บทที่ 302 เจียงหนิงคิดว่าจะช่วยหลินเหราอย่างไร
บทที่ 302 เจียงหนิงคิดว่าจะช่วยหลินเหราอย่างไร
ตลอดช่วงเช้าจะว่ายาวก็ไม่ยาว จะว่าสั้นก็ไม่สั้น
แสงอาทิตย์ในต้นฤดูวสันต์ยังคงแผดเผาร้อนแรง กระทั่งสาดส่องลงมาบนใบหน้าของทุกคน ไม่นานร่างกายเหล่าทหารก็เปียกโชกไปด้วยหยาดเหงื่อ
หลินเหราก็เป็นเช่นนี้
ในขณะที่ชายหนุ่มกำลังออกคำสั่ง เขาได้เคลื่อนไหวไปพร้อมกับเหล่าทหารเช่นกัน ประกอบกับเสียงตะโกนที่ต้องสูงตลอดเวลา ไม่นานใบหน้าของเขาก็เปียกโชกไปด้วยหยาดเหงื่อราวกับถูกดึงขึ้นมาจากน้ำ
ระหว่างการฝึกยังมีทหารบางคนยังไม่ได้มาตรฐาน แต่ก็ยังจะแอบอู้ ภายใต้สายตาที่คมกริบดุจเหยี่ยวของหลินเหรา ไม่นานเขาก็ถูกลากตัวออกมา
หลินเหราไม่พูดมากความ พาคนเหล่านั้นขึ้นมาบนแท่นของลานประลอง จากนั้นก็ทำการฝึกฝนเขาด้วยตัวเองหลายครั้ง ถึงจะปล่อยไป
เวลาพักเพียงสั้น ๆ ในบรรดาทหารสามร้อยนายมีคนเอ่ยกระซิบกระซาบกันว่า “นายกองหลินคนนี้ ประวัติความเป็นมาอย่างไร? ทำไมถึงได้มีความสามารถมากเพียงนี้”
คนพูดส่ายหน้า “ท่าทางจะต้องดุดันกว่าคนทั่วไป มิเช่นนั้นใครเล่าจะเชื่อฟัง?”
คนที่เปิดประเด็นเป็นคนแรกคลี่ยิ้ม “ท่าทางดุดันงั้นหรือ? เจ้าดูแขนของเขาสิ ออกแรงเหวี่ยงหน่อย ก็ยังได้ยินเสียงแล้ว…ข้าไม่อยากถูกคนประเภทนี้กำจัดหรอกนะ”
ชายผู้กล้าที่อยู่ด้านข้างหัวเราะเสียงดัง “ฮ่า ๆ ข้าไม่กลัวเขาหรอก แต่มาคิด ๆ ดูแล้ว การฝึกในคราวนี้อาจจะสร้างความโดดเด่นให้แก่เรา ไม่แน่พวกเราอาจจะได้รับคำชมจากท่านแม่ทัพก็เป็นได้”
เมื่อโพล่งประโยคนี้ออกมา ทุกคนต่างก็ทยอยกันพยักหน้า
ไม่นานหลินเหราก็ครองใจเหล่าทหารได้ในที่สุด
ท่านแม่ทัพติดภารกิจ อีกทั้งทหารในค่ายก็มีจำนวนมาก ยากนักที่จะมีใครโดดเด่นออกมาเป็นพิเศษจนเข้าตาท่านแม่ทัพได้
การฝึกฝนในคราวนี้ เป็นโอกาสที่ดีอย่างหนึ่ง ยิ่งไปกว่านั้นหลินเหราก็มีรูปแบบการฝึกทหารเป็นของตัวเอง
แต่ถึงกระนั้นก็ยังมีทหารที่กล้าได้กล้าเสีย ไม่ยอมก่อความวุ่นวายในเวลานี้ จนทำลายอนาคตของตัวเอง
เวลาพักผ่านไปอย่างรวดเร็ว ต่อไปก็จะเป็นการฝึกฝนที่ได้ตระเตรียมมา
เหล่าทหารต่างก็เหนื่อยจนแทบขาดใจ ครั้นเห็นร่างเงาสูงใหญ่ที่ยืนตระหง่านอยู่บนแท่นสูงผู้นั้น น้ำเสียงที่ดูทรงพลังและมั่นคงของหลินเหราได้ดังขึ้นข้างหู แม้แต่ลมหายใจก็ยังทำตามคำสั่งไม่ยอมปั่นป่วน และมีพลังมากอีกด้วย
ไม่นาน ทหารที่อยู่ใต้บัญชาการของท่านแม่ทัพก็มาถึงลานประลอง “นายกองหลิน! ฝึกทหารไปถึงไหนแล้ว? ท่านแม่ทัพเรียกเจ้ากลับไปรายงานผล”
หลินเหราพยักหน้า จากนั้นก็ตะโกนไปยังเหล่าทหารเบื้องล่าง “ท่านแม่ทัพกำลังมาตรวจการ แม้ว่านี่จะเป็นเวลาพัก แต่ก็ห้ามทหารเดินสะเปะสะปะเด็ดขาด!”
ทุกคนตอบรับอย่างพร้อมเพรียง “รับทราบ!”
ดวงอาทิตย์ค่อย ๆ ไต่ระดับขึ้นสู่ท้องฟ้า บางครั้งก็มีสายลมอ่อน ๆ พัดผ่านเข้ามาในลานประลอง เหล่าทหารที่อยู่ ณ ที่แห่งนี้พากันกลั้นหายใจ ไม่มีผู้ใดเอ่ยเอื้อนสิ่งใดออกมา
หวังฮุยและคนอื่นที่นอนเกียจคร้านอยู่ใต้ต้นหวาย มองดูสถานการณ์ในลานประลอง ก่อนจะคลี่ยิ้ม “เป็นเช่นนี้ตั้งแต่เช้า อีกประเดี๋ยวท่านแม่ทัพจะต้องพอใจแน่นอน”
มีบางคนส่ายหน้า พลางเอ่ยอย่างทอดถอนใจ “รูปแบบก็มีแล้ว แต่เวลาในการฝึกนั้นสั้นเกินไป มันจะออกมาในรูปแบบไหน ไม่อาจคาดเดาได้เลย”
ทหารที่มีอายุน้อยที่สุด และยังคงดูอ่อนเยาว์ด้านข้างกล่าวขึ้นด้วยรอยยิ้ม “พี่ใหญ่จางอย่าเยาะเย้ยสิ ฝึกมันก็ฝึกดีอยู่หรอก ไม่เห็นหรือยามที่พี่ใหญ่หลินไม่อยู่ พวกทหารก็ยังเป็นระเบียบ? ท่านแม่ทัพกล่าวไว้ นี่คือพลังจิงชี่ [2]…”
ชายฉกรรจ์ที่ถูกเขาขานเรียกว่า ‘พี่ใหญ่จาง’ ก็พลันเบิกตากว้าง “ข้าเยาะเย้ยที่ไหนกัน? ข้าจะเยาะเย้ยใครก็ได้ แต่ข้าจะไม่มีวันเยาะเย้ยพี่ใหญ่หลินเด็ดขาด ก็แค่คุยขำ ๆ เท่านั้น เจ้าเด็กคนนี้จะคิดจริงจังทำไม?”
ระหว่างที่พวกเขากำลังพูดคุยกัน สายตาก็เหลือบไปเห็นท่านแม่ทัพเดินนำกลุ่มคนออกมาจากในกระโจม นั่นคือลูกน้องสองคนที่เจียงหนิงพามา แล้วก็หลินเหราอีกคน พวกเขาเดินมาถึงลานประลองพร้อมกัน
เจียงหนิงกล่าวให้กำลังใจก่อนเริ่มการฝึกตามปกติ จากนั้นก็ยกลานประลองให้กับหลินเหรา ส่วนตัวเองก็ยืนอยู่บนแท่นสูง มองผลลัพธ์จากการฝึกฝนตลอดช่วงเช้าของเขา
กลุ่มคนที่อยู่ใต้ต้นหวายฉู่จับจ้องมาทางนี้อย่างไม่ละสายตา เฝ้ามองพลางเอ่ยอย่างทอดถอนใจ “สวรรค์!… การฝึกในคราวนี้ดีกว่าเมื่อครู่ไม่น้อย สาเหตุเพราะท่านแม่ทัพปรากฏตัวอย่างนั้นหรือ?”
หวังฮุยพยักหน้า และกล่าวเสียงต่ำ “ก็ไม่เชิง ดูท่าพี่ใหญ่หลินคงจะจดจำในสิ่งที่ท่านแม่ทัพเคยพูดได้ขึ้นใจ ทำให้ผลลัพธ์ออกมาเป็นเช่นนี้”
เด็กหนุ่มที่อายุน้อยที่สุดก็ยังไม่เข้าใจ “ว่าอย่างไรนะ? ท่านแม่ทำเคยพูดสิ่งใด?”
หวังฮุยมองเขาแวบหนึ่ง สายตาของเขาเบนกลับไปยังลานประลองอีกครั้ง โดยไม่ตอบแต่ถามกลับ “ท่านแม่ทัพเคยกล่าวไว้ สิ่งสำคัญที่สุดในการฝึกทหารคืออะไร?”
เด็กหนุ่มกล่าวอย่างว่าง่าย “ฝึกใจเป็นหลัก ฝึกร่างกายเป็นรอง แล้วค่อยฝึกทักษะ”
ชายหนุ่มที่ถูกเขาขานเรียกว่า ‘พี่ใหญ่จาง’ ยกยิ้มพร้อมกับเขกศีรษะของเด็กหนุ่ม “เจ้าไม่รู้จริง ๆ ใช่หรือไม่! ตอนนี้พี่ใหญ่หลินไม่มีเวลาฝึกร่างกายแล้ว ได้แค่ฝึกจิตใจและทักษะของพวกทหารมันเท่านั้น!”
เด็กหนุ่มตอบ ‘อือ’ แล้วไม่พูดสิ่งใดต่อ จากนั้นก็จับจ้องไปยังลานประลองอย่างไม่ละสายตาเหมือนกับทุกคน
เวลาไม่ถึงก้านธูป การฝึกฝนก็เสร็จสิ้น
ในสายตาของหวังฮุยและคนอื่น การฝึกคราวนี้เรียกได้ว่าเป็นตัวอย่างของการฝึกทหารอย่างดี หลินเหราใช้เวลาเพียงสั้น ๆ ก็สามารถทำให้ทหารเหล่านั้นยอมทำตามได้อย่างเข้มงวดกวดขัน ฝึกฝนทุกคนจนจบกระบวนการ แม้แต่พลังจิงชี่ ก็ยังแตกต่าง
หวังฮุยอดทอดถอนใจไม่ได้ “มิน่าละพี่ใหญ่หลินถึงได้รับคำชมของท่านแม่ทัพ การฝึกในวันนี้ ทำให้ข้านึกถึงเมื่อครั้งยังอยู่ในซีเป่ย…ถ้ามีพี่ใหญ่หลิน เชื่อว่าไม่เกินครึ่งเดือน บรรยากาศรอบค่ายทหารจะต้องแตกต่างไปจากเดิมแน่”
ชายหนุ่มวัยละอ่อนด้านข้างส่ายหน้า “ยาก เมืองหลวงไม่ใช่ซีเป่ย มักจะมีบางคนไม่เชื่อฟังคำสั่ง เหตุผลก็ใช้ไม่ได้”
ขณะที่ทุกคนกำลังคุยกัน ท่านแม่ทัพที่อยู่บนลานประลองได้พูดให้กำลังใจทุกคน จากนั้นก็พาหลินเหราจากไป
เมื่อกลับมาถึงกระโจม เจียงหนิงก็เอ่ยถาม “เวลาหนึ่งชั่วยามกว่าวันนี้ รู้สึกอย่างไรบ้าง?”
หลินเหราติดตามเจียงหนิงมาเนิ่นนาน ทั้งสองคนต่างเข้าใจกัน ไม่ต้องให้เจียงหนิงพูดมากความ เขาก็รู้ว่าท่านแม่ทัพกำลังถามถึงอะไร
ชายหนุ่มมีสีหน้าเย็นชา พลางกล่าวเสียงเคร่งขรึม “ในบรรดาทหารจำนวนสามร้อยนายนี้มีบางคนเกียจคร้าน บางคนก็ทำได้ดี การก่อความวุ่นวายให้กับสถานการณ์ในวันนี้ถือว่าโง่เขลามาก จึงไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นขอรับ”
เจียงหนิงยิ้มอย่างอบอุ่น ก่อนจะพยักหน้าชื่นชม “ใช่ ถ้าวันนี้คนฝึกไม่ใช่เจ้า แต่เป็นหวังฮุย เกรงว่ามันคงวุ่ยวายน่าดู เด็กคนนี้ รู้ทั้งรู้ว่าข้าอยู่ ยังกล้าเกียจคร้าน”
หลินเหราได้ยินดังนั้น จึงกล่าวกับเจียงหนิงว่า “หวังฮุยนั้นฉลาด เพียงแต่ต้องฝึกฝนอยู่ข้างกายท่านแม่ทัพหลายปีหน่อยขอรับ”
ทั้งสองคนไม่ได้เจอหน้ากันหลายเดือนแล้ว เมื่อเจียงหนิงเห็นท่าทางสุขุมนิ่งขรึมจากคนสนิทชิดเชื้อของตัวเอง จึงอดพูดอย่างทอดถอนใจไม่ได้ “ถ้าทุกคนล้วนเป็นแบบเจ้า ชีวิตประจำวันของข้าคงจะเงียบสงบไม่น้อย ทุกอย่างถูกวางแผนไว้แล้ว อาเหราอยู่ข้างกายข้าไม่ถึงหนึ่งปี ข้าไม่มีสิ่งใดจะสอนเขาอีกแล้ว”
หลินเหราเผยสีหน้าจริงจัง เมื่อประสานสายตากับเจียงหนิง เขาพูดเสียงเบาว่า “ท่านแม่ทัพสำหรับข้า ไม่เพียงแต่เป็นขุนนางระดับสูงแล้ว ยังเป็นทั้งอาจารย์และพ่อของข้าด้วยขอรับ”
นิสัยนิ่งเฉยของหลินเหรา น้อยคนนักจะได้เห็นคำพูดที่เอื้อนเอ่ยออกมาต่อหน้าเจียงหนิง
เจียงหนิงพลันหัวเราะเสียงดัง ก่อนจะชื่นชมว่า “นับตั้งแต่อยู่บ้านมาหลายเดือน นิสัยของเจ้ากลับอ่อนโยนลงไม่น้อย ข้าเคยบอกกับเจ้า แข็งเกินไปก็แตกหักง่าย คนเราควรจะมีจิตใจที่อ่อนโยนลงบ้าง ดูท่าสองสามวันนี้เจ้าฝึกฝนได้ไม่เลวเลยเชียว”
หลินเหราเห็นท่าทางสบายใจของท่านแม่ทัพ ความเย็นชาที่มักปรากฏระหว่างคิ้วอย่างเคยชิน ก็เจือไปด้วยความอบอุ่นบางอย่าง
นัยน์ตาที่ดูลึกล้ำคู่นั้นของเขาเปล่งประกายระยิบระยับ ก่อนจะพูดเสียงต่ำว่า “ในที่สุดก็เข้าใจคำพูดในอดีตของท่านแม่ทัพเสียที ภรรยาและลูกในบ้านล้วนคือคนที่เราต้องปกป้อง ข้าต้องจับดาบไว้ในมือเพื่อพวกเขาขอรับ”
ทั้งสองคนพูดคุยกันอย่างสบาย ๆ อีกสองสามประโยค เพราะท่านแม่ทัพยุ่งมาก จึงทิ้งหลินเหราให้กินข้าวอยู่ในค่ายทหาร แล้วปล่อยให้เขากลับเมืองหลวง
ก่อนออกเดินทาง เจียงหนิงได้เอ่ยถามว่า “ได้ยินว่าเจ้ากักขังใครคนหนึ่งไว้ในจวน? เช้าตรู่วันนี้เจ้าตั้งใจจะไปไต่สวนเขาใช่หรือไม่?”
หลินเหราตอบรับ “ขอรับ ตอนนี้ข้ามีคดีความหนึ่งต้องสืบหา เนื่องจากไม่อยากแหวกหญ้าให้งูตื่น จึงต้องรบกวนท่านแม่ทัพเสียหน่อยขอรับ”
เจียงหนิงยิ้มอย่างอบอุ่น “เจ้าไปสืบเถอะ มีข้าอยู่ ถ้าผู้ช่วยไม่เพียงพอ มาขอคนจากเจียงอู๋ก็ได้”
‘เจียงอู๋’ ติดตามท่านแม่ทัพมาตั้งแต่เด็ก ทั่วทั้งจวนท่านแม่ทัพ ล้วนเป็นหน้าที่เขาต้องดูแล
หลินเหราโค้งตัวคำนับ ไม่ทันรอให้เขากล่าวด้วยความซาบซึ้ง เจียงหนิงก็โบกมือปฏิเสธแล้ว “เอาละ หยุดพูดเหลวไหลได้แล้ว เจ้าไปทำภารกิจของเจ้าเถอะ”
ชายหนุ่มคารวะอีกครั้ง ก่อนจะย่างเท้าก้าวใหญ่ออกจากกระโจมของเจียงหนิงไป
หลังจากที่หลินเหราจากไป เจียงหนิงก็เรียกหวังฮุยและคนอื่น จากนั้นก็พูดให้กำลังใจ “วันนี้หลินเหราฝึกทหาร เห็นแล้วใช่หรือไม่?”
ทุกคนตอบรับ
กระทั่งได้ยินเจียงหนิงเอ่ยว่า “พวกเจ้าต่างก็ติดตามข้ามาจากซีเป่ย ความโหดร้ายทารุณในศึกสงครามก็ผ่านมาแล้ว บัดนี้มาถึงเมืองหลวง จะยอมสูญเสียปณิธานเพื่อความสุขสบายและความสุขเช่นนั้นหรือ?”
หวังฮุยและคนอื่นรีบปฏิเสธ “ไม่กล้า” จากนั้นก็ครุ่นคิดอย่างละเอียด หลายวันมานี้ พวกเขาไม่มีความกระตือรือร้นและความก้าวหน้าเหมือนตอนที่อยู่ในซีเป่ย
เมื่อเห็นสีหน้าละอายแก่ใจของทุกคน เจียงหนิงจึงเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง “แม้ว่าเรื่องสงครามในเมืองซีเป่ยจะสงบ แต่ในฐานะทหาร จะต้องเตรียมตัวพร้อมรบตลอดเวลา พวกเจ้าคิดให้ดี ๆ ต่อไปควรต้องทำตัวอย่างไร”
เจียงหนิงเคยชินกับการไม่ชอบพูด การชี้แนะของเขาในวันนี้ เป็นการตักเตือนอย่างหนึ่ง
ทุกคนตอบรับและถอยออกไป หวังฮุยมาถึงเป็นคนสุดท้าย จึงหันกลับถามประโยคหนึ่งว่า “ท่านแม่ทัพ… พี่ใหญ่หลิน จะกลับมาอีกหรือไม่ขอรับ?”
เจียงหนิงเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็เอ่ยเสียงเบา “หลินเหราไม่ใช่ผู้ทะเยอทะยาน เขาทิ้งข้าไปท่องยุทธภพกว้างแล้ว”
เมื่อหวังฮุยเห็นท่าทางเช่นนี้ของท่านแม่ทัพ ก็เริ่มแสบจมูกทันที ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “ช่วงเวลาเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายเมื่อครั้งอดีต พี่ใหญ่หลินคือคนที่สู้รบจนตัวตายที่สุด เป็นคนลากข้ากลับมาจากความตาย ตอนนี้ไหนบอกว่าพี่ใหญ่หลินกลับบ้านเพียงไม่กี่เดือนเท่านั้น? เหตุใดเขาถึงไม่กลับมา?”
เจียงหนิงหัวเราะไปด่าไป “บาดเจ็บสาหัสจนแทบเอาชีวิตไม่รอด พื้นดินที่เจิ่งนองไปด้วยโลหิตล้วนไม่เคยเห็นหยาดน้ำตาของเจ้า เหตุใดบัดนี้กลับร้องไห้เสียได้? ถ้าจะร้องไห้ก็ไม้ต้องให้ข้าเห็น หากหลั่งน้ำตาลงมาเพียงหยดเดียว จะต้องลงโทษให้วิ่งรอบเมือง”
ความเจ็บปวดที่พลันก่อเกิดของหวังฮุยถูกขัดจังหวะ จนกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
เขาสูดน้ำมูก จากนั้นก็คารวะท่านแม่ทัพ แล้ววิ่งออกไปทันที
เจียงหนิงจัดการเอกสารอยู่บนโต๊ะ พลางครุ่นคิดในใจ เหตุใดถึงจะเป็นกำลังเสริมช่วยเหลือหลินเหราในราชสำนักได้…
…………………………………………………………………………………………………………
[1] จิงชี่เสิน คือลมปรานที่เป็นสิ่งสำคัญในร่างกายมนุษย์
สารจากผู้แปล
จะสอบสวนลูกสมุนจากจวนโจวแล้ว สาวถึงนังตู้เมื่อไหร่ได้บันเทิงแน่
ไหหม่า(海馬)