ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม [穿书后,我成了三个反派的娘] – บทที่ 335 ที่ข้ามาก็เพราะว่าต้องการจะสนทนากับเจ้า

ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม [穿书后,我成了三个反派的娘]

บทที่ 335 ที่ข้ามาก็เพราะว่าต้องการจะสนทนากับเจ้า

บทที่ 335 ที่ข้ามาก็เพราะว่าต้องการจะสนทนากับเจ้า

สิ่งที่หลินเหรากล่าวมานั้นไม่ใช่เรื่องที่ผิดแต่อย่างใด  

เหยาซูทบทวนเกี่ยวกับเรื่องการศึกษาของอาจื้อ

หญิงสาวรู้ดีว่าเด็กชายเป็นคนอ่อนไหว อีกทั้งยังดื้อรั้นไม่ยอมแสดงความรู้สึกของตนเองออกมา นางจึงทั้งรักและอยากจะปกป้องดูแลเด็กชายตลอดเวลา

แต่อาจื้อไม่ได้เป็นเด็กตลอดไป ชีวิตย่อมไม่สมหวังได้เสมอ เหยาซูจึงไม่สามารถปกป้องลูกชายของนางตลอดไปได้

และอาจื้อก็มีบิดาที่ยอดเยี่ยม วันข้างหน้าย่อมสามารถฉายแววมากขึ้นเรื่อย ๆ

อารมณ์ที่อ่อนไหวละเอียดอ่อนเหล่านั้น ถ้าผ่านการเติบโตขึ้นก็จะค่อย ๆ เข้มแข็งขึ้นอย่างนั้นหรือ

เหยาซูในฐานะมารดา จะสามารถให้ความสำคัญ ความรัก และความเอาใจใส่ที่มีต่อลูกได้อย่างไร อีกทั้งจะมองข้ามการเติบโตที่แสนเจ็บปวดทรมานไปถึงจิตใจได้อย่างไร

คิดเช่นนี้ บางทีหญิงสาวก็อาจจะมีทิฐิมากไปในบางครั้ง

เหยาซูครุ่นคิดมาได้สักครู่ หลังจากพิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้วหญิงสาวก็ได้เงยหน้าขึ้นส่งยิ้มให้กับชายหนุ่ม

“ครั้งนี้ท่านพูดได้สมเหตุสมผล บางทีการปฏิบัติต่ออาจื้อในวันข้างหน้า ข้าเองก็คงจะต้องรักให้น้อยลงและให้กำลังใจเขามากขึ้น ให้เรียนรู้ที่จะปล่อยวาง ค่อย ๆ เปลี่ยนแปลงให้ใจกว้างและเบิกบานขึ้น เช่นนี้สิถึงจะเป็นสิ่งที่คนเป็นมารดาอย่างข้าสมควรจะทำ”

หลินเหราอดไม่ได้ที่จะค่อย ๆ ยิ้มออกมา

ชายหนุ่มส่ายหน้า ยิ้มแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “เดิมทีข้าแค่ต้องการจะปลอบเจ้า ไม่อยากให้เจ้าใส่ใจมากเกินไป ข้าไม่เคยคิดเลยว่าเจ้ากลับเพิ่มข้อเรียกร้องให้ตัวเจ้าเอง สิ่งที่มารดาคนนี้จะทำช่างเป็นเรื่องที่ลำบากเสียจริง ๆ”

เหยาซูเองก็ยิ้มออกมา แววตาเปี่ยมไปด้วยความโล่งใจ

หญิงสาวกุมมือชายหนุ่มไว้ ยิ้มให้เขาแล้วกล่าวว่า “การเลี้ยงดูลูกก็เป็นอีกหนึ่งวิชาที่ต้องเรียนรู้ ข้ามองว่าพวกเราสองคนก็ยังต้องเรียนรู้เช่นกัน”

หลินเหราพยักหน้าอย่างตั้งใจเขามองหน้านางแล้วกล่าวกับนางว่า “อาซู เจ้าวางใจเถอะ ข้าจะทำให้ดีที่สุด”

เป็นธรรมดาที่อาจื้อจะไม่เข้าใจว่าเหตุใดพ่อแม่ต้องพิจารณาเรื่องของเขามากมายนัก

เด็กชายผ่านการปลอบประโลมและสอนสั่งจากเหยาซู เขาเองก็ได้ลืมเรื่องราวแย่ ๆ ที่เกิดขึ้นไปในวันนั้นแล้ว เด็กชายเล่นกับพวกพี่ ๆ และน้องสาวอย่างมีความสุข แล้วเข้านอนตั้งแต่หัวค่ำ

หลังจากที่รอเหยาซูและหลินเหราพูดคุยกันอยู่ด้านนอกจนกลับเข้ามาในห้อง เด็ก ๆ ทั้งสามคนก็หลับปุ๋ยไปแล้ว

เหยาซูเข้าไปดูสภาพของลูก ๆ เมื่อเห็นอาจื้อที่ปากโค้งขึ้นเล็กน้อย ก็พลันโล่งใจขึ้นมา

หลินเหราที่เห็นเช่นนั้น จึงยิ้มขึ้นแล้วพูดว่า “ข้าเห็นเจ้าทำหน้าที่แม่แบบนี้ก็คงจะทุ่มเทใจเลยไม่น้อยจริง ๆ ”

เหยาซูหันหน้ากลับมา จ้องมองชายหนุ่มด้วยความเคืองขุ่น “มารดาคนไหนจะไม่ทุ่มเทเพื่อลูกบ้าง”

กล่าวเสร็จ หญิงสาวหันไปมองอาซือและซานเป่าเด็กตัวเล็กทั้งสอง เหยาซูมองดูเด็ก ๆ ที่หลับสนิท หญิงสาวเดินออกจากห้องตามหลินเหราไปอีกครั้ง

ทั้งสองสนทนากันระหว่างที่เตรียมตัวจะอาบน้ำ

จู่ ๆ เหยาซูก็นึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้จึงกล่าวกับหลินเหราขึ้นมาว่า “วันนี้อาจื้อไม่ใช่เด็กแล้ว บ้านก็ไม่ได้แยกกันเหมือนสมัยก่อน เราเก็บกวาดแล้วเพิ่มห้องให้เด็ก ๆ แยกกันนอนดีไหม”

หลินเหราวางผ้าเช็ดหน้าไว้บนชั้นวางไม้ คิ้วได้รูปบนใบหน้าหล่อเหลาเปียกเล็กน้อย ชายหนุ่มขมวดคิ้วให้กับหญิงสาว “เจ้าหมายถึง…”

เหยาซูเอื้อมมือไปหยิบไขผึ้งทาผิวจากชายหนุ่ม เช็ดหน้าพลาง สนทนาพลาง “มีความหมายอื่นด้วยหรือ ก็คือแยกห้องนอนกับลูก ๆ ตอนนี้ไม่มีเงื่อนไขเหมือนกับตอนที่อยู่ชนบทแล้ว ทำไมทั้งครอบครัวจึงต้องไปเบียดเสียดกันด้วยเล่า”

หลินเหราหัวเราะออกมา รุดขึ้นหน้าสาวเท้าเข้าไปใกล้หญิงสาว แล้วกล่าวต่อด้วยเสียงเบา ๆ “แน่นอนว่าข้ายินยอมที่แยกมากับเจ้า เพียงแต่ข้ากลัวเจ้าจะตื่นกลางดึกแล้วไปห้องข้าง ๆ เพื่อดูว่าพวกเขาหลับสบายดีไหม”

เหยาซูยิ้ม ถึงแม้ว่าจะไม่ได้กล่าวอะไรออกมา แต่นางก็จำสิ่งที่ชายหนุ่มหมายถึงได้ในพริบตา

หญิงสาวกล่าวว่า ‘แม่คนไหนจะไม่ทุ่มเทเพื่อลูกบ้าง’

เหยาซูเป็นเด็กกำพร้ามาตั้งแต่เล็ก ๆ ไร้บิดามารดา บางครั้งนางก็กึ่งหลับกึ่งตื่นอยู่บ่อย ๆ แล้วเห็นคุณป้าหัวหน้าศูนย์เด็กกำพร้านั่งอยู่หน้าเตียง คอยระซิบเอ่ยปลอบยามที่นางฝันร้าย

ตอนนี้ในฐานะแม่ การขาดความรักตั้งแต่ยังเป็นเด็กคือสิ่งที่นางไม่ยอมให้ลูกทั้งสามต้องเผชิญอย่างเด็ดขาด

ทั้งสองคนสนทนากันสักครู่หลังจากนั้นก็เข้าห้องนอนไป

ค่ำคืนที่เงียบสงัด

วันต่อมา อาจื้อออกจากบ้านไปตั้งแต่เช้าตรู่ เด็กชายลืมความโศกเศร้าที่ได้เกิดขึ้นเมื่อวานไปแล้ว

พี่สะใภ้รองมาหาเหยาซูเนื่องจากความขัดแย้งของเด็กทั้งสองคน

หญิงสาวเข้ามาในลานบ้าน เห็นลานบ้านที่ว่างเปล่าจึงเอ่ยถามขึ้นมาดัง ๆ “อาซู เจ้าอยู่ไหม”

เหยาซูกำลังเตรียมอาหารเช้าให้กับลูกทั้งสองคนของนาง ได้ยินว่ามีคนเรียกตน จึงออกมาจากห้องครัว เห็นว่าพี่สะใภ้รองก็ตะลึงไปครู่หนึ่ง

หญิงสาวถามขึ้นด้วยความประหลาดใจ “พี่สะใภ้รองทำไมท่านถึงมาเช้าตรู่เยี่ยงนี้ กินข้าวเช้ามาหรือยัง”

สะใภ้รองที่คุ้นเคยกับการไม่ทานมื้อเช้าก็ได้ให้เอ้อหลางไปหาสะใภ้ใหญ่ แล้วตนก็มาหาเหยาซูที่นี่

เมื่อเห็นสาวน้อยที่ถือตะเกียบอยู่ในมือ หญิงสาวก็อดที่จะยิ้มออกมาไม่ได้ “เจ้านี่วัน ๆ ก็สรรหาวิธีใหม่ ๆ มาทำอาหารเช้าให้ลูก ๆ ข้าได้ยินเอ้อเป่าบอกว่ามีทั้ง ซาลาเปา ติ่มซำ หมี่เครามังกร วันหนึ่งเจ้าทำกี่รอบกันเนี่ย”

เหยาซูกล่าวทักทายพี่สะใภ้รอง ชักชวนให้เข้ามาแล้วกล่าวกับนางว่า “ตอนเช้าต้องให้กินดี ๆ หน่อยตอนเที่ยงจะได้มีชีวิตชีวา ไม่เหมือนอาเหรากับอาจื้อที่ต้องออกไปแต่เช้า จึงทำได้แค่กินเท่าที่มีไปก่อน”

พี่สะใภ้รองเข้าไปในครัว และเห็นผักสีเขียวที่เลือกไว้บนเขียงถูกจัดเรียงเป็นแถวอย่างเป็นระเบียบ ยังคงมีหยดน้ำสะอาดติดอยู่ อีกด้านหนึ่งเป็นชามขนาดใหญ่ที่มีแป้งอยู่ไปจนถึงมันและผักเล็ก ๆ ที่ไม่เป็นรูปเป็นร่าง

หญิงสาวตะลึงและก็ยิ้มออกมา “อาซู เจ้าทำอะไรน่ะ”

เหยาชูชี้ไปที่จานเล็ก ๆ ที่มีน้ำวางอยู่ข้างชามใหญ่แล้ว หญิงสาวยิ้มกล่าวว่า “ผสมแป้งเกอตา ข้าจะทำน้ำแกงเกอตา ช่วงหลายวันมานี้อากาศค่อนข้างแห้ง เด็ก ๆ ทั้งสองมักจะลืมดื่ม…น้ำ”

พี่สะใภ้รองเกิดความสนใจขึ้นมา เดินเข้าไปที่หน้าโต๊ะแล้วกล่าวว่า “ข้าไม่เคยได้ยินชื่อน้ำแกงเกอตามาก่อน ใช้เส้นเกอตามาทำน้ำแกงหรือ”

ในยุคปัจจุบันน้ำแกงเกอตาเป็นอาหารที่พบเห็นบ่อย ๆ ได้ในแทบทางเหนือ เพียงแต่ว่าเหยาซูไม่เคยเห็นคนในบ้านตระกูลเหยาทำเลย

เหยาซูหัวเราะแล้วกล่าวว่า “พี่สะใภ้รองดูข้าทำแล้วก็จะรู้เอง ท่านมาได้จังหวะพอดีเลย มาลิ้มลองฝีมือของข้าดูสิ”

พี่สะใภ้รองได้ยินเช่นนั้น ก็ยืนนิ่ง ๆ อยู่ด้านข้างดูเหยาซูทำอาหาร

หญิงสาวเห็นเหยาซูที่มือซ้ายถือจานใส่น้ำไว้ มือขวาถือตะเกียบ ค่อย ๆ เทน้ำลงไปในแป้ง แล้วใช้มือนวดแป้งอย่างไม่หยุด ไม่ช้าก็ได้รูปร่างของเส้นเกอตาแล้ว

นางยกฝาหม้อขึ้น มีหม้อต้มน้ำเดือดอยู่ด้านใน พี่สะใภ้รองสังเกตเห็นว่าน้ำด้านในไม่ใช่น้ำใสและดูเหมือนว่าจะมีกลิ่นหอม ๆ อยู่ลอยอบอวลอยู่เหนือหม้อ

เหยาชูใช้มือขวาใส่เส้นเกอตาที่นวดแล้วลงในน้ำเดือดทีละน้อย และในเวลาเดียวกันก็ต้องคอยคนไปด้วยเพื่อป้องกันไม่ให้เส้นเกาะติดกัน ไม่นานหม้อทั้งหม้อก็สงบลง และเส้นเกอตาก็ค่อย ๆ แปรเปลี่ยนเป็นสีขาวนวลหลังจากที่ต้มเสร็จ

พี่สะใภ้รองคิดในใจ ‘ต้มเส้นหนึ่งหม้อ นางบังเอิญคิดได้หรือ แล้วมันกินอย่างไร’

ไม่นานเหยาซูก็หยิบเครื่องปรุงมา แล้วค่อย ๆ เริ่มใส่ลงไปในหม้อ ไม่นานเส้นเกอตาสีขาวก็เปลี่ยนเป็นสีทอง ส่งกลิ่นหอมน่าลิ้มลอง

พี่สะใภ้รองก็อดจะเอ่ยออกมาไม่ได้ “นี่เจ้าใส่อะไรลงไปบ้าง”

เหยาชูชี้ไปที่เครื่องปรุง หญิงสาวยิ้มแล้วกล่าวว่า “ล้วนเป็นของทั่วไป ซีอิ๊ว เกลือ แล้วก็เครื่องปรุงรสที่ข้าทำเอง…”

เครื่องปรุงในสมัยราชวงศ์ต้าเหยียนไม่ได้มีมากนัก สิ่งที่ใช้บ่อยที่เห็นได้ในปัจจุบันก็คือซีอิ๊ว น้ำส้มสายชู ที่ปรากฏให้เห็น แต่ว่าพวกเครื่องเทศนั้นยังมีไม่มากนัก เหยาซูไปร้านยามาหลายแห่ง และนางจะทำเครื่องปรุงรสเองในเวลาว่างไว้ใส่ตอนทำอาหาร

ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรถ้าพี่สะใภ้รองจะรู้สึกตกใจ

น้ำแกงเกอตานับว่าเป็นอาหารเช้าที่เรียบง่ายและไม่ยุ่งยาก ไม่นานเส้นเกอตาในหม้อก็สุก น้ำแกงเองก็เริ่มเดือดอีกครั้ง เหยาซูตอกไข่ที่ล้างแล้วลงไปในหม้อและคนในเวลาเดียวกันเพื่อให้ไข่แยกตัวออก

พี่สะใภ้รองสูดหายใจลึก ๆ หนึ่งครั้ง “ข้าได้เห็นมันแล้วข้าต้องได้ส่วนแบ่ง น้ำแกงหม้อนี้เจ้าให้ข้าลิ้มลองสักชามจะได้หรือไม่”

เหยาซูนำผักสดใส่ลงไปในหม้อแล้วพยักหน้า “ให้พี่สะใภ้รองชิม ใครบ้างไม่รู้ว่าในบ้านท่านทำอาหารอร่อยที่สุด”

พี่สะใภ้รองหัวเราะ “ข้าเห็นว่าเจ้าสองคนสามีภรรยาสามารถไตร่ตรองได้ โดยเฉพาะอาเหราที่ปกติไม่พูดไม่จา แต่สมองกลับดีมาก”

สีของผักสีเขียวเปลี่ยนสีอย่างรวดเร็ว เหยาชูเห็นว่าความร้อนพอดีแล้ว นางจึงหยิบน้ำมันงาออกมาแล้วใส่ลงไปสองหยด

ทันใดนั้นความหอมกรุ่นก็ตลบอบอวลไปทั่วห้องครัว

บางทีกลิ่นจากห้องครัวอาจจะส่งกลิ่นหอมจนไปถึงห้องนอน ไม่นานก็ล่อลวงหนอนได้หนึ่งตัว

“ท่านแม่ ท่านกำลังทำอะไรอยู่หรือเจ้าคะ”

เสียงของอาซือที่ดังมาจากข้างนอกห้องครัว

เด็กหญิงเดินเข้าประตูมา สายตาเหลือบไปเห็นพี่สะใภ้รองก่อน จึงตกใจเล็กน้อย แล้วกล่าวทักทายอย่างสุภาพว่า “ป้าสะใภ้รอง!”

พี่สะใภ้รองเห็นว่าอาซือได้รับการดูแลเป็นอย่างดี เส้นผมสีดำขลับของเด็กน้อยถูกมัดด้วยผ้ารัดผมสองเส้นสีเดียวกับเสื้อผ้าของนาง ดูเรียบง่าย แต่สดใสและน่ารัก

พี่สะใภ้รองรู้ว่าเด็กหญิงมัดผมด้วยตัวนางเอง จึงเอ่ยปากชมว่า “เอ้อเป่าเจ้าโตแล้ว รู้เรื่อง ทั้งยังเชื่อฟัง ยายของเจ้ามักจะพูดอยู่เสมอว่าบ้านไม่มีเด็กผู้หญิง เอ้อหลางเลยมีนิสัยขี้โวยวาย เอ้อเป่าไปสอนให้เขาเป็นเด็กผู้หญิงหน่อยดีไหม”

อาซือที่โดนสะใภ้รองโอบกอด พลันหัวเราะร่วน

สะใภ้รองเหยาอุ้มหลานสาวไปด้านหน้าเหยาซู อาซือมองเข้าไปในหม้อแล้วพูดอย่างมีความสุข “ท่านแม่ มื้อเช้าวันนี้คือน้ำแกงเกอตาหรือ ดีจริง ๆ ซานเองก็ชอบกินเจ้าค่ะ! ”

เหยาซูรวบผมที่โผล่ออกมาจากหลังใบหู ยิ้มให้ลูกสาวตัวน้อยของนางแล้วเอ่ยว่า “วันนี้แม่ใส่น้ำมันงาลงไปด้วย หอมหรือไม่”

อาซือพยักหน้าซ้ำ ๆ “หอมเจ้าค่ะ!”

เหยาซูตักน้ำแกงเกอตาที่สุกแล้วขึ้นมา โรยหน้าด้วยต้นหอมซอยบาง ๆ สีเหลืองทองและสีเขียวมรกตตัดกันช่างดูน่าดึงดูดยิ่ง

ในลานบ้านเล็ก ๆ ทั้งสามคนวางถ้วยและตะเกียบไว้บนโต๊ะด้วยกัน เหยาซูเก็บกวาดโต๊ะในครัวหลังจากนั้นก็ไปอุ้มซานเป่าออกมา

แสงแดดอ่อน ๆ ยามเช้าและสายลมที่พัดเข้ามาทำให้รู้สึกเย็นสบาย พี่สะใภ้รองตักน้ำแกงขึ้นมาสามถ้วย สำหรับซานเป่านั้นนางใช้ถ้วยไม้ใบเล็ก ๆ และเลือกเส้นที่ไม่ใหญ่มากก่อนที่จะเทลงไปในจาน

หลังจากจัดโต๊ะเรียบร้อยแล้ว พี่สะใภ้รองก็รีบลุกขึ้นอีกครั้งและช่วยเหยาซูนำซานเป่าไปนั่งในรถเข็นไม้สำหรับกินข้าวของเด็กน้อย

เหยาซูรีบเอ่ยขึ้น “พี่สะใภ้รอง ท่านนั่งลงเถอะ ข้าดูซานเป่าเอง ท่านกับอาซือทานก่อนเลย”

สะใภ้รองสูดดมกลิ่นที่หอมหวน เจ้าหนอนตะกละที่อยู่ในท้องก็เริ่มขยับขึ้นมา นางอดไม่ได้ที่จะยิ้มแล้วเอ่ยขึ้น “ถ้างั้นข้าไม่เกรงใจแล้วนะ”

หญิงสาวนั่งอยู่บนม้าหิน พยายามเลียนแบบท่าทางของอาซือที่ใช้ช้อนไม้ตักน้ำซุปจนเต็ม ค่อย ๆ เป่าก่อนจะเอาเข้าปากไป

ปลายลิ้นรับรสต่าง ๆ ปะปนกัน และยังมีเส้นเกอตาที่อยู่ระหว่างฟัน ทำให้สะใภ้รองตกหลุมรักน้ำแกงเกอตาขึ้นมาในทันใด

ดวงตาทั้งสองของหญิงสาวเป็นประกาย “ไม่เลวเลย!”

พี่สะใภ้รองเคี้ยวผักใบเขียว รสธรรมชาติของวัตถุดิบถูกพันธนาการเอาไว้ด้วยกัน ผสานกับรสน้ำซุปที่แสนหอมหวน ทำให้ผู้คนที่ได้ลิ้มลองไม่อาจหยุดที่จะดื่มด่ำได้

ไม่นานน้ำแกงเกอตาทั้งหมดก็หายเข้าไปในท้อง

เหยาซูที่ป้อนอาหารให้กับซานเป่า เหลือบไปเห็นพี่สะใภ้รองที่มีท่าทางเหมือนจะอยากลิ้มลองอีก จึงยิ้มและกล่าวออกมาว่า “ในหม้อยังมีอยู่นะ พี่สะใภ้รองกินอีกถ้วยสิ”

พี่สะใภ้รองดีใจเป็นอย่างมาก และกล่าวออกมาอย่างร่าเริง “ข้ามาหาเจ้าโดยไม่ได้บอกกล่าวตั้งแต่เช้าตรู่ ช่างเป็นการกระทำที่แสนเอือมระอา โดยปกติข้าไม่ได้กินข้าวเช้าอยู่แแล้ว ถ้ากินรสมือของอาซูอีกถ้วย ก็ช่างเป็นคนที่โลภมากเสียจริง”

  

อาซือที่ที่ถือถ้วยอยู่ข้าง ๆ ก็หัวเราะออกมาไม่หยุด “ฮ่า ๆ ป้าสะใภ้รองพูดจาน่าสนใจเสียจริงเจ้าค่ะ”

ทั้งครอบครัวรับประทานอาหารเช้าด้วยรอยยิ้ม บรรยากาศช่างแสนอบอุ่นและกลมกลืน

หลังจากที่กินเสร็จ ทั้งสามคนก็ได้นำเอาจานและตะเกียบเข้าไปในครัว อาซือจูงซานเป่าเดินโยกเยกกลับเข้าไปในห้อง

เมื่อพี่สะใภ้รองเห็นว่าเด็ก ๆ ไม่อยู่แล้ว ก็เข้าไปช่วยเหยาซูแล้วกล่าวกับหญิงสาว

“อาซู เมื่อเช้านี้ จริง ๆ แล้วพี่สะใภ้รองมีเรื่องจะคุยกับเจ้า”

เหยาซูเงยหน้าขึ้น “หืม ที่สะใภ้รองมีเรื่องอะไรหรือ”

พี่สะใภ้รองวางถ้วยที่ล้างเสร็จแล้วเอาไว้บนชั้นวางแล้วเช็ดมือ หญิงสาวลังเลใจที่จะกล่าว

……………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

อ่านบทบรรยายการทำน้ำแกงเกอตาแล้วน่ากินจังค่ะ

พี่สะใภ้รองมีเรื่องอะไรอยากคุยกับอาซูกันนะ

ไหหม่า(海馬)

ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม [穿书后,我成了三个反派的娘]

ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม [穿书后,我成了三个反派的娘]

Status: Ongoing
เหยาซูเสียชีวิตเนื่องจากเครื่องบินตก ตื่นขึ้นมาอีกทีก็พบว่าตนเองได้มาอยู่ในร่างตัวละครหนึ่งในนิยายที่ตัวเองกำลังอ่าน!หญิงสาวเสียชีวิตจากอุบัติเหตุเครื่องบินตกและมาเกิดใหม่ในนิยายยุคโบราณที่ตนเองกำลังอ่าน หลังฟื้นขึ้นมาจึงพบว่าตนเองอยู่ในร่างของ เหยาซู มารดาของวายร้ายทั้งสามในเรื่อง กลายเป็นแม่ม่ายลูกติดโฉมสะคราญที่ผู้คนต่างชี้หน้าบอกว่าเป็นตัวซวยทำให้สามีต้องตาย เมื่อได้ทราบว่าชีวิตของลูก ๆ ต้องเผชิญกับการดูถูก นางจึงทนไม่ไหวเก็บข้าวของหอบลูกกลับบ้านเก่า เริ่มต้นชีวิตใหม่กับลูกและครอบครัวทางแม่ของตน ด้วยคิดว่าหากสั่งสอนลูกดี ๆ พวกเขาคงไม่กลายเป็นตัวร้าย จนกระทั่งวันหนึ่งสามีของนางได้กลับมา พวกเขาจึงได้ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขอีกครั้ง แต่แล้วนางก็นึกขึ้นมาได้ว่าตามนิยายต้นฉบับสามีของตนจะตกหลุมรักสตรีอื่น จึงคิดหาวิธีที่จะหย่าขาดกับเขาอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท