียมไว้ลำนั้น ก็รีบเบนสายตากลับมามองใบหน้าของตู้เหิงทันที จนเห็นว่าสีหน้าของคุณหนูจากจวนเจ้าอาลักษณ์ผู้นี้ค่อย ๆ แปรเปลี่ยนไปทีละน้อย

เขาตะโกนห้ามในใจไม่หยุดหย่อน

นายน้อย! นายน้อยมองศาลาสิ! อย่าพาคุณหนูรองตู้ขึ้นฝั่งเด็ดขาดนะ!

…………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

นังตู้เหิงนี่คงจับฉลากได้มาเป็นนางเอกสินะ ดูพฤติกรรมต่าง ๆ แล้วเป็นต้องส่ายหน้า

อีกหน่อยจะมีการทำยุทธหัตถีกันแล้วมั้ง คนซวยสุดคือบรรดาคนใช้ตัวเล็ก ๆ นี่แหละ

ไหหม่า(海馬)

ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม [穿书后,我成了三个反派的娘]

ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม [穿书后,我成了三个反派的娘]

Status: Ongoing
เหยาซูเสียชีวิตเนื่องจากเครื่องบินตก ตื่นขึ้นมาอีกทีก็พบว่าตนเองได้มาอยู่ในร่างตัวละครหนึ่งในนิยายที่ตัวเองกำลังอ่าน!หญิงสาวเสียชีวิตจากอุบัติเหตุเครื่องบินตกและมาเกิดใหม่ในนิยายยุคโบราณที่ตนเองกำลังอ่าน หลังฟื้นขึ้นมาจึงพบว่าตนเองอยู่ในร่างของ เหยาซู มารดาของวายร้ายทั้งสามในเรื่อง กลายเป็นแม่ม่ายลูกติดโฉมสะคราญที่ผู้คนต่างชี้หน้าบอกว่าเป็นตัวซวยทำให้สามีต้องตาย เมื่อได้ทราบว่าชีวิตของลูก ๆ ต้องเผชิญกับการดูถูก นางจึงทนไม่ไหวเก็บข้าวของหอบลูกกลับบ้านเก่า เริ่มต้นชีวิตใหม่กับลูกและครอบครัวทางแม่ของตน ด้วยคิดว่าหากสั่งสอนลูกดี ๆ พวกเขาคงไม่กลายเป็นตัวร้าย จนกระทั่งวันหนึ่งสามีของนางได้กลับมา พวกเขาจึงได้ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขอีกครั้ง แต่แล้วนางก็นึกขึ้นมาได้ว่าตามนิยายต้นฉบับสามีของตนจะตกหลุมรักสตรีอื่น จึงคิดหาวิธีที่จะหย่าขาดกับเขาอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท