บทที่ 340 ความไว้วางใจของหลินเหรา
บทที่ 340 ความไว้วางใจของหลินเหรา
ภายใต้ความมืดมิดในยามรัตติกาล เเววตาของหลินเหราเต็มไปด้วยความกลัดกลุ้ม แต่อวี๋จือกลับสัมผัสถึงความรู้สึกในแววตาคู่นั้นได้
หลังจากที่อวี๋จือถามออกมา ก็เกิดบรรยากาศเงียบงันระหว่างชายหนุ่มทั้งสองคน
ภายในจิตใจของอวี๋จือจึงเกิดความรู้สึกรุ่มร้อนเล็กน้อย
ท่านปู่ของเขามักจะสอนเขาบ่อย ๆ ว่าเวลาจะเป็นสหายกับใคร ต้องไม่สนทนาด้วยประโยคที่ลึกซึ้ง
ถึงแม้ชายหนุ่มจะรู้จักหลินเหรามานานนับสองสามเดือนได้ ระหว่างพวกเขาทั้งสองเองก็มีความไว้เนื้อเชื่อใจกันมาก เพียงแค่อีกฝ่ายเป็นคนเย็นชาเท่านั้น
แต่การที่จู่ ๆ ชายหนุ่มก็ถามโพล่งออกมาเช่นนี้ เกรงว่าจะดูไม่มีกาลเทศะเท่าไรนัก
ในขณะที่อวี๋จือกำลังฉุกคิดเรื่องนี้ หลินเหรากลับเอ่ยปากขึ้น “ถ้าหากมีอะไรจะกล่าว ข้านั้นมีเรื่องอยากจะวอนขอ เพียงเเต่ไม่รู้ว่าควรจะเริ่มอย่างไรดี”
อวี๋จือรีบกล่าวขึ้นมาว่า “พี่ใหญ่หลินมีเรื่องอะไรให้ข้าช่วยก็ว่ามาเถิดขอรับ ข้าจะพยายามอย่างเต็มที่”
หลินเหราส่ายหน้าคลี่ยิ้มออกมาน้อย ๆ “ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร เพียงแค่เจ้าก็อยู่ที่สำนักฮั่นหลินมานานแล้ว คงจะรู้จักนิสัยใจคอของใต้เท้าเซี่ยดี”
อวี๋จือพยักหน้า
ชายหนุ่มรู้ดีว่าระหว่างหลินเหราและเซี่ยเซียนมีความสัมพันธ์เป็นน้าหลานกัน ครั้นหลินเหราจะกล่าวถึงเซี่ยเชียนก็ไม่เห็นเป็นเรื่องที่ผิดแปลกอะไร
เพียงแต่ภายในใจของอวี๋จือยังไม่เข้าใจเล็กน้อยว่าอะไรคือเรื่องที่เขาต้องการจะบอก ไฉนคนที่เด็ดขาดอย่างหลินเหราจึงไม่รู้ว่าควรจะเริ่มกล่าวอย่างไร
อวี๋จือถามขึ้นด้วยความลังเล “พี่ใหญ่หลินหมายความว่าอย่างไร?”
ตอนนี้หลินเหราก็ได้เริ่มหัวข้อสนทนาแล้ว ต่อไปการสนทนาก็คงจะราบรื่นขึ้นไม่ใช่น้อย
ทั้งสองเดินอยู่บนถนนภายใต้ค่ำคืนอันเงียบสงบ นับว่าเป็นเวลาที่ดีที่จะให้คนพูดคุยสนทนากันอย่างผ่อนคลาย
ชายหนุ่มที่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งได้เอ่ยปากขึ้น “หลังจากที่ตระกูลเซี่ยเกิดเรื่องในปีนั้น นิสัยของท่านน้าก็เปลี่ยนไปมาก แม้เขาจะได้เป็นถึงขุนนางในราชสำนัก เเต่เขาเองกลับไม่ได้สนใจต่อการเปลี่ยนแปลงรอบตัวเลย”
อวี๋จือพยักหน้า
ชายหนุ่มเองก็เคยได้ยินสหายร่วมงานของเขาพูดถึงเรื่องที่ตระกูลเซี่ยไม่ได้รับความยุติธรรม รวมไปถึงเรื่องที่เซี่ยเชียนปิดบังตัวตนของเขาเข้าราชสำนัก เช่นนี้แล้วองค์รัชทายาทองค์ก่อนจะไม่รู้สึกผิดแปลกกับตระกูลเซี่ยได้อย่างไร?
สำหรับตัวของเซี่ยเชียนเอง อวี๋จือเคยพูดคุยด้วยไม่กี่ครั้ง เเต่กลับสัมผัสถึงท่าทางที่เย็นชาราวกับภูเขาสูงที่มีหิมะเย็นเยือกปกคลุมอยู่บนยอด และไม่ว่าจะเป็นคนหรือสิ่งของก็ไม่สามารถสัมผัสถึงได้
หลินเหรายังกล่าวต่ออีกว่า “จนตอนนี้ข้ากับเหยาซูพาลูก ๆ เข้ามาอาศัยในเมืองหลวง อันที่จริงก็ถือได้ว่าทำให้ท่านน้าอ่อนโยนลงมาบ้างแล้ว ยิ่งกว่านั้น อำนาจในราชสำนักของเขาก็กำลังเพิ่มขึ้น ท่านน้าของข้าจงรักภักดีต่อองค์จักรพรรดิ และเขาจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อปกป้องพระองค์ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น”
ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นเเล้วกล่าวต่อ “ตอนนี้เจ้าก็มาอยู่ข้างกายท่านน้าแล้ว เจ้าเองก็เป็นคนที่ชาญฉลาดและรอบคอบ และหวังว่าเจ้าจะสามารถช่วยเหลือใต้เท้าได้อย่างมาก”
อวี๋จือเห็นชายหนุ่มพูดขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง เวลานั้นเขาก็ไม่รู้ว่าต้องทำอะไรจึงกล่าวว่า “พี่ใหญ่หลิน ข้า…”
หลินเหราค่อย ๆ ยิ้มแล้วกล่าวปลอบใจชายหนุ่ม “น้องอวี๋ไม่ต้องตื่นตระหนกไปหรอก ตอนนี้การดูแลสำนักบัณฑิตฮั่นหลินของใต้เท้าเซี่ย เป็นพระราชโองการจากจักรพรรดิ ไม่ว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไร ใต้เท้าเซี่ยก็จะยืนหยัดต่อไป”
อวี๋จือส่ายหน้าแล้วมองหลินเหราอย่างจริงจัง ชายหนุ่มกล่าวด้วยความกังวลว่า “พี่ใหญ่หลิน ข้าไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น ใต้เท้าเซี่ยเป็นคนตรงไปตรงมา ศิษย์เช่นข้าก็ชื่นชมความเป็นพหูสูตของเขาเป็นอย่างมาก และข้าเองก็ยินดีที่จะติดตามเขาไป เพียงแต่ข้าไม่รู้เรื่องราวอะไรในราชสำนักเลยจริง ๆ”
หลินเหราตบบ่าของอวี๋จือแล้วกล่าวขึ้น “เจ้าอายุยังน้อย ยังห่างไกลเรื่องพวกนี้มากนัก ตอนนี้เจ้าเพียงแค่ทำหน้าที่ในสำนักฮั่นหลินให้ดีที่สุด คอยติดตามใต้เท้าจัดการเรื่องต่าง ๆ ถ้าเขาพูดเรื่องราวในราชสำนักให้เจ้าฟัง ข้าก็ทำได้เพียงเเค่เตือนเท่านั้น ผู้คนในราชสำนักไม่ว่าจะอยู่ส่วนไหน ก็ยากที่จะไม่นึกถึงประโยชน์ส่วนตน”
อวี๋จือพยักหน้า “พี่ใหญ่หลิน ข้ารู้แล้ว”
ชายหนุ่มเป็นคนที่ชาญฉลาด ได้ฟังเพียงเท่านี้ก็สามารถเข้าใจเรื่องราวได้อย่างทะลุปรุโปร่ง ไม่มีความหยิ่งยโสของบัณฑิตผู้รู้หนังสือเลยสักนิด
ในฐานะขุนนางและประชาราษฎร์ เขาก็เพียงเเค่อยากจะช่วยเเบกรับความกังวลขององค์จักรพรรดิ มีพระราชโองการสั่งให้เขาไปอยู่กับเซี่ยเชียน คอยติดตามใต้เท้าเซี่ย สิ่งนี้ก็นับได้ว่าเป็นความจงรักภักดีของอวี๋จือ
หลินเหราพยักหน้า พลันเห็นอีกฝ่ายยิ้มและกล่าวขึ้นว่า “เรื่องที่พี่หลินต้องการจะกล่าวมีเพียงเท่านี้หรือ?”
ชายหนุ่มรู้สึกประหลาดใจ ดวงตาที่เย็นชากลับค่อย ๆ มลายหายไป เขากล่าวขึ้นด้วยรอยยิ้ม “เจ้านี่เฉียบแหลมยิ่งนัก”
หลินเหรามันจะมองผู้คนขาดเสมอ ตั้งเเต่ได้พบกับอวี๋จือ ชายหนุ่มก็รู้ว่านอกจากเขาจะมีความเป็นบัณฑิตแล้วยังมียังมีความฉลาดเฉียบแหลมที่คนอื่นไม่มี
อวี๋จือที่ดื่มสุรามีความกล้าขึ้นมาไม่น้อย จึงกล่าวขึ้นอย่างขบขัน “พี่ใหญ่หลินต้องการจะกล่าวอะไรก็ว่ามา ข้าจะรับฟังท่านเอง”
หลินเหราไม่ได้มีความลังเลแม้เเต่น้อย เเต่เอ่ยขึ้นด้วยความจริงจัง “ที่พูดไปเมื่อครู่ คือให้เจ้าระวังราชสำนักให้ดี ๆ และคอยช่วยใต้เท้าจัดการเรื่องราวต่าง ๆ ต่อไปจะเป็นคำขอส่วนตัวของข้า…”
อวี๋จือตอบกลับด้วยสีหน้าที่จริงจัง “เชิญพี่ใหญ่หลินกล่าวมาได้เลย”
ใบหน้าที่จริงจังของชายหนุ่มค่อย ๆ อ่อนลงภายใต้แสงจันทร์ แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา “ท่านน้าอยู่ตัวคนเดียวและรู้สึกโดดเดี่ยวจริง ๆ ข้าคิดว่าหากเจ้ามีเวลาว่าง จะเป็นไปได้ไหมถ้าเจ้าจะไปที่จวนตระกูลเซี่ยเพื่อไปพูดคุยกับเขา”
สิ่งที่หลินเหรากล่าวขึ้นทำให้อวี๋จือรู้สึกประหลาดใจไม่น้อย
จริง ๆ แล้วใต้เท้าเซี่ยไปไหนมาไหนด้วยตัวคนเดียวตลอด หากพิจารณาดี ๆ ในจวนตระกูลเซี่ย ก็ไม่มีใครสามารถพุดคุยกับเขาได้
หลินเหรายังกล่าวเสริมขึ้นอีกว่า “ข้ากับเหยาซูมีความคิดว่าจะยกซานเป่าให้เป็นลุกบุญธรรมของท่านน้า คงจะทำให้จวนตระกูลเซี่ยมีชีวิตชีวามากขึ้น เพียงแต่ว่าซานเป่ายังเด็กนัก จะเข้าใจจิตใจท่านน้าจริง ๆ ได้อย่างไร ซึ่งแตกต่างกับน้องอวี๋…วันนี้ท่านน้ายังบอกกับข้าว่าชอบคนที่มีความสามารถแบบเจ้าเป็นอย่างมาก”
เมื่อครู่อวี๋จือยังถอนหายใจกับเรื่องเซี่ยเชียน หลังจากที่ได้ยินชายหนุ่มกล่าวมาเช่นนี้ ดวงตาก็ไม่อาจซ่อนรอยยิ้มไว้ได้ “ใต้เท้ากล่าวเช่นนี้จริงหรือขอรับ?”
ราวกับว่าเทวรูปที่เขาบูชามาโดยตลอดรับรู้ถึงคำขอของเขาแล้ว ภายในใจของชายหนุ่มเต็มไปด้วยความดีใจ
หลินเหรารับรู้ถึงความตื่นเต้นของชายหนุ่มขึ้นมาทันใด สีหน้าท่าทางผ่อนคลายลงมาไม่น้อย จึงยิ้มเเละกล่าวว่า “เจ้าไม่เชื่ออย่างนั้นหรือ?”
อวี๋จือพูดย้ำทันที “เชื่อสิ เชื่อ เชื่อ ข้าต้องเชื่ออยู่แล้ว เพียงเเต่ไม่เคยคาดคิดเลย ข้ากับใต้เท้าเซี่ยเคยพูดคุยกันเเค่ครั้งเดียว ตอนนั้นข้ายังซนนัก และยังยากที่จะเข้าใจในความผิดพลาดของตัวเอง….ใต้เท้าเซี่ยเองก็คงจะไม่ติดใจอะไร เพียงแค่ทำให้ข้าเข้าใจปัญหาของตนเอง ใครจะไปนึกว่าว่าใต้เท้าเซี่ยจะชื่นชมข้า”
ชายหนุ่มพูดจารวดเร็ว ในเวลานั้นหัวใจก็รู้สึกเข้มแข็งขึ้น
หลินเหรายิ้มขึ้นมาแต่ไม่ได้กล่าวอะไร อวี๋จือก็รู้สึกเกรงใจแล้วกล่าวขึ้นมาด้วยความเขินอาย “ในที่สุดท่านก็ยิ้ม”
หลินเหรากล่าวขึ้นเบา ๆ “ข้ารู้สึกโล่งใจที่เจ้าไม่ปฏิเสธข้า”
โดยปกติเซี่ยเชียนจะไม่แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับคนรอบข้างเขา ไม่ว่าจะดีหรือชั่ว เขาล้วนไม่สนใจการกระทำของของอีกฝ่าย
แต่กับอวี๋จือกลับไม่ใช่อย่างนั้น
เมื่อหลินเหราเห็นการอนุมัติของเซี่ยเชียน ชายหนุ่มรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง
อวี๋จือเลียริมฝีปากล่างของตน หัวใจเริ่มเต้นแรงขึ้นและกล่าวอย่างตื่นเต้น “พี่ใหญ่หลิน ท่านคิดว่า ถ้าข้ามีเรื่องตรงไหนที่ไม่เข้าใจแล้วไปหาใต้เท้าในวันปกติ ใต้เท้าจะไม่รำคาญข้าหรือ”
หลินเหราส่ายหัว “ไม่มีทาง”
เขาหันไปมองอวี๋จือแล้วกล่าวว่า “อาจื้อเพิ่งจะผ่านบททดสอบของสำนักกว๋อจื่อเจี้ยน หลังเทศกาลตวนอู่เสร็จสิ้นก็จะเข้าไปเรียนที่สำนัก ถึงตอนนั้นจวนตระกูลเซี่ยก็จะเงียบเหงาลง ถ้าหากน้องอวี๋ไปจวนตระกูลเซี่ยบ้างเป็นครั้งคราว ข้าจะรู้สึกขอบคุณเป็นอย่างมาก”
ดวงตาทั้งสองของอวี๋จือเป็นประกาย “ข้าทำได้ ข้าทำได้ ข้ายินยอมด้วยหัวใจ”
หลินเหราส่งอวี๋จือถึงสำนักฮั่นหลินอย่างปลอดภัย ระหว่างทางกลับบ้าน ก้าวย่างแต่ละก้าวของชายหนุ่มเต็มไปด้วยความสบายใจ ภาระที่ติดอยู่ในใจมาตอนนี้เหมือนถูกยกออกจึงทำให้รู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาไม่น้อย
ถ้าเป็นเช่นนี้ต่อไป ท่านน้าก็คงจะค่อย ๆ มีชีวิตชีวามากขึ้นทีเดียว…
…………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
ให้อวี๋จือไปคุยอะไรบ้างก็ดีนะคะ ดูใต้เท้าเซี่ยโดดเดี่ยวเกินไปแล้ว
ไหหม่า(海馬)