บทที่ 350 นักบวชเชียนเหยา
บทที่ 350 นักบวชเชียนเหยา
อวี๋จือสะดุ้งตื่นทันใด
เขากระโดดลงจากเตียงฉับไวจนเกิดเสียงเคลื่อนไหว จากนั้นก็มีเสียงสตรีเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาจากข้างนอก “คุณชายอวี๋ตื่นแล้วใช่หรือไม่เจ้าคะ?”
อวี๋จือฟังออกว่านั่นคือเสียงของฝูหยา
เขารีบขานรับทันที “ตื่นแล้ว ตื่นแล้ว แม่นางเข้ามาได้เลย”
ฝูหยาเปิดประตูเข้าไปทำให้แสงแดดจากภายนอกสาดส่องเข้ามา อวี๋จือจึงตัดสินได้ เขาคิดว่าตัวเองนอนหลับยาวจนถึงยามบ่ายเลยทีเดียว
สีหน้าของฝูหยาดูปกติ เอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม “คุณชายอวี๋พักผ่อนเต็มที่แล้วใช่หรือไม่เจ้าคะ?”
เด็กหนุ่มพยักหน้า
เขาสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ แล้วเอ่ยถามว่า “แม่นางฝูหยา….ที่นี่ ไม่ใช่ห้องรับแขกใช่หรือไม่?”
ฝูหยาเห็นอวี๋จือแสดงท่าทางอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ พูดไม่ออก จึงอดขบขันในใจไม่ได้ ทำได้แค่กล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ที่นี่คือห้องนอนของนายท่านเจ้าค่ะ”
ใบหน้าของอวี๋จือแตกเพล้งในทันที “เหตุใดข้าถึงได้มาอยู่ในห้องนอนนายท่านของพวกเจ้า?!”
ฝูหยายิ้ม “คุณชายอวี๋คงลืมไปแล้ว หลังจากคุณชายอาบน้ำเสร็จแล้วออกมา ก็ตรงมาที่นี่ทันที ก่อนจะหลับข้ายังเตือนคุณชายอยู่เลยว่าที่นี่คือเตียงของนายท่าน….”
อวี๋จือจำได้เลือนรางว่าฝูหยาเอ่ยคำว่า ‘นายท่าน’ อยู่ข้างหูของเขา แต่ตอนนั้นเขาง่วงเกินไป คิดว่าเซี่ยเชียนคงจะกำชับอะไรสักอย่าง จึงคิดเพียงว่ารอตื่นแล้วค่อยฟังก็คงไม่สาย
คาดไม่ถึงว่าสิ่งที่ฝูหยากำลังพูดคือเขาเข้ามาในห้องนอนของเซี่ยเชียน?!
อวี๋จือรู้สึกได้ถึงเลือดทั่วร่างกายของตนที่กำลังสูบฉีดขึ้นมาบนใบหน้า ไม่นานใบหูของเขาก็แดงเถือกเหมือนกับหยดเลือด
ฝูหยายิ่งขบขันในใจ กระทั่งหลุดพ้นจากท่าทีของเด็กหนุ่มที่เปิดเผยออกมาอย่างไม่ปิดบังด้วยจิตใต้สำนึก แล้วปลอบโยนเขาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “คุณชายอวี๋โปรดวางใจเถิดเจ้าค่ะ นายท่านไม่ถือสา และยังกำชับว่าหลังจากคุณชายตื่นแล้วให้พาท่านไปรับประทานอาหารในห้องโถงด้วยเจ้าค่ะ”
อวี๋จือตระหนักได้ทันที ศักดิ์ศรีของตระกูลอวี๋แห่งซูโจวถูกเขาทำลายจนป่นปี้เสียแล้ว
เขาพูดไม่ออกไปพักใหญ่ แต่เมื่อต้องเผชิญหน้ากับสายตาอบอุ่นของฝูหยา จึงทำได้แค่ฝืนพูดว่า “ขอบ… ขอบคุณแม่นางมาก…ประเดี๋ยว ประเดี๋ยวข้าลงไป…”
ฝูหยาให้เวลาส่วนตัวกับอวี๋จืออย่างเข้าใจ เพียงออกไปข้างนอกเพื่อรอเขาเก็บข้าวของจนเสร็จ
หลังจากที่ฝูหยาออกไปแล้ว อวี๋จือก็ทรุดตัวลงนั่งบนเตียง มุดหน้าของตัวเองเข้าไปใต้ผ้าห่ม แล้วตะโกนระบายอารมณ์โดยไร้เสียงสองสามครั้ง
ตอนเขามาไม่ได้พาสมองออกมาด้วยหรือไร! นี่มันจวนของใต้เท้าเซี่ยชัด ๆ!
เรื่องที่เขาเข้ามาในห้องนอนของใต้เท้าเซี่ยไม่ต้องเอ่ยถึง นอกจากนี้ก็ยังกล้าหาญ กล้านอนอยู่บนเตียงของใต้เท้าเซี่ยอีก!
ใบหน้าของอวี๋จือเริ่มแดงเถือกขึ้นเรื่อย ๆ เขารู้สึกว่าตัวเองกำลังจะระเบิด อยากจะร้องไห้ขึ้นมาทันใด ครั้นเขาต้องเสียหน้าต่อหน้าเซี่ยเชียน ช่างรู้สึกแย่เกินกว่าจะพรรณนา
เห็นได้ชัดว่าเขาแค่อยากให้เซี่ยเชียนสังเกตตัวเอง ชื่นชมในความสามารถของตัวเอง มาบัดนี้กลับทิ้งความประทับแรกที่เลวร้ายเช่นนี้กับอีกฝ่าย…
ไม่รู้ว่าหลังจากนี้เซี่ยเชียนจะมองตนอย่างไร?
อวี๋จือข่มอารมณ์อยากร้องไห้ไว้ แล้วเก็บข้าวของตัวเอง ในที่สุดก็รวบรวมความกล้า ก้มหน้าเดินออกจากห้องไป
แสงแดดไม่ได้เจิดจ้าเหมือนยามเที่ยงวันในฤดูร้อนอีกแล้ว เพราะในจวนเซี่ยมีต้นไม้หลายต้น และมีทะเลสาบอีกแห่งหนึ่ง ทั้งจวนจึงเย็นสบายและเงียบสงบมากกว่าสถานที่อื่น
อวี๋จือยืนอย่างมั่นคงอยู่ข้างกายฝูหยา กระทั่งได้ยินเสียงอันคุ้นเคยเสียงหนึ่งจากที่ไกล ๆ ดังขึ้นอย่างราบเรียบ “ตื่นแล้วหรือ? นอนพอแล้วใช่หรือไม่?”
เด็กหนุ่มพลันเงยหน้าขึ้น กระทั่งเห็นเซี่ยเชียนที่แต่งกายด้วยชุดลำลองทั่วไปทั้งตัวยืนอยู่หน้าประตูห้องหนังสือ ถัดไปเป็นอาจื้อที่ยืนกำลังมองพิจารณาเขาด้วยความอยากรู้
ในสมองของอวี๋จือปรากฏความคิดนับไม่ถ้วนแวบขึ้นมา ในขณะที่จะตอบกลับ ก็ยังจ้องเขม็งไปยังเสื้อผ้าบนร่างกายของเซี่ยเชียน เขานอนอยู่ในห้องใต้เท้าเซี่ย ไม่รู้ว่าใต้เท้าเซี่ยเปลี่ยนเสื้อผ้าได้อย่างไร?
เขาได้ยินเสียงของตัวเองกล่าวด้วยความเคารพ รายงานใต้เท้า “ศิษย์พักผ่อนเพียงพอแล้วขอรับ”
ใบหน้าของเด็กหนุ่มแดงเถือก สีหน้าทั้งเคร่งเครียดทั้งลำบากใจ คิดว่าคงรู้เรื่องที่ตัวเองไปนอนผิดที่แล้ว…
แต่เห็น ๆ อยู่ว่าภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ เขายังกล้ามองเสื้อผ้าของตน
ในใจของเซี่ยเชียนรู้สึกว่า บางทีอวี๋จืออาจจะเป็นคนน่าสนใจที่เขามักจะหาตัวจับได้ยากในตลอดหลายปีที่ผ่านมาก็ได้
เหมือนกับกำลังคลี่อ่านม้วนตำราในห้องหนังสือที่ทำให้คนติดใจจนยากจะวางลงโดยไม่ได้ตั้งใจเล่มหนึ่ง ครั้งแรกที่เห็นก็ดูเรียบ ๆ ไม่น่าสนใจ แต่หลังจากค่อย ๆ อ่านไป ก็พบกับส่วนที่น่าสนใจในนั้น
เขาออกคำสั่งอาจื้อด้วยเสียงทุ้มต่ำ ชายหนุ่มพยักหน้าแล้วออกจากลานบ้านไป
เซี่ยเชียนเดินย่ำอยู่เบื้องหน้าแสงตะวันร้อน กระทั่งมาถึงข้างกายของอวี๋จือ แล้วกล่าวด้วยเสียงเรียบ “เจ้าขึ้นชื่อว่าเป็นลูกศิษย์ แล้วเคยเห็นข้าเป็นอาจารย์บ้างหรือไม่?”
อวี๋จือหน้าแดงก่ำอีกครั้ง ก่อนจะกล่าวว่า “ใช่ ใช่ขอรับ ใต้เท้าเซี่ย สองสามวันนี้ได้แก้ไขอาการง่วงให้แก่ศิษย์อย่างต่อเนื่อง…”
ฝ่ายชายตอบรับหนึ่งเสียง จากนั้นก็กล่าวต่อ “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ไม่จำเป็นต้องระวังเช่นนี้”
อวี๋จือกระพริบตา ทันทีที่ตอบรับ ก็เพิ่งได้เข้าใจ ความหมายของเซี่ยเชียนคือกำลังจะบอกว่าเขาเห็นตนในฐานะลูกศิษย์คนสนิทแล้ว จึงถือโอกาสนี้ปลอบใจเรื่องที่อวี๋จือไม่จำเป็นต้องเก็บมาใส่ใจเกินไป
ในใจของเด็กหนุ่มเกิดความสับสนบางอย่าง โดยที่ไม่รู้ว่ามันคือความดีใจหรือซาบซึ้งใจ
อวี๋จือสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ แล้วก้มหน้ายอมรับ “ใต้เท้าขอรับ จริง ๆ วันนี้ข้า ข้า…เป็นศิษย์ที่ไม่ดูตาม้าตาเรือ สร้างความเดือดร้อนให้แก่ใต้เท้าขอรับ”
ในเมื่อเซี่ยเชียนไม่ใส่ใจ เขาจึงเสียมารยาท
เซี่ยเชียนเห็นศีรษะของเด็กหนุ่ม แล้วตอบรับเพียงหนึ่งเสียง โดยไม่พูดว่าไม่เป็นไร แค่พูดว่า “ได้ยินว่าตัวอักษรของเจ้างดงามมาก ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็คัดบทกวีของวันนี้ใหม่หนึ่งรอบแล้วกัน”
สภาพจิตใจของอวี๋จือที่เดิมทีห่อเหี่ยว แต่แล้วก็เหมือนกับถูกสายลมพัดผ่าน จึงรีบพยักหน้า “ขอรับ! บัณฑิตจะต้องละเอียด ทุกตัวอักษรจะต้องเขียนออกมาอย่างงดงามเป็นระเบียบขอรับ”
เมื่อเห็นดวงตาที่เปล่งประกายของเขา เซี่ยเชียนก็อดหัวเราะเบา ๆ ไม่ได้
คราวนี้อวี๋จือเพิ่งจะเห็นรอยยิ้มที่ปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าของเซี่ยเชียนอย่างแท้จริง เหมือนกับหิ่งห้อยที่เขาเคยเห็นเมื่อครั้งวัยเยาว์ เป็นหิ่งห้อยที่บินวนเหนือต้นหญ้าและส่องแสงระยิบระยับ
อาจื้อวิ่งกลับมาอย่างรวดเร็ว แล้วตะโกนเรียกเซี่ยเชียนเสียงดัง “ท่านปู่เซี่ย แตงโมชุ่มฉ่ำถูกหั่นเป็นชิ้นเรียบร้อยแล้วขอรับ ข้าขอกินหนึ่งชิ้นได้หรือไม่ขอรับ?”
เซี่ยเชียนหันกลับไป ผายมือไปทางเขา เด็กชายจึงวิ่งออกไปอย่างเบิกบานใจ
เด็กชายมองอวี๋จือแวบหนึ่ง เพียงแต่อารมณ์สับสนวุ่นวายเมื่อครู่ถูกทิ้งไว้เบื้องหลัง แล้วเดินตามหลังเซี่ยเชียนออกจากลานบ้านไป
เซี่ยเชียนพาอวี๋จือมายังห้องอาหาร บนโต๊ะนั้นถูกวางไปด้วยกับข้าวสามอย่าง และถ้วยข้ามหนึ่งชาม
อวี๋จือสังเกตเห็นวิธีการทำอาหาร ช่างสอดคล้องกับความเคยชินของซูโจวไม่น้อย
ชายผู้นี้กล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบเพียงแค่สองประโยค แล้วเดินไปด้านข้าง มองอาจื้อกินแตงโม เหลือไว้แค่ฝูหยาที่กำลังดูแลอวี๋จือที่กำลังทานอาหาร
เด็กหนุ่มเคยชินกับการมีบ่าวรับใช้ล้อมรอบมาตั้งแต่เด็ก จึงไม่รู้สึกระแวดระวังที่มีฝูหยามาอยู่ข้างกาย เขากินอาหารพลางพูดคุยกับฝูหยาสองสามประโยค
เมื่อฝูหยาเห็นเขากลับมาอารมณ์คงที่ดังเดิมแล้ว จึงคลี่ยิ้มและกล่าวว่า “อาหารมื้อนี้รสชาติถูกปากคุณชายอวี๋หรือไม่เจ้าคะ?”
อวี๋จือพยักหน้า “แม่นางคิดมากไปแล้ว มันถูกปากมากเชียวละ”
ฝูหยาเม้มปาก แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม “อาจื้อคุณชายน้อยตั้งใจสั่งในครัว บอกว่าคุณชายอวี๋เป็นคนซูโจว หุงข้าวเป็นดีที่สุด”
อวี๋จือเลิกคิ้วสูง เขาหิวมากจริง ๆ จึงรู้สึกว่าทุกส่วนของอาหารล้วนแฝงไปด้วยความตั้งใจ
เมื่อเขากินไปได้มากพอแล้ว เด็กหนุ่มก็นึกถึงบทกวีที่เซี่ยเชียนเคยกำชับให้เขาคัดลอก จากนั้นก็ถามฝูหยาหนึ่งประโยค “แม่นางเคยได้ยิน ‘นักบวชเชียนเหยา’ มาก่อนหรือไม่?”
ฝูหยาตะลึงงัน แล้วพยักหน้า “เคยได้ยินแน่นอนเจ้าค่ะ ตัวอักษร ‘เหยา’ เพียงตัวเดียวคืออักษรในชื่อของผู้เป็นพี่สาวของใต้เท้า ส่วน ‘นักบวชเชียนเหยา’ นางเขียนเป็นชื่อที่ใช้ในบทกวี”
ตะเกียบในมือของอวี๋จือพลันกระทบกับชามข้าวอย่างอดไม่ได้ กระทั่งเกิดเสียง ‘เคร้ง’ ดังกึกก้อง
ตระกูลเซี่ยไม่มีทายาทแล้วไม่ใช่หรือ? พูดเช่นนี้ เซี่ยเหยาก็ตายไปแล้วกระมัง…
หรือว่า เช้าตรู่วันนี้ยามที่เซี่ยเชียนเห็น ตำราเก่าที่มีสีเหลืองและขึ้นรา มองแวบเดียวก็เกิดความรู้สึกบางอย่างที่ไม่อาจทราบสาเหตุ
อวี๋จือยกชามพุ้ยข้าวเข้าปากอีกครั้ง ในใจไม่รู้ว่าเหตุใดถึงได้อึดอัดเช่นนี้…
…………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
อวี๋จือเอ๊ย ง่วงเบลอจนไปนอนเตียงเขาเฉยเลย เอ็นดู เรือนี้ก็ดีเหมือนกันน้า /ก้าวขาเหยียบเรือทั้งสองลำ/
ที่เซี่ยเชียนอินได้ขนาดนี้เป็นเพราะบทกวีนี้เกี่ยวข้องกับพี่สาวตัวเองสินะ
ไหหม่า(海馬)